📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยาย Heavenly Star สวรรค์มวลดาว – เล่ม 4 ตอนที่ 214

บทที่ 214 - ออกไป!
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

หลงหยินไปที่ห้องหนังสือของเย่ฉุ่ยเหยาเพียงลำพัง ไร้การแจ้งประกาศบอก เขาพลักประตูเปิดเข้าไป สัมผัสได้ถึงความเงียบและกระแสลมเย็นพัดผ่านใบหน้า เย่ฉุ่ยเหยานั่งอยู่ในห้องเหมือนที่คิดไว้ ตั้งแต่เมื่อวานที่นางได้ยินข่าวของเย่หวูเฉิน นางปิดประตูไม่คิดออกมา , ไม่นอนตลอดทั้งคืน , ไม่กินหรือดื่มใดๆ , ไม่ร้องไห้ นางเพียงนั่งเหม่ออยู่ตรงนั้นเกือบตลอดเวลา

แม้หลงหยินโผล่มากะทันหัน นางก็ไม่หันหน้าไปมอง ทงซินที่อยู่ด้านข้างนางเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นถอนสายตากลับไม่มองเขาต่อ ราวกับว่านางไม่สนใจตัวตนของเขาโดยสิ้นเชิง

บรรยากาศแบบนี้ไม่คุ้นต่อหลงหยินอย่างมาก เขาเปิดปากและกล่าว “เย่ฉุ่ยเหยา นี่ข้าเอง”

เมื่อได้ยินเสียง เย่ฉุ่ยเหยาหันกายมา มองที่เขาอย่างไร้ความรู้สึก ไม่ตอบคำกลับ ไม่กระทำคารวะ มีเพียงสายตาซึมเซาที่ราวกับมองคนแปลกหน้า

หลงหยินไม่ถือสา เขาถอนหายใจและกล่าว “ข้ารู้เรื่องทุกอย่างแล้ว เมื่อครู่ที่ผ่านมาข้าได้พบบิดาและปู่ของเจ้า ตอนนี้ข้ามาที่นี่ด้วยตัวเองเพราะมีเรื่องหนึ่งจะพูดกับเจ้า” เขาหยุดคำ เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับของเย่ฉุ่ยเหยา เขารู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะกล่าวมากความ ดังนั้นเขาจึงกล่าวเข้าประเด็น “เรื่องนี้ ข้าจะพูดเจ้าอย่างตรงไปตรงมา หลังจากเหตุการณ์วันนั้น จักรพรรดิแห่งต้าฟงโกรธเกรี้ยวอย่างมาก ต้องการบุกจู่โจมอาณาจักรเทียนหลงของข้าในทันที แต่รัชทายาทได้ขัดขวางไว้ ฟงหลิงได้ส่งข้อความมาถึงข้า ว่าหากเจ้ายังคงต้องการกลับต้าฟงเพื่อจบพิธีแต่งงาน พวกเขาจะลืมเรื่องราวความขัดแย้ง สันติสุข 5 ปีจะยังคงดำเนินต่อไป ข้าอยากฟังความคิดเห็นของเจ้า”

เย่ฉุ่ยเหยาใบหน้าพลันเยียบเย็นในพริบตา เปล่งน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “ท่าน…..กลับยังคิดให้ข้าแต่งงานกับฆาตกรสังหารเสี่ยวเฉินอยู่อีก!”

หลงหยินคาดคิดไว้แล้วว่านางจะตอบสนองเช่นนี้ เขากล่าวอย่างไร้ทางเลือก “ความเกลียดชังที่ข้ามีต่ออาณาจักรต้าฟงไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด ด้วยข้าไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากเจ้า เหตุใดข้าจะไม่รู้ว่า หากการสมรสเพื่อสันติครั้งนี้สำเร็จลง ย่อมเป็นความหมิ่นหยามต่ออาณาจักรเทียนหลง ข้าเองเข้าใจถึงความเกลียดชังของตระกูลเย่เจ้าดี แต่เจ้ารู้ความหมายของการ ‘ทนอัปยศยิ่งเพื่อสิ่งใหญ่’ หรือไม่? ตอนนี้เหล่าขุนนางทุกผู้ต่างรู้ดี ว่าหากเกิดสงครามขึ้นในตอนนี้ เทียนหลงของข้าย่อมพบวิกฤตแห่งความล่มสลาย และคนที่จะกอบกู้ปัญหานี้ได้มีเพียงเจ้าเท่านั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถแบกรับการถูกหมิ่นหยาม และช่วยเหลือผู้คนทั้งปวง ประวัติศาสตร์แห่งเทียนหลงจะจดจำนามของเจ้าตลอดไป! เจ้าเคยยอมรับไปแล้วรอบหนึ่ง เจ้าสมควรตระหนักถึงประโยชน์ของมัน บุรุษและสตรีแห่งตระกูลเย่ทั้งหมดล้วนภักดีต่ออาณาจักร เจ้าต้องการยอมรับเป็นครั้งที่สองหรือไม่?”

เย่ฉุ่ยเหยาฟังเสียงของเขาด้วยใบหน้าเย็นชา เมื่อเขากล่าวจบลง นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “อาณาจักรเทียนหลงจะล่มสลายลงไม่ใช่ธุระอันใดของข้า ตระกูลหลงของท่านจะล่มสลายก็ไม่ใช่ธุระของข้าเช่นกัน….ออกไป!”

ด้วยการสวดด่าของนาง ใบหน้าหลงหยินกลายเป็นทะมึนมืด จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรเทียนหลง ไม่เคยพบเจอผู้ใดไม่เคารพต่อเขามาก่อน เขาตะโกนเกรี้ยวกราด “บังอาจ!”

เมื่อสิ้นเสียงทรงอำนาจอย่างราชัน ทงซินพลันเงยศีรษะขึ้น ดวงตานางจ้องตรึงอยู่ที่เขา อากาศในห้องกลายเป็นเย็นยะเยือก หลงหยินเหมือนถูกอสรพิษจ้องมอง ความหวาดกลัวไร้ตัวตนปรากฎขึ้นในใจ เย็นเยียบแผ่ขยายจนหัวใจสั่นระริกรุนแรง

ทันใดนั้น ประตูห้องถูกผลักเปิด สองร่างชราลิ่วร่างเข้ามาด้านใน หยุดยืนอยู่ข้างหลงหยิน พวกเขาคือสองในสามผู้ปกปักษ์ เมื่ออาวุโสหลี่เข้ามาถึงก็รีบก้มศีรษะลงและกล่าว “ฝ่าบาท มีเรื่องด่วนแจ้งเข้ามาจากราชวัง ทูลเชิญฝ่าบาทให้รีบกลับโดยเร็ว” จากนั้นเขาลากหลงหยินเล็กน้อย หลงหยินเข้าใจและเหลือบมองทงซินด้วยความหวาดกลัว จากนั้นหันร่างและจากไป

ระหว่างทางกลับวัง ความรู้สึกพรั่นพรึงยังไม่จางจากใจของหลงหยิน ชั่วขณะที่ทงซินจ้องมองมาที่ตน เขารู้สึกขนลุกราวกับถูกมีดพาดจ่อลำคอ และเพียงเขาขยับตัวเล็กน้อยมันก็พร้อมจะพรากชีวิตเขาได้ในทุกเวลา ด้วยความกลัวที่ยังเคลื่อนคล้อยอยู่ในใจ เขาถาม “คนผู้นั้น เด็กหญิงที่เย่หวูเฉินเก็บมาจากที่ไหนสักแห่งก่อนหน้า จริงๆแล้วนางเป็นใครแน่?”

“ฝ่าบาทก็ทรงสังเกตเห็นความผิดแผกของนางด้วยหรือ?” เสียงหนึ่งถามออกมา

“ถูกต้อง แม้ว่าข้าไม่ใช่ยอดฝีมือที่มีทักษะทางยุทธ แต่เมื่อครู่พลังที่แผ่ออกมาย่อมเกิดจากยอดฝีมือ คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหญิงเยาว์วัยอย่างนางจะน่ากลัวถึงเพียงนั้น อาวุโสหลี่ เหตุใดเมื่อครู่นี้ท่านถึงต้องการให้ข้าออกมา หรือท่านไม่มั่นใจว่าจะรับมือนางได้? เฮอะ! เย่ฉุ่ยเหยาถึงกลับกล้าล่วงเกินไร้ความเคารพต่อข้า น่าขันสิ้นดี!” เมื่อคิดถึงตอนที่เย่ฉุ่ยเหยาตะโกนคำว่า “ออกไป” หัวใจของเขาก็พลุ่งพล่านด้วยความโกรธ ตลอดที่ผ่านมาไม่มีผู้ใดกล่ากล่าวกับเขาเช่นนั้น

“ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่มั่นใจ แต่ทว่า….. ต่อให้มีข้า 10 คน หรือกระทั่ง 20 คน จู่โจมพร้อมกัน พวกเราก็ยังคงไม่ใช่คู่มือนาง”

“อะไรนะ!?” หลงหยินหยุดฝีเท้า ขณะที่แปลกใจ เขาขมวดคิ้วและกล่าว “ที่ท่านพูด….เป็นความจริงงั้นหรือ?”

“ไหนเลยข้าจะกล้าโกหกฝ่าบาท”

“อาวุโสหลี่กล่าวได้ถูกต้อง หากนางต้องการสังหารพวกเรา นางเพียงต้องใช้การโจมตีไม่เกินสามครั้ง และหากนางต้องการทำร้ายฝ่าบาท….ต่อให้มีพวกเรานับร้อยคนก็ไม่อาจหยุดนางได้” น้ำเสียงชราอีกเสียงหนึ่งกล่าว

หลงหยินรู้สึกมึนตึงศีรษะ นึกถึงดวงตาน่าหวาดหวั่นของเด็กหญิง หัวใจก็สั่นสะท้านด้วยความกลัว “เป็น…..เป็นไปได้อย่างไร….”

“ฝ่าบาท มีหลายสิ่งในโลกที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยสามัญสำนึกธรรมดา อย่างเช่นเรื่องที่ว่า หวูเฉินแห่งตระกูลเย่สังหารเทพสงคราม สังหารสามอาวุโสแห่งต้าฟงที่มีฝีมือทัดเทียมกับพวกเรา ระหว่างที่เหนื่อยล้าเขาสังหารทัพทหารนับหมื่นคน เรื่องนี้ดุจดั่งตำนาน แต่อย่างไรเสียก็เป็นความจริง”

หลงหยินจ้องมองว่างเปล่าอยู่นาน เขาระบายลมหายใจออกและกล่าว “ท่านกล่าวได้ถูกต้อง….. ข้าไม่เคยคิดเลยว่า เย่หวูเฉินจะปกปิดพลังแท้จริงที่ที่ยิ่งใหญ่ปานนั้นเอาไว้ สิ่งที่เขาได้กระทำในอาณาจักรต้าฟง นับได้ว่าสะท้านฟ้าและสะเทือนเทพ”

วานนี้เมื่อหลงหยินได้รับข่าว เขารู้สึกตกใจจนไร้คำพูด ยามนี้เมื่อคิดถึงตอนนั้น ด้วยความระแวงกลัวในหัวใจ เขาจึงวางแผนเอาชีวิตเย่หวูเฉิน มาถึงวันนี้จึงได้ตระหนักว่า ด้วยพลังน่าหวาดหวั่นที่เขาเก็บซ่อนไว้ กระทั่งเพียงพอสังหารเทพสงคราม หากเขาต้องการล้างบางตระกูลหลงย่อมเป็นเรื่องง่าย หากแต่ยังโชคดี เขาตายลงโดยไม่ใช่เพราะแผนของหลงหยิน แต่เป็นด้วยน้ำมือของต้าฟง เขาอดไม่ได้และต้องอุทานว่าคงเป็นสวรรค์ที่ปกป้องตระกูลหลง และไม่เพียงแค่เย่หวูเฉินเท่านั้น กระทั่งเด็กหญิงชุดดำที่อยู่ข้างเขายังอันตรายอย่างยิ่ง อีกทั้งยังไม่อาจอธิบายด้วยสามัญสำนึกธรรมดา หลงหยินพลันตระหนักได้ว่า ตัวเขาที่คิดว่าสามารถควบคุมได้ทุกสิ่ง แท้จริงกลับรู้จักเย่หวูเฉินเพียงแค่ผิวเผิน หากวันหนึ่งเขาเคลื่อนไหวพลั้งพลาด เขาย่อมไม่อาจปกป้องตัวเองได้

“ไม่แปลกใจที่เถาไปไปตกตายด้วยน้ำมือเขา พูดถึงยุทธภัณฑ์ชั้นเทพ ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องลวงตา ด้วยตัวเขาที่เยาว์วัย กลับบรรลุพลังเหนือล้ำถึงเพียงนี้ได้ หรือเขาจะครอบครองพลังแห่งเทพปีศาจในตำนานเอาไว้จริงๆ?”

หลงหยินเข้าใจผิดเกี่ยวกับเย่หวูเฉิน ในตอนนั้นเขาไร้พลังสังหารเถาไปไป ต่อให้เขาบรรลุพลังขั้นสามแห่งโกลาหลบรรพกาล เขาก็ยังไม่อาจกระทำได้ เขาพึ่งพาทงซินในการสังหารเถาไปไป ส่วนการสังหารฟงเฉาหยาง เขาพึ่งพลังของผลมังกรเพลิงฟ้าและกระบี่ตัดดารา

“เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเรายังตกใจเสียยิ่งกว่าฝ่าบาท และพวกเราก็ต้องการทราบ หากแต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ…. ฝ่าบาทโปรดอย่าได้กระตุ้นโทสะของเด็กหญิงผู้นั้น ไม่ว่าทางใดก็ห้ามเด็ดขาด! เมื่อครู่ที่ผ่านมา นางมีเจตนาพร้อมสังหาร หากพวกเราเข้าไปช้ากว่านั้นเพียงก้าวเดียว ฝ่าบาทคงถึงคราว….”

หลงหยิน “……..”

หลงหยินเพิ่งกลับมาถึงในวัง ขันทีผู้หนึ่งก็รีบร้อนเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท พวกเราได้ยินจากนางกำนัลแห่งวังหงส์เหิน ว่าองค์หญิงเฟยฮวงไม่ทานอาหารมาตั้งแต่เมื่อวาน ฝ่าบาทประสงค์ที่จะ…..”

ด้วยมีเรื่องมากมายให้กังวลในจิตอยู่ เขาโบกมือ “หากนางอยากทานอะไรก็ไปเตรียมสิ่งนั้นให้นาง เจ้าออกไปได้…..ช้าก่อน ไปเรียกหลินขวงมาให้ข้า”

หลังจากนั้นพักหนึ่ง หลินขวงก้าวเท้าเข้ามาเร่งรีบ ก้มคำนับแล้วกล่าว “ฝ่าบาท มีบัญชาใดให้บ่าวผู้นี้ได้รับใช้ท่าน?”

“เจ้ารู้เรื่องของเย่หวูเฉินแล้วหรือยัง?” หลงหยินถาม

“กระหม่อมทราบแล้ว” เหตุการณ์นี้เป็นหัวข้อสนทนาร้อนแรงทั่วทั้งทวีปเทียนเฉิน ยากนักสำหรับเขาที่จะไม่รู้เรื่องนี้

“เจ้ามีความเห็นอย่างไร?”

“เรื่องนี้….” หลินขวงชะงัก จากนั้นกล่าวอย่างรอบคอบ “คิดไม่ถึงว่าเขาจะปกปิดพลังเอาไว้มิดชิด เป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่ง”

เขาถอนหายใจเช่นเดียวกับหลงหยิน หลงหยินไม่ได้ถามต่อ เขามุ่นหัวคิ้วและกล่าว “ไม่ว่าเขาจะน่ากลัวเพียงใด ตอนนี้เขาได้ตกตายไปแล้ว พวกเราไม่ต้องใส่ใจเขาอีกต่อไป การตายของเย่หวูเฉินเป็นเรื่องดีต่อข้าและตระกูลหลินของเจ้าอย่างยิ่ง เย่หนู่เตรียมที่จะปลดเกษียณ ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับธุระบ้านเมืองอีกต่อไป เรื่องนี้ไม่ใช่ทั้งดีและแย่ ด้วยอุปนิสัยของเขา หากเกิดสงครามขึ้นเขาย่อมอาสาออกตัว ที่เจ้าต้องจัดการในเวลานี้คือตระกูลฮั่ว เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?”

หลินขวงรีบรับคำทันที “บ่าวชราเข้าใจแล้ว!”

…………………

หิมะได้หยุดลงในช่วงบ่าย เสี่ยวลู่ที่ร้องไห้จนตาแดงและเบ้าตาลึก ตอนนี้นางนำอาหารมาส่งให้เงียบงัน จากนั้นก้าวออกไปเงียบๆ เย่ฉุ่ยเหยาไม่ได้กินอะไรมาตลอดวัน ร่างกายนางเย็นและหัวใจยิ่งเย็นกว่า นางเชื่ออยู่ตลอดว่า การหนีจากเขาจนทำให้เย่หวูเฉินไล่ตามไปถึงอาณาจักรต้าฟง คือสาเหตุที่ทำให้เขาถึงแก่ความตาย

ทงซินนำอาหารจานร้อนมาอยู่ตรงหน้า มองยังดวงตาฉ่ำน้ำของเย่ฉุ่ยเหยา นางส่ายศีรษะและกล่าวอ้างว้าง “ข้าไม่หิว เจ้ากินก่อนเถอะ”

ทงซินส่ายศีรษะด้วยเช่นกัน เพียงยกชูอาหารไว้ครึ่งมือ ทว่ารออยู่นานเย่ฉุ่ยเหยาก็ยังคงนั่งนิ่งเหม่อลอย ทงซินวางอาหารลง จากนั้นไปหยิบพู่กันกับแผ่นกระดาษ แล้วเงอะงะขีดเขียน สำหรับนางแล้ว การเขียนอักษรยากลำบากกว่าการสังหารผู้คน

หลังจากเขียนเสร็จ นางวางแผ่นกระดาษไว้เบื้องหน้าเย่ฉุ่ยเหยา บนนั้นมีตัวอักษรขยุกขยิกเขียนไว้ว่า “หากท่านไม่กิน เขาจะเป็นห่วง”

น้ำตาพรั่งพรูออกจากดวงตาของเย่ฉุ่ยเหยา นางทนกลั้นไว้ตลอดอย่างยากเย็น นางยกมือป้องปาก พยักหน้าด้วยเรี่ยวแรงที่มี จากนั้นหยิบตะเกียบขึ้นมา

ตอนนี้ทงซินปฏิบัติต่อเย่ฉุ่ยเหยาในฐานะผู้หนึ่งที่นางจะพักพิง ขณะเดียวกันทงซินก็เป็นร่มปกปักษ์ป้องกันให้เย่ฉุ่ยเหยา รวมทั้งยังเป็นคนเดียวที่นางจะเผยความรู้สึกแท้จริงที่มี มิตรภาพก่อกำเนิดเพราะหนึ่งบุคคล เพราะคนหนึ่งคือพี่สาวที่เขาชื่นชอบที่สุด และอีกคนหนึ่งคือน้องสาวที่เขามักพาร่วมทางไปด้วยทุกที่

…………………….

เมืองเทียนหลง ตระกูลฮั่ว

“ยอดยาหยี บิดาเจ้าขอร้องละ โปรดกินอะไรบ้างเถอะ หากเจ้าไม่กินอะไรเลย ร่างกายของเจ้าจะพังเอา!” ฮั่วเจิ้นเทียนทั้งปลอบทั้งอ้อนวอนลูกสาว จนตอนนี้แทบอยากจะคุกเข่าอยู่ต่อหน้า ตั้งแต่เมื่อวานที่ทราบข่าวการตายของเย่หวูเฉิน เขานิ่งค้างโง่งมอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะปิดเรื่องนี้เอาไว้ แต่ทว่าเรื่องนี้สร้างความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ ทั่วทั้งทวีปเทียนเฉินต่างถกเถียงถึงเรื่องนี้ ไฉนเลยเขาจะปกปิดมันไว้ได้ ฮั่วฉุ่ยโหรวรู้ข่าวนี้ผ่านทางอื่นอย่างรวดเร็ว ครั้งแรกที่นางได้ยินข่าว โดยไม่ทันกล่าวคำนางก็หมดสติลง สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ฮั่วเจิ้นเทียน

ฮั่วเจิ้นเทียนกล่อมนางตั้งแต่วันก่อน เค้นสมองทุกส่วนกล่าวปลอบ ทว่าฮั่วฉุ่ยโหรวเพียงแต่จ้องว่างเปล่าขณะนั่งอยู่บนเตียง ในแววตาไร้ชีวิต ไม่กล่าวแม้คำเดียว ราวกับสูญเสียวิญญาณ ฮั่วเจิ้นเทียนพยายามคุยกับนางอยู่เนิ่นนาน แต่นางไม่แม้กระทั่งจะกระพริบตา

ฮั่วเจิ้นเทียนพ่นลมออก ใช้เรี่ยวแรงทุบศีรษะ เขาเข้าใจลูกสาวตัวเองเป็นอย่างดี ความตายของเย่หวูเฉินมีผลกระทบหนักหนาสำหรับนาง ทันทีนั้นวิญญาณนางได้ตามเขาไป

“ถ้าหากเจ้าไม่กิน บิดาเจ้าจะอดอาหารด้วยกันกับเจ้า หากเจ้าไม่อยากให้บิดาเจ้าอดตาย เช่นนั้นก็จงกินอะไรบ้าง ตกลงไหม?” ฮั่วเจิ้นเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนสุดแสน ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ ฮั่วฉุ่ยโหรวยังไม่กินหรือดื่ม , ไม่ได้กล่าวคำใด , ไม่มีน้ำตาหยดร่วง , เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น….. เขาแทบอยากคุกเข่าต่อหน้าลูกสาวตนเอง

“อั้ย…. แม้ว่าเจ้าไม่อยากจะกิน อย่างน้อยจะดีกว่าถ้าเจ้าร้องไห้ ในฐานะบิดาเจ้า….. ข้าเป็นห่วงเหลือเกิน” ฮั่วเจิ้นเทียนใช้เรี่ยวแรงทุบหน้าอกตน ราวกับหินก้อนใหญ่เบียดบดอยู่ในใจ เจ็บปวดเหลือประมาณ

ฮั่วฉุ่ยโหรว “……..”

หากฮั่วฉุ่ยโหรวร้องไห้ออกมาตลอดวันตลอดคืน ด้วยหัวใจที่แตกสลายเจ็บปวด ฮั่วเจิ้นเทียนคงไม่รู้สึกกังวลถึงเพียงนี้ หัวใจเขาคงผ่อนคลายลง แต่นางเพียงนั่งเหม่อ เขาผู้เป็นบิดายิ่งรู้สึกยากที่จะรับไหว ทั้งยังรู้สึกหวาดกลัว เขาทอดถอนหายใจขณะออกมาด้านนอก ค่อยๆปิดประตูห้องของลูกสาวเบามือ

Facebook Twitter Telegram Pinterest
Heavenly Star สวรรค์มวลดาว (จบ)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Completed ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เด็กหนุ่มลึกลับผู้ลืมเลือนอดีต ตื่นขึ้นมาในทวีปเทียนเฉิน ถูกเข้าใจว่าเป็นบุตรชายตระกูลเย่ เขาจึงใช้สถานะนี้เฝ้าสังเกตโลกอันยุ่งเหยิง รวมทั้งสืบหาอดีตของตน หากแต่โชคชะตาที่ต้องประสบกลับมีเพียงความน่าหวั่นสะพรึง เขาจึงหัวเราะเยาะโชคชะตา และเผยพลังสะท้านแดนดินใต้ผืนสวรรค์.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset