เดินเข้ามาในสวน ฮั่วเจิ้นเทียนอารมณ์กลายเป็นหม่นหมอง คนใช้สองสามคนที่กวาดทำความสะอาดบริเวณ เมื่อมองเห็นเจ้านายที่ออกมาด้วยใบหน้ามืดมน พวกเขาหัวใจกระตุกวูบและก้มศีรษะต่ำตั้งใจทำงาน ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ
“อาซาน มาตรงนี้!!” ฮั่วเจิ้นเทียนจ้องสองตา ระเบิดเสียงคำรามเกรี้ยวกราด จนทำให้ทั้งบ้านตระกูลฮั่วสั่นกราว
คนใช้ที่ชื่อว่า “อาซาน” เกือบหัวใจวาย เขารีบสงบจิตใจและตรงไปเบื้องหน้า ก้มศีรษะลงและกล่าว “นายท่าน มีอะไรให้บ่าวรับใช้?”
“ออกไป!!”
เนื่องจากยืนใกล้เกินไป อาซานแทบสลบด้วยความตกใจ เขารีบพยักหน้าราวกับได้รับอภัยโทษ “ขะ….ขอรับ ขอรับ ข้าจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้” จากนั้นเขาก็รีบวิ่งออกไป เป็นเวลานานที่เสียงยังคงก้องดังอยู่ในหูเขาทั้งสองข้าง
เมื่อฮั่วเจิ้นเทียนต้องการระบายโทสะ เขามักจะหาใครสักคนมาและคำรามใส่ แต่เขาไม่เคยทุบตีทำร้ายผู้ใด เมื่ออาซานออกไปแล้ว ฮั่วเจิ้นเทียนยังคงโกรธเป็นควัน ชี้ไปที่ฟ้าและคำรามสนั่น “เย่หวูเฉิน เจ้าลูกสำส่อนบัดซบ เหตุใดเจ้าต้องมาตายแบบนี้ ข้าโง่เง่ายกลูกสาวให้กับเจ้า! เจ้าอยากตายก็ตายไปเลย เหตุใดต้องทำร้ายลูกสาวของข้าด้วย! หากวันใดที่ข้าได้ไปยังปรภพ ข้าจะแล่เนื้อเถือหนังเจ้า , ฉีกกระดูกของเจ้าออก , สับมันโยนให้พวกสำส่อนกิน , จะไม่ให้เจ้าได้ผุดได้เกิด…. อั้ย! เย่หนู่ เจ้าเฒ่าหนังเหนียว ดูสิว่าเจ้ามีหลานชายแบบใด ข้าไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าแปดชั่วรุ่นจะเป็นพวกไร้ประโยชน์สิ้นดี…..”
สาปส่งบรรพบุรุษของเย่หวูเฉินแปดชั่วรุ่น ฮั่วเจิ้นเทียนยังไม่รู้สึกดีขึ้น เขาก้าวเท้าหนักย่ำลงพื้น ด้วยความโกรธเขาเตรียมออกไปยังตระกูลเย่เพื่อระบายโทสะ แต่ก่อนที่เขาจะได้ออกไป ประตูหลักก็ถูกผลักเปิด สตรีวัยกลางคนก้าวเข้ามา เป็นหวังเวิ่นชู เวลานี้ใบหน้าของนางบูดบึ้งและซีดขาว
เมื่อฮั่วเจิ้นเทียนเห็นนาง ความโกรธก็ค่อยๆปะทุขึ้นจากท้อง เขาก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อยและคำรามลั่น “เจ้ายังกล้ามาที่นี่อีก! ลูกชายของเจ้าตาย ดูสิว่าเขาทำอะไรไว้กับลูกสาวข้า…..”
เมื่อเข้ามาใกล้ เขามองเห็นคราบน้ำตาที่ยังไม่หายไปจากใบหน้าของหวังเวิ่นชู ฮั่วเจิ้นเทียนพลันชะงักหยุดไม่กล่าวคำใดๆต่อ คนที่ตายไปคือบุตรชายเพียงคนเดียวของนาง คือบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลเย่ ความเจ็บปวดในใจนางย่อมสาหัสมากกว่าเขาหลายเท่า เพียงเพราะลูกสาวตนเองเขากลับตวาดด่า สาดเกลือใส่บาดแผลผู้อื่น…. เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฮั่วเจิ้นเทียนพลันรู้สึกเสียใจ ปรารถนาอยากตบหน้าตัวเอง
แต่เขาไม่อาจปั้นหน้าขอโทษ เขาเบือนหน้าออกและกล่าวเสียงเย็น “ข้าจะออกไปหาและคุยกับเย่เว่ย”
“ท่านแม่…..” ประตูห้องนอนถูกเปิดออก เป็นเสียงเรียกเศร้าโศก ฮั่วฉุ่ยโหรววิ่งออกมาด้วยน้ำตานอง โยนร่างเข้าสู่อ้อมแขนของหวังเวิ่นชู ร้องไห้ขื่นขมกระซิกราวเสียงนกร้อง กดเก็บไว้นานจนน้ำตาพรั่งพรู ในพริบตานั้นเสื้อผ้าของหวังเวิ่นชูเปียกด้วยน้ำตานาง
“ยอดยาหยี…..” ฮั่วเจิ้นเทียนยื่นแขนออก ภาพลูกสาวที่คร่ำครวญร้องไห้ได้คลายใจเขาในที่สุด และทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม
“……เจ้ายังคงเรียกข้าว่าแม่อยู่หรือ?” หวังเวิ่นชูไม่อาจห้ามน้ำตาที่ร่วงลงมาอีกครั้ง ลูบหลังปลอบและถามด้วยเสียงสั่นเครือ ครั้งนี้นางมาตระกูลฮั่วตามลำพังเพื่อพบฮั่วฉุ่ยโหรว ด้วยคำเรียกหาว่าแม่จากฮั่วฉุ่ยโหรว ความรู้สึกมากมายได้ท่วมท้นขึ้นในหัวใจ
“แน่นอนท่านคือแม่ข้า….. ท่านเคยกล่าวไว้ก่อนหน้า ว่าตราบใดที่ข้าสวมใส่กำไลนี้อยู่ ข้าก็จะเป็นสะใภ้แห่งตระกูลเย่ ฉุ่ยโหรวเป็นภรรยาของเขาแล้ว เป็นสะใภ้แห่งตระกูลเย่ และจะเป็นตลอดไป ในเมื่อสามีไม่อยู่ที่นี่อีก…. ฉุ่ยโหรวจะทำหน้าที่แทนสามี ดูแลท่านพ่อ , ท่านแม่ , และท่านปู่ ไปจนชั่วชีวิตของนาง….ฮืออ ฮืออ…..”
ฮั่วเจิ้นเทียนหันร่างหนี บนอกและจมูกเริ่มสะอื้น เขากล่าวเงียบงัน “ลูกสาวผู้โง่เขลา…..ฮ่าย เด็กโง่!”
ถ้อยคำของฮั่วฉุ่ยโหรวราวกับสายลมละมุน ปลอบประโลมบาดแผลในใจของหวังเวิ่นชู ทำให้หัวใจตื้นตันและเจ็บปวด นางใช้มือปาดน้ำตาให้นางและกล่าว “เด็กดี…. เฉินเอ๋อร์ได้เคียงใกล้สตรีเช่นเจ้านับเป็นวาสนาของชีวิต แต่ว่า…. เจ้ากับเฉินเอ๋อร์ยังไม่ได้ตบแต่งเป็นสามีภรรยากันจริงๆ เจ้าเพิ่งอายุครบ 16 ในปีนี้ พวกเราจะทำลายอนาคตของเจ้าได้อย่างไร เส้นทางของเจ้ายังคงอีกยาวไกล เจ้าอย่าได้….”
“ไม่! ไม่…. อย่าได้กล่าวเช่นนั้นท่านแม่….” ฮั่วฉุ่ยโหรวเร่งร้อนกล่าวขัด มองด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “ชั่วชีวิตนี้ของข้าจะเป็นของสามีเท่านั้น ต่อให้ท่านแม่ขับไล่ข้าออกไป ข้าก็จะเป็นสะใภ้ตระกูลเย่เสมอ อยู่ในฐานะส่วนหนึ่งของตระกูลเย่ และตายในฐานะส่วนหนึ่งของตระกูลเย่ ชั่วชีวิตนี้ของข้า….จะไม่มีวันกลับคำ!”
ทุกถ้อยคำเปี่ยมอารมณ์รู้สึกของหญิงสาวที่โง่งมในรักและเสียใจล้ำลึกต่อเย่หวูเฉิน ในโลกนี้มีคำสาบานรักนิรันดร์มากมายด้วยไม่อาจหักห้ามอารมณ์ ทว่ามันถูกทำลายลงโดยง่าย ผู้ที่จะรักษาสัญญาได้ตลอดรอดฝั่งมีน้อยยิ่ง ภายนอกฮั่วฉุ่ยโหรวอ่อนโยนและบอบบาง แต่ภายในนางอุทิศตัวอย่างแรงกล้า หัวใจของหวังเวิ่นชูบังเกิดความรู้สึกมากมาย หวังเวิ่นชูกอดนางแน่น จากนั้นกล่าวอย่างเศร้าโศก “โหรวเอ๋อร์ เรื่องนี้สมควรหนักหนาสำหรับเจ้า…. สวรรค์ได้พรากลูกชายของข้าไป กระนั้นยังมอบลูกสะใภ้ที่ยอดเยี่ยมให้กับข้า ดวงวิญญาณของเฉินเอ๋อร์ย่อมไม่เสียใจแล้ว…..”
ฮั่วเจิ้นเทียนหันกายกลับมา กล่าวพร้อมทอดถอนใจ “ได้ลูกสาวข้านับเป็นวาสนาอย่างยิ่งต่อตระกูลเย่ของเจ้า ในเมื่อลูกสาวของข้าต้องการเช่นนี้….ข้าก็จะนับเจ้าเป็นญาติด้วยสัมพันธ์แต่งงาน ข้าหวังจะเจ้าจะปฏิบัติต่อลูกสาวของข้าอย่างดีในวันหน้า เอ่อ…..ญาติข้า เจ้ารู้จักเรื่องความหุนหันของข้าดี คำพูดเมื่อครู่ที่ข้ากล่าวออกไป โปรดอย่าได้ถือสา ท่ามกลางเหล่าบุรุษผู้ที่คู่ควรกับลูกสาวข้า และคนที่ข้าประทับใจอย่างแท้จริง มีเพียงบุตรชายของเจ้าเท่านั้นที่ข้าพอใจ แต่น่าเสียดายนัก ผู้ที่สวรรค์รักปานนี้กลับอายุสั้น…. ฮ่าย เจ้าย่อมเสียใจกับชะตาเช่นนี้ ข้าจะไปพบและดื่มกับน้องเย่”
เขาส่ายศีรษะ หันร่างแล้วจากไป เว้นช่องว่างให้แม่สามีกับลูกสะใภ้ได้คุยกัน เขาออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็เดินกลับมา จากนั้นกล่าว “ลูกสาวข้ายังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน ช่วยอยู่กับนางแล้วกินมื้อเที่ยงเป็นเพื่อนนาง”
หลังจากกล่าวจบ เขาเดินออกจากประตูหลักอีกครั้ง ในเวลาเช่นนี้ สิ่งที่เหมาะสำหรับเขาที่สุดคือการดื่มสุรา
หวังเวิ่นชูดึงมือของฮั่วฉุ่ยโหรว นางกล่าวขณะปาดน้ำตา “เด็กดี ตอนนี้เจ้าสมควรหิวอยู่ หากเจ้าปล่อยให้ตัวเองอดโซ เฉินเอ๋อร์จะเสียใจกับเจ้าอยู่บนสวรรค์….. ข้าไม่ได้นำอาหารเที่ยงมาด้วย เจ้าให้แม่ได้ลิ้มรสอาหารฝีมือเจ้าได้หรือเปล่า? ก่อนหน้านี้ เฉินเอ๋อร์ได้คุยอวดฝีมือทำอาหารของเจ้าทุกวัน ว่ากระทั่งคนครัวของราชวังยังเทียบไม่ติด”
พอกล่าวถึงเฉินเอ๋อร์ น้ำตานางก็เริ่มไหลออกมาอีกครั้งหลังจากที่ปาดออกไป ความตายของเย่หวูเฉิน ผู้คนจำนวนมากต่างตกใจ และอีกจำนวนมากที่เจ็บปวด
“อื้ม” ฮั่วฉุ่ยโหรวตอบกลับอ่อนโยน จากนั้นทั้งสองตรงเข้าไปในครัว
……………………….
ในอีกมุมหนึ่ง
“ออกไป! พวกเจ้าทั้งหมดออกไปให้พ้น! พวกเจ้าจะหัวเราะเยาะข้าใช่มั้ย! ไสหัวออกไป!!”
หลังจากที่เย่หวูเฉินทำให้ขาขวาของหลินอวี้พิการ หลินอวี้ได้แต่นอนเป็นตายอยู่บนเตียงของเขา อารมณ์ยิ่งฉุนเฉียว ทำให้เหล่าคนใช้ไม่กล้าเข้าใกล้ ก่อนหน้านี้ เขายังโอหังไปทั่วเมืองเทียนหลงด้วยมีตระกูลคุ้มหัวอยู่ ไม่มีใครกล้ายั่วโมโห ทั้งอวดดีไม่มียับยั้ง ตอนนี้เขากลายเป็นคนพิการที่ยากจะเดิน จะให้เขาไม่บ้าคลั่งได้อย่างไร?
และปรากฎว่า ปู่ของเขาได้กล่าวเองว่าเรื่องทุกอย่าง เขาเพียงโทษตัวเองได้เท่านั้น ไม่อาจตำหนิผู้ใด และไร้หนทางที่จะแก้แค้น
เมื่อประตูถูกผลักเปิด หลินเสี่ยวก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าคับข้องใจ หมอหลวงหลี่ตามเขามาเบื้องหลัง เมื่อเห็นหลินเสี่ยว หลินอวี้ระงับตัวเองแล้วเรียก “พี่ใหญ่” แม้หลินอวี้จะอวดดีอย่างมาก สร้างปัญหาไว้ทุกที่ แต่เขายังคงเคารพต่อหลินเสี่ยว
หลินเสี่ยวพยักหน้ารับ เขาก้าวออกไปด้านข้างและกล่าว “ใต้เท้าหลี่ เชิญ”
หมอหลวงหลี่ก้าวเข้าไปหา เริ่มตรวจดูอาการบาดเจ็บของหลินอวี้ หลังจากนั้นครู่เดียว เขายืนขึ้นและกล่าว “บาดแผลหายดีแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรอีก แต่ขาข้างนี้จะไร้ความรู้สึกตั้งแต่นี้ต่อไป ในอนาคตเขาจำเป็นต้องใช้ไม้เท้าในการเดิน”
“ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วหรือ?” หลินเสี่ยวถามด้วยคิ้วมุ่น
หมอหลวงหลี่ส่ายศีรษะแล้วกล่าว “ไม่มีสิ่งใดที่ข้าสามารถทำได้อีก…. หากบาดแผลของคุณชายหลินเยื้องไปด้านซ้ายหรือด้านขวาแม้เพียงเล็กน้อย ข้ายังอาจพอมีวิธีรักษา แต่ทว่า บาดแผลนี้ได้ตัดเอ็นและเส้นเลือด ข้าจนปัญญาจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้น ใต้เท้าหลี่พอจะรู้จักแพทย์ปาฏิหาริย์สักคนไหม ผู้ที่อาจรักษาอาการนี้ได้?” หลินเสี่ยวถาม ตระกูลหลินได้เชิญหมอชั้นยอดเท่าที่หาได้ทั้งหมดให้มาดูอาการ ทุกคนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเส้นเอ็นถูกตัดขาดสิ้นเชิง กระทั่งเทพเซียนก็ยังไม่มีทางรักษา
หมอหลวงหลี่คิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “อันที่จริง มีอยู่ผู้หนึ่งที่สามารถรักษาได้….”
“เป็นผู้ใด? บอกข้าเร็วเข้าว่าเป็นผู้ใด!?” ก่อนที่หมอหลวงหลี่จะกล่าวจบ หลินอวี้ก็ตะโกนบ้าคลั่งขณะตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง
หมอหลวงหลี่มองเขาด้วยความสังเวทและกล่าว “ผู้ที่ข้าเอ่ยถึงคือบุตรชายแห่งตระกูลเย่ แต่โชคร้าย ชายหนุ่มที่ยอดเยี่ยมปานนั้นกลับตกตายก่อนวัยอันควร เพราะเขาสังหารบุคคลสำคัญแห่งอาณาจักรต้าฟง นับเป็นเรื่องเศร้าโดยแท้!”
ใบหน้าของหลินอวี้คล้ำลงทันที กล้ามเนื้อบนใบหน้าบิดกระตุกรุนแรง ช่วงเวลาที่ผ่านมา หากมีใครเอ่ยชื่อของเย่หวูเฉินต่อหน้าเขา เขาจะบ้าคลั่งขึ้นมาทันที ครั้งนี้หากหลินเสี่ยวไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาย่อมระเบิดโทสะออกมา ใบหน้าหลินเสี่ยวชะงักค้างไปชั่วขณะ คิดถึงเรื่องที่เย่หวูเฉินสังหารฟงเฉาหยางในอาณาจักรต้าฟง , สังหารทัพหมื่นศัตรู ถึงแม้เขาจะตายแต่ก็ได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งทวีปเทียนเฉิน ทุกคนต่างรู้จักชื่อของเขา หลินเสี่ยวนึกถึงตัวเองที่พ่ายแพ้ให้เขาในวันนั้น…. หลินเสี่ยวต้องนับถือเขาอยู่ในใจอีกครั้ง ไม่แปลกใจที่เย่หวูเฉินสีหน้าสงบอยู่เสมอเมื่อเผชิญหน้ากับเขา กลับกลายเป็นว่า แท้จริงแล้วเขาเป็นเพียงแค่มดตัวเล็กๆในสายตาของเย่หวูเฉิน
สัมผัสได้ถึงบรรยากาศกระอักกระอ่วน หมอหลวงหลี่พลันนึกขึ้นได้ว่าขาของหลินอวี้ถูกทำร้ายให้พิการโดยเย่หวูเฉิน เขารีบเก็บกล่องยาและกล่าว “ข้ายังมีธุระต้องไปทำ ข้าจะไม่อยู่รบกวนพวกเจ้าทั้งสองอีก ข้าขอตัว”
หลินเสี่ยวส่งเขาออกจากประตูด้วยความเคารพ พอดีกับหลินขวงที่เพิ่งกลับมาจากราชวัง เมื่อมองเห็นหลินเสี่ยว เขาเดินตรงมาหาและกล่าว “เสี่ยวเอ๋อร์ ปู่มีเรื่องบางอย่างจะคุยกับเจ้า”
“ท่านปู่ เชิญท่านบอกกล่าว” หลินเสี่ยวเอ่ยนอบน้อม
“การตายของเย่หวูเฉิน เจ้าคิดเห็น….ว่าอย่างไร?” หลินขวงถาม
หลินเสี่ยวเลิกคิ้วขึ้น กล่าวคำห้วนๆ “เขาแข็งแกร่ง ปกปิดทุกอย่างไว้มิดชิด หากเขาไม่ตายลง วันหน้าเขาจะกลายเป็นมังกรทะยานฟ้า”
หลินขวงส่ายศีรษะ กล่าวอย่างขุ่นเคือง “นั่นไม่ใช่ประเด็น ต่อให้มันแข็งแกร่งกว่านี้ มันก็ตายไปแล้ว จะเป็นมังกรหรือหนอนก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ที่ข้าอยากจะพูดก็คือ…. ปู่รู้สึกได้ว่า พักหลังเจ้าไร้ชีวิตชีวา ไม่เคยคิดติดต่อกับสตรี เห็นได้ชัดว่า เจ้ายังคงคิดถึงธิดาของตระกูลฮั่ว”
หลินเสี่ยวใบหน้ากลายเป็นหม่นหมอง จากนั้นฉับพลันเงยศีรษะขึ้นกล่าว “ท่านปู่ ท่านจะบอกว่า?”
“ถูกต้อง” หลินขวงผงกศีรษะ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ความตายของเย่หวูเฉินย่อมเป็นการตัดสัมพันธ์กับฮั่วฉุ่ยโหรว เรื่องนี้นับว่าสวรรค์ประทานพรให้เจ้า อีกทั้งยังเป็นโอกาสกับตระกูลหลินของเรา ตั้งแต่เย่หวูเฉินปรากฎตัว ตระกูลหลินของพวกเราถูกตระกูลเย่เหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า การแต่งของเย่ฉุ่ยเหยาเข้าสู่อาณาจักรต้าฟงได้สร้างชื่อเสียงให้ตระกูลเย่อย่างมาก ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วัน เย่ฉุ่ยเหยาได้กลับมาและเย่หวูเฉินตายลง อย่าไปพูดถึงสาเหตุการตายของมัน สรุปแล้ว สวรรค์เป็นใจให้พวกเราตระกูลหลิน เจ้าสมควรรู้ว่าการแต่งกับตระกูลฮั่วนั้นสำคัญกับตระกูลหลินแค่ไหน ปู่ไม่อยากเห็นเจ้าเซื่องซึม ยิ่งกว่านั้น……” หลินขวงลดเสียงลงและกล่าว “เรื่องนี้ยังเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทต้องการ เสี่ยวเอ๋อร์ เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าควรทำยังไง?”
หลินเสี่ยวกระตือรือร้นขึ้นทันตาและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ข้าจะไม่ทำให้ท่านปู่ผิดหวัง”
หลินขวงโบกมือและกล่าวต่อ “การแต่งงานของเจ้าและฮั่วฉุ่ยโหรวถูกกำหนดเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน และเย่หวูเฉินเพียงรู้จักกับนางได้เพียงไม่กี่วัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงพ่ายแพ้ให้กับมัน? เพราะว่าเจ้าสุภาพเกินไป บางอย่าง เจ้าไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ซึ่งเย่หวูเฉินตรงข้ามกับเจ้าโดยสิ้นเชิง เท่าที่ข้ารู้ มันแอบเข้าไปในบ้านตระกูลฮั่วโดยปีนกำแพงเข้าไป เจ้าเข้าใจความหมายที่ข้าจะบอกหรือไม่?”
หลินเสี่ยว “ข้าเข้าใจ”
“ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นจงไปเตรียมตัว จะเป็นการดีที่สุดหากเจ้าไปบ้านตระกูลฮั่วในวันนี้” หลินขวงวางแผนรุกคืบ เขาย่อมไม่เชื่อว่า ฮั่วฉุ่ยโหรวจะโง่งมงายสัตย์ซื่อต่อคนที่ตายไปแล้ว กระทั่งยังไม่เคยมีพิธีหมั้น และไม่เชื่อว่านางจะเลือกไม่แต่งงานไปจนชั่วชีวิต ถึงแม้เขารู้ว่าหลินเสี่ยวไม่อาจเทียบกับเย่หวูเฉิน คนที่นามกระฉ่อนไปทั่วอาณาจักรเทียนหลง โด่งดังเสียยิ่งกว่าเทพกระบี่ แต่ว่าในเมืองเทียนหลงตอนนี้ เขาไม่อาจมองหาชายหนุ่มคนใดที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าหลินเสี่ยว ดังนั้นเมื่อไร้เย่หวูเฉิน หลินเสี่ยวย่อมได้ตัวฮั่วฉุ่ยโหรวโดยง่าย