“เอาสิ ข้าเป็นคนไร้ศีลธรรม ข้าไม่สนใจเรื่องนี้หรอก” เย่หวูเฉินประสานมือทั้งไว้หลังท้ายทอย กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สำหรับหญิงสาวผู้นี้ ไม่ต้องกล่าวถึงว่านางจะเล่าด้วยตัวเอง กระทั่งขอให้นางพูดนางก็ไม่กล้าพูด เรื่องชื่อเสียงและศักดิ์ศรี ไม่ว่าสตรีคนใดก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิต
“ท่าน….คนไร้ศีลธรรม!!” ซื่อหยาออกเรี่ยวแรงกระทืบเท้าเบื้องหนึ่ง ทันใดนั้น แววตาพลันกลับกลาย ใบหน้าเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม นางนั่งลงอยู่ข้างๆ กล่าวด้วยใบหน้าออดอ้อน “พี่ชายแสนดี มอบชุดให้ข้าเถอะ ข้าชอบมันจริงๆ นะ?…..”
หญิงสาวกลายเป็นออเซาะ ไม่เพียงทำให้คนขนลุก แต่ยังทำให้กระดูกในร่างอ่อนเปลี้ย เย่หวูเฉินผู้อ่อนแอพลันรู้สึกอ่อนปวกเปียก เขากล่าวเสียงแผ่ว “เปล่าประโยชน์ที่จะถามข้า เพราะข้าเป็นคนไร้ศีลธรรม และข้าไม่ใช่คนใจดีขนาดนั้น”
ซื่อหยาสีหน้าระทม นางกอดแขนข้างหนึ่งของเย่หวูเฉิน เขย่าแขนเขาทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจขณะกล่าว “พี่ชายแสนดี ท่านไม่ใช่คนไร้ศีลธรรมเสียหน่อย มอบชุดสวยๆแบบเดียวกับพี่สาวให้ข้าบ้างสิ ข้าอยากได้ ข้าอยากได้ นะๆ….”
ด้วยพลังร้ายกาจของน้ำเสียงรวมกับสีหน้าท่าทาง ร่างกายของเย่หวูเฉินแทบละลาย เขาลอบคิดในใจว่า หากหญิงสาวผู้นี้คิดเอาจริงขึ้นมา นางย่อมพรากชีวิตผู้อื่นได้ง่ายๆ เขาแกะมือนางออกจากแขนตนเอง มองที่นางอีกครั้งแล้วกล่าว “เอาละ….ก่อนอื่นบอกข้าว่าเจ้าชื่ออะไร”
พอได้ยินน้ำเสียงที่ลดความใจแคบลง ในใจพลันรู้สึกยินดี นางกล่าวด้วยสีหน้าเอียงอาย “ท่านแม่บอกข้าว่าแซ่ของหญิงสาวไม่อาจบอกกับชายหนุ่มได้ตามอำเภอใจ” จากนั้นทันใด นางก็กล่าวต่ออย่างไม่อาจทนรอ “ข้าชื่อ….กงรั่ว”
“แล้วพี่สาวเจ้า?”
“พี่สาวข้าชื่อกงเยว่”
“พี่ชายเจ้าล่ะ?”
“พี่ชายข้าชื่อกงลั่ว”
“….ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ได้โกหกข้า”
“หา? ข้าจะโกหกทำไม? รีบเอาชุดสวยๆออกมาให้ข้าเร็วเข้า!”
“โอ้?” เย่หวูเฉินแปลกใจและทำเป็นไร้เดียงสา “ข้าทันบอกเจ้าตอนไหนว่าจะเอาชุดสวยๆให้เจ้า?”
“ข้าบอกชื่อของข้าไปแล้ว!”
“แต่ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะเอาชุดสวยๆให้หลังจากที่เจ้าบอกชื่อ”
“ท่าน!” ซื่อหยาโกรธขึ้งจนแทบเต้นผาง นางชี้นิ้วหยกไปที่เย่หวูเฉิน ท่าทางเหมือนเตรียมระบายโทสะ เย่หวูเฉินเงยหน้า รื่นรมณ์กับท่าทางเง้างอนที่ดูน่ารัก “น้องหญิงกงรั่วเกิดมางดงาม ไม่ว่าจะสวมใส่เสื้อผ้าแบบใดก็ดูงดงามอยู่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องอาศัยอาภรณ์สวยงามใดๆ”
การกล่าวชมเชยอย่างฉับพลันครั้งนี้ได้ผล โทสะของหญิงสาวพลันสลายไป ใบหน้าไร้การปกปิดความกระหยิ่มยินดี “คนไร้ศีลธรรมนี่หลวกลวงผู้คนอีกแล้ว!”
เย่หวูเฉินยักไหล่ “ข้าไม่ได้หลอกเจ้าเสียหน่อย นอกจากข้าแล้ว ย่อมมีคนอื่นๆที่ชื่มความงามของเจ้าอยู่บ่อยๆ ใช่มั้ยเสวี่ยเอ๋อร์?”
“ใช่ๆ พี่หญิงซื่อหยางดงามมาก ไม่ว่าจะใส่ชุดใดท่านก็ดูดีอย่างยิ่ง” หนิงเสวี่ยพยักหน้า
ซื่อหยาได้รับคำชมเช่นนี้อยู่บ่อยๆ ทว่าไม่มีครั้งใดรู้สึกพิเศษเท่าครั้งนี้ นางรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองกำลังร้อนผ่าว ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นพลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง นางตะโกนด้วยความโกรธอีกครั้ง “ฮึ่ม! ท่านหลอกข้าอีกแล้ว! เห็นอยู่ชัดๆว่าพี่สาวสวยกว่าข้าขนาดไหน แล้วเหตุใดท่านถึงยังมอบชุดให้พี่สาวข้า”
“เพราะว่าพี่สาวเจ้าไม่เพียงแค่งดงาม นางยังอ่อนโยนและมีน้ำใจ ทุกวันนางต้องลำบากนำยาต้มมาส่งให้ข้าด้วยตัวเอง ข้าตอบแทนนางย่อมเป็นเรื่องปกติ ข้ายังคิดอยู่ว่าแค่ชุดนั้นยังไม่พอตอบแทน” เย่หวูเฉินส่งยิ้มให้ สื่อความหมายชัดเจนว่าข้ากับเจ้าพึ่งรู้จักกันวันนี้ไม่ใช่รึ?
ซื่อหยาขุ่นเคืองแก้มป่อง นางไม่อาจกล่าวแม้สักคำ นางพลันลุกขึ้น กัดริมฝีปากและกล่าว “ต้มยาอย่างงั้นเหรอ….ข้าก็ทำได้! เฮอะ!” นางหันขวับและก้าวออกไปอย่างเร่งรีบ ขาเรียวยาวสองข้างใต้กระโปรงแฉกเห็นได้ชัดเจน ดูน่าหลงใหลและชวนฝัน
เย่หวูเฉินส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม หนิงเสวี่ยที่โล่งใจในที่สุดก็หยิบถ้วยยาต้มขึ้นมา “ท่านพี่ ดื่มยาก่อน”
เย่หวูเฉินต้องดื่มยาต้มอย่างน้อยวันละหนึ่งถ้วย แต่ละวันกลิ่นของมันจะแตกต่างออกไป ทุกครั้งที่ดื่มเสร็จในร่างกายจะมีความอบอุ่นเกิดขึ้นไม่มากก็น้อย พลังจะกระเตื้องขึ้นมาในระดับปานกลาง ทว่าเพียงไม่นานความรู้สึกเหล่านี้จะสลายหายไป เขารู้อยู่แก่ใจว่าวิธีแบบนี้ไม่อาจช่วยฟื้นฟูร่างกายของเขาได้ แต่เขาไม่อาจปฏิเสธความหวังดีของชายชรา ที่คาดหวังปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้น
ปาฏิหาริย์….แท้จริงแล้วอยู่แห่งใด?
ชายชราพูดถูก โลกนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นที่สุด เขาโหยหาถึงปาฏิหาริย์ ทั้งยังเชื่อว่ามันมีอยู่จริง
ม่านพลังได้แตกออก ในยามบ่าย ชายชราเรียกทุกคนมาประชุมในที่เดียวกัน เขาแบ่งคนออกเป็นสิบกว่ากลุ่มให้ไปสำรวจ “โลกภายนอก” ม่านพลังแตกออกนั้นได้สร้างความยินดี แต่ไม่ใช่ความยินดีที่มากมายนัก เพราะทางด้านทิศใต้เป็นกำแพงผาที่สูงชันไร้ยอด ทั่วบริเวณปกคลุมด้วยป่าทึบ ด้านตะวันตกก็เป็นเช่นเดียวกัน รวมถึงด้านตะวันออก…ทางตันที่เย่หวูเฉินกับหนิงเสวี่ยรักษาตัวอยู่บนสนามหญ้าและลำธาร ในทางเหนือมีพื้นที่ต้องห้ามที่ไม่มีผู้ใดเหยียบย่ำเข้าไป ภายใต้การสำรวจอย่างละเอียด ไม่พบเจอสิ่งใดเป็นพิเศษ ข้อดีเพียงสิ่งเดียวคือมีพื้นที่กว้างขึ้นอีกเท่าตัว การฝึกปรือและล่าสัตว์สามารถทำได้ในพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
หลังช่วงเวลาตื่นเต้นสั้นๆ ชีวิตก็กลับคืนสู่ปกติ ในทุกวันทุกคนต่างยุ่งอยู่กับการฝึกและงานในมือ มันไม่มีผลใดๆกับพวกเขา เพราะแม้ม่านพลังจะถูกทำลาย แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในโลกเล็กๆอันโดดเดี่ยว ซึ่งไม่มีสิ่งใดแตกต่างออกไปเลย
วันต่อมา ซื่อหยาถือถ้วยยาต้มส่งกลิ่นร้ายกาจเดินเข้ามา เย่หวูเฉินรู้สึกทึ่ง หญิงสาวนางนี้กลับปรุงยามาจริงๆ หากแต่ว่ากลิ่นของมัน….นี่จะดื่มได้จริงๆเหรอ?
“ดูสิๆ ยาต้มนี้ข้าช่วยพี่สาวทำเองกับมือ รีบดื่มเร็วเข้า เร็วสิๆ” ซื่อหยารู้สึกสิ่งที่ตนกระทำนั้นยอดเยี่ยม ใบหน้ายิ้มย่องด้วยความตื่นเต้น หนิงเสวี่ยชะโงกมองน้ำยาในถ้วยที่มีสีดำ นางเอ่ยอย่างระมัดระวัง “พี่หญิงซื่อหยา มันดูเหมือนจะ….ไหม้”
“ไหม้? เปล่าเลย ยาต้มหน้าตามันก็เป็นแบบนี้แหละ” ซื่อหยาพูดตัดบท และกระเถิบไปอยู่ด้านหน้าเย่หวูเฉิน “มาสิ ให้ข้าป้อนให้ท่านดื่มนะ?”
สมุนไพรส่วนใหญ่ที่ชายชราเลือกใช้ล้วนมีกลิ่นฉุน เป็นการยากที่จะดื่ม และตอนนี้มันยังถูกเคี่ยวจนไหม้เกินไป เย่หวูเฉินต้องบีบจมูกตนเองด้วยไม่อาจทนกลิ่น ในเวลานี้เอง มีเสียงฝีเท้าตื่นตระหนกก้าวเข้ามา เอ้อหยาที่เพิ่งมาถึงมองเห็นถ้วยน้ำยาในมือซื่อหยา นางรีบคว้ามันออกจากมือซื่อหยาทันที ทั้งยังกล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิ “ข้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ามันไหม้ เจ้ายังเอามาอยู่อีก ขืนกินเข้าไปต้องแย่แน่ๆ”
ซื่อหยาใบหน้าเจ็บปวดด้วยรู้สึกไม่ยุติธรรม นางก้มศีรษะและเม้มริมฝีปากกล่าว “แต่ว่า นี่เป็นยาต้มถ้วยแรกของข้าเลยนะ ข้าไม่อยากให้มันสูญเปล่า….”
“หากเจ้าอยากเรียน เช่นนั้นข้าจะสอนให้เอง มาเถอะ เจ้าไปเก็บสมุนไพรกับข้าอีกที” เอ้อหยาหันศีรษะไปมองเย่หวูเฉิน นางกระซิบเสียงอ่อย “น้อง….น้องสาวข้าไม่ค่อยรู้เรื่องราว ท่านอย่าได้ถือสาเลย….” กล่าวจบนางก็ลากซื่อหยาที่มีสีหน้าไม่เต็มใจนักออกไปพร้อมกัน
พี่น้องสองสาว เอ้อหยากับซื่อหยา เดินไปตามทางเดินเล็กๆในป่า บนหลังของพวกนางสะพายตะกร้าสมุนไพรเล็กๆ ตอนนี้เอ้อหยาเปลี่ยนเป็นใส่ชุดหยาบกร้าน นางกลัวว่าชุดงดงามของนางจะเปรอะเปื้อนและฉีกขาด
“ท่านพี่ ท่านชอบเขาเหรอ?” ซื่อหยามองไปรอบๆ แล้วจู่ๆก็เอ่ยถาม
เอ้อหยาเหมือนคนอยู่ไม่สุข เมื่อถูกถามกะทันหัน นางแตกตื่นและรีบส่ายศีรษะ “….เขายังเยาว์เกินไป….”
ซื่อหยาไม่เชื่อและบุ้ยริมฝีปากแดง นางกล่าว “พี่สาวข้าที่แท้ก็ชอบหลอกลวงผู้คน เมื่อวานนี้ข้าเห็นอยู่ตำตาว่าเขาจูบท่าน อีกทั้งเวลาที่ท่านเห็นเขา ท่านจะหน้าแดง ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอกนะ”
เอ้อหยาก้มศีรษะลงต่ำ หัวใจเต้นรัวเร็ว
“ถึงท่านจะไม่ชอบเขา แต่เขาก็ชอบท่านแน่ๆ ไม่เพียงแค่จูบท่านแต่เขายังมอบชุดสวยๆให้ท่านด้วย เมื่อวานนี้ข้าขออยู่ตั้งนาน แต่เขาก็ไม่ยอมมอบให้ข้า” ซื่อหยาพึมพำด้วยความโกรธ นางลอบแลดูเอ้อหยาที่ตอนนี้กำลังหน้าแดง นางอดไม่ได้และครางในคอ “ท่านพี่ พรุ่งนี้ท่านจะอายุครบ 25 ปีแล้ว คืนพรุ่งนี้ท่านจะเลือกเขารึเปล่า?”
“ข้า…..”
“ท่านพี่” ซื่อหยาไม่รอให้เอ้อหยาตอบคำ นางหยุดเท้าและกล่าวเสียงต่ำ “ถ้าท่านไม่ชอบเขา เช่นนั้นข้าขอได้ไหม?”
เอ้อหยาเงยหน้า มองนางด้วยความตกใจ
“ท่านพี่เป็นคนที่สวยที่สุดของที่นี่ ไม่ว่าใครก็อยากแต่งงานกับท่าน เจ้าคนไร้ศีลธรรมผู้นั้น….เขาแย่มาก ร่างกายก็ย่ำแย่ เรี่ยวแรงก็ไม่มี ท่านปู่ยังบอกอีกว่าเขาอยู่ได้อย่างมากเพียงแค่ห้าปี เขาไม่เหมาะกับท่านพี่เลย” ดวงตางดงามของซื่อหยาฉายแววปั่นป่วน
“ซื่อหยา เจ้าชอบเขาเหรอ?” เอ้อหยาเมื่อเห็นสีหน้านั้น นางจึงถามเสียงอ่อน
ซื่อหยาส่ายศีรษะ จากนั้นเม้มริมฝีปากและพยักหน้าช้าๆ “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใด บางทีอาจเป็นเพราะ….เพราะร่างกายของข้าถูกเขามอง” ซื่อหยารวบรวมความกล้า กล่าวด้วยใบหน้าแดงผ่าว
“อะไรนะ?”
“วันนั้นข้ากำลังอาบน้ำอยู่ในทะเลสาบน้อย เขาไม่รู้ว่านั่นคือที่อาบน้ำสำหรับสตรีและเข้ามาใกล้ ข้าได้ยินเสียงแต่คิดว่าคงเป็นพี่สาวน้องสาวคนอื่น ดังนั้นจึงไม่ทันใส่ใจ ไม่คิดว่าจะเป็น….เป็นเขา ร่างกายข้าถูกเขามอง หลังจากนั้นข้าถึงได้พบว่า….แท้จริงแล้วเขาเป็นคนดีมาก ได้แต่งงานกับเขาย่อมเป็นเรื่องดี” ซื่อหยาพูดพร้อมยกมือขึ้นปิดหน้าที่แดงเป็นดวงตะวันตกดิน
เอ้อหยายืนนิ่งไปครู่หนึ่ง นางส่ายศีรษะอ่อนโยนและกล่าว “ซื่อหยา เจ้ายังเยาว์นัก….เวลา 10 ปี เจ้าและคนอื่นจะรอได้หรือ แล้วเขาจะรอได้หรือ?”
ซื่อหยาร่างกายแข็งทื่อ ริมฝีปากสั่นเครืออยู่ชั่วขณะ นางไม่ส่งเสียงใดๆ ดวงตาค่อยๆกลายเป็นสีแดงและปกคลุมด้วยม่านน้ำใสอย่างรวดเร็ว
[ปล.เหมือนว่าประเพณีของที่นี่ ผู้หญิงจะแต่งงานได้ตอนอายุ 25 ปี ที่จริงมีตอนเก่าอธิบายไว้ครึ่งประโยค แต่ตอนนั้นไม่ค่อยแน่ใจเลยเอาออกก่อน]