ในตอนบ่าย หลินเสี่ยวไปถึงบ้านตระกูลฮั่วตามที่คาดไว้ เมื่อเขาไปถึงประตูหลัก ยามเฝ้าประตูสองคนก็ทักทายเป็นกันเอง “นายน้อยหลิน ไม่ได้พบกันเสียนาน”
หลินเสี่ยวหัวเราะไม่ใส่ใจและถาม “ไม่ได้พบกันนาน พี่ชายทั้งสอง ผู้อาวุโสฮั่วอยู่หรือเปล่า?”
ยามทั้งสองส่ายศีรษะและกล่าว “นายท่านออกไปข้างนอกตั้งแต่บ่าย จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมา”
ฮั่วเจิ้นเทียนไม่อยู่บ้านจริงๆ เขาไปดื่มกับเย่เว่ย คนทั้งสองไม่ปริปากพูดด้วยอารมณ์หดหู่ใจ ต่างดื่มสุราจนเมามายนอนแผ่บนพื้นหลับกรน คงจะเป็นเรื่องแปลกหากเขากลับมาบ้านได้ด้วยตนเอง
“ถ้าอย่างนั้น คุณหนูของพวกท่านอยู่หรือเปล่า?” เมื่อพบว่าฮั่วเจิ้นเทียนไม่อยู่ หลินเสี่ยวรู้สึกสบายใจยิ่ง ไม่เช่นนั้นเขาต้องผ่านด่านฮั่วเจิ้นเทียนก่อนจะได้พบกับฮั่วฉุ่ยโหรว และจากนิสัยของฮั่วเจิ้นเทียน….เป็นการดีที่สุดหากหลีกเลี่ยงจากเขา
“คุณหนูอยู่ข้างใน น้อยนักที่นางจะออกจากบ้าน” ชายทั้งสองตอบ
หลินเสี่ยวพยักหน้า จากนั้นก้าวเข้าไปข้างใน
“คุณหนู นายน้อยหลินมาที่นี่เพื่อขอพบท่าน” สาวใช้เคาะประตูห้องนอนของฮั่วฉุ่ยโหรวขณะเรียกเสียงเบา หลินเสี่ยวมาที่นี่ด้วยเหตุใดทุกคนในบ้านตระกูลฮั่วต่างทราบดี ข่าวการตายของเย่หวูเฉินแพร่สะบัด และถัดจากนั้นหลินเสี่ยวรีบร้อนมายังตระกูลฮั่ว แสดงให้เห็นว่าเขายังคงมั่นคงในตัวนาง ผู้คนต่างรู้สึกชื่นชม ไม่มีผู้ใดคิดกับเขาในแง่ร้าย
“บอกให้เขาออกไป ข้าไม่อยากเจอคนนอก” ฮั่วฉุ่ยโหรวเปล่งเสียงบอบบางดังมาจากในห้อง ปฏิเสธที่จะพบ สาวใช้หันกายกลับและส่ายศีรษะให้หลินเสี่ยวที่อยู่เบื้องหลังนาง หลินเสี่ยวไม่สนใจและกล่าวเสียงเบา “เจ้าออกไปก่อน เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
“แต่ว่า…..”
สาวใช้กำลังจะปฏิเสธ ทว่านางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มคำนับและจากไปเงียบๆ
หลินเสี่ยววางมือบนประตู ใช้พลังของตนสั่นกลอน หากเป็นเมื่อก่อนเขาย่อมไม่มีทางกระทำเช่นนี้ แต่ถ้อยคำของหลินขวงได้กระตุ้นเขา ทำให้เขาตัดสินใจละทิ้งความเป็นสุภาพบุรุษสักครั้ง
ฮั่วฉุ่ยโหรวผู้ยังโศกเศร้าหันร่างมามอง พอเห็นหลินเสี่ยวเข้ามาในห้อง นางผงะและยืนขึ้น “ท่าน…. ใครให้ท่านเข้ามา ออกไปเดี๋ยวนี้ ออกไป!”
หลินเสี่ยวมองเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้าที่ยังไม่แห้งสนิท ใบหน้างดงามล้ำเลิศช่างระทมน่าสงสาร เขารู้เหตุใดนางถึงเจ็บปวด ความรวดร้าวแผ่ลามในใจของเขา “คุณหนูฮั่ว ขออภัยที่ข้าถือวิสาสะ คุณชายเย่ประสบเหตุไม่คาดฝัน ย่อมสร้างความเจ็บปวดให้กับเจ้า เหตุใดพวกเราไม่ออกไปเดินเล่นเพื่อผ่อนคลาย เจ้าเอาแต่อยู่ในห้องย่อมเกิดอารมณ์ขุ่นมัวโดยง่าย”
ในห้องแห่งนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของฮั่วฉุ่ยโหรว มีเพียงบิดาและเย่หวูเฉินเท่านั้นที่นางให้เข้ามาได้ เมื่อหลินเสี่ยวบุกรุกเข้ามา นางรู้สึกหงุดหงิดและกังวล นางไม่ได้ฟังที่เขาพูดโดยสิ้นเชิง เพียงตอบกลับอย่างตระหนก “ท่านออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะเรียกคนมาที่นี่!”
ใบหน้าหลินเสี่ยวดูหม่นหมอง เขากล่าวด้วยความเสียใจ “ข้ากับเจ้าตกลงว่าจะแต่งงานกันเมื่อ 6 ปีก่อน แม้ว่าเจ้าจะรักคนอื่น แต่สำหรับข้ายังคงรักเจ้าไม่เคยเปลี่ยน เจ้าไม่เคยมี…..ความรู้สึกให้ข้าบ้างเลยหรือ?”
“ข้าไม่อยากฟังท่านกล่าววาจาไร้สาระ ชั่วชีวิตข้ารักเพียงบุคคลคนเดียว และจะมีสามีแค่เพียงหนึ่งคน ข้าไม่อยากเห็นท่าน ท่านออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น….” ฮั่วฉุ่ยโหรวจับชายเสื้อของนาง มืออีกข้างหนึ่งถืออัสนีลั่นลูกหนึ่ง นางซื่อสัตย์และจริงใจต่อสามีตนเองอย่างแท้จริง ความรักของนางประทับฝังลึกอยู่ในใจ เมื่อนางได้มอบร่างกายและหัวใจให้เย่หวูเฉิน แม้เมื่ออยู่กับชายอื่นในห้องเดียวกันนางก็รู้สึกเป็นความผิด รู้สึกเป็นการไม่ยุติธรรมต่อสามี
หลินเสี่ยวใบหน้าหม่นหมองไม่เปลี่ยน ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา เขาค่อนข้างมั่นใจในเสน่ห์ของตน ผู้คนจำนวนมากต่างคิดว่าเมื่อเย่หวูเฉินตายไป ย่อมเป็นการง่ายสำหรับหลินเสี่ยวที่จะไล่ตามฮั่วฉุ่ยโหรว แต่เขาไม่คิดเลยว่ากระทั่งเขามาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง ฮั่วฉุ่ยโหรวกลับยังกล่าวถ้อยคำเช่นนั้น ทั้งยังไม่ใช่การกล่าวด้วยความลังเล หากแต่จริงใจยิ่งและออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
เมื่อเห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่คิดออกไป ฮั่วฉุ่ยโหรวหลับตาลงโยนอัสนีลั่นในมือเข้าใส่หลินเสี่ยว
หลินเสี่ยวไม่คิดว่านางจะลงมือทำ เขาตกใจจนหน้าซีด ด้วยรู้พลังของอัสนีลั่น เขารีบควบรวมพลังด้วยความเร็วสูงสุด ยกแขนออกมาป้องกัน….. ด้วยเสียงระเบิดดัง “บรึ้ม” อัสนีลั่นระเบิดที่ตรงแขน ผลักเขาถอยหลังไปหลายก้าว ร่างปะทะเข้ากับกำแพงที่อยู่ด้านหลัง แม้ว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บแต่แขนก็ชาไปชั่วขณะ
“คุณหนูฮั่ว เจ้า…..”
หลินเสี่ยวปรับการทรงตัว ทว่าก่อนที่เขาจะพูดจบอัสนีลั่นอีกลูกก็ลอยตรงเข้ามาหา เขารีบกระโดดออกไปด้วยความตกใจ ทะยานร่างออกจากห้อง เมื่อผู้คุ้มกันแห่งตระกูลฮั่วมาถึงหลังจากได้ยินเสียงระเบิด พวกเขาก็พบกับหลินเสี่ยวที่ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยฝุ่น เขาออกไปด้วยความมอมแมม ขณะที่ออกจากประตูหลักเขากระทั่งไม่หยุดกล่าวลาเหมือนเช่นเคย ทำให้ยามเฝ้าประตูทั้งสองต่างมองหน้ากันด้วยความสะดุ้ง
พลังของอัสนีลั่นไม่ได้ถึงขั้นทำลายล้าง หากแต่ยังทำลายประตูห้องของฮั่วฉุ่ยโหรวจนพังยับเยิน หลังจากที่ข่มขู่หลินเสี่ยวให้จากไป ฮั่วฉุ่ยโหรวรู้สึกโล่งอก นางนั่งลงบนเตียงและสะอื้นต่อเงียบๆ
หลังจากนั้นไม่นาน มีคนไปรายงานให้ฮั่วเจิ้นเทียนที่กำลังเมาค้าง ฮั่วเจิ้นเทียนที่นอนกรนอยู่ถูกปลุกให้ตื่น ความคิดแรกของเขาคือด้วยอุปนิสัยของลูกสาวผู้บอบบาง ถึงขนาดทำให้นางใช้อัสนีลั่น หลินเสี่ยวผู้นั่นย่อมกระทำมิชอบในบ้านของเขา ความโกรธพุ่งทะยานทันที เขาสร่างเมาเล็กน้อย ด้วยกลิ่นสุราฉุนหึ่งทั่วร่างเขาตรงไปที่ตระกูลหลินเป็นพายุ ตลอดทางเขาตะโกนคำราม “หลินเสี่ยว เจ้าลูกสำส่อน ข้าจะฉีกร่างเจ้าโยนให้สุนัขกิน!!”
ตลอดทางเขาคำรามลั่นด้วยเสียงดังสุด ทุกผู้คนบนท้องถนนต่างได้ยินถนัด เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ข่าวเรื่องหลินเสี่ยวบุรุกเข้าห้องคุณหนูตระกูลฮั่วได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองเทียนหลงอย่างรวดเร็ว ปิดโอกาสไม่ให้หลินเสี่ยวได้อธิบายแก้ตัว ฮั่วเจิ้นเทียนอาละวาดอยู่ในตระกูลหลิน สุดท้ายเขาหมดแรงด้วยฤทธิ์สุรา อีกทั้งเขายังกังวลเรื่องความปลอดภัยของลูกสาว เขาจึงจบเรื่องนี้จากออกมาโดยที่ยังค้างคา ตะโกนกล่าวว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ เมื่อกลับถึงตระกูลเขาโล่งอกเมื่อถามเรื่องราวกับฮั่วฉุ่ยโหรว เขารีบสั่งการให้คนไปซ่อมประตูทันที ยิ่งกว่านั้น เขายังสั่งการเข้มงวดพร้อมประกาศว่าผู้แซ่หลินทุกคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในตระกูลฮั่ว และเขาจะกำนัลด้วยอัสนีลั่นหากยังขืนบุกรุกเข้ามา
ฮั่วเจิ้นเทียนผู้ได้อาละวาดในตระกูลหลิน หลังจากได้ฟังคำอธิบายของฮั่วฉุ่ยโหรว เขาจึงทราบว่าทำกับหลินเสี่ยวค่อนข้างไม่ยุติธรรม ถึงแม้ในใจยังคงคุกรุ่นไปด้วยโทสะ แต่เพื่อไม่ให้กระทบต่อชื่อเสียงของลูกสาวตน เขาจึงไม่คิดทำให้เรื่องราวบานปลาย กระนั้นเรื่องนี้ก็ยังไม่จบลง
วันต่อมาในราชสำนัก บรรยากาศยังคงหม่นหมอง บรรยากาศนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ข่าวการตายของเย่หวูเฉินมาถึง หากเป็นแต่ก่อน ข่าวการตายของเย่หวูเฉินย่อมไม่นับเป็นเรื่องใหญ่ แต่ทว่าก่อนเขาจะตาย เขาได้สังหารเทพสงครามและสามอาวุโสแห่งต้าฟง ทำลายกองทัพศัตรูนับหมื่น สิ่งที่เขากระทำนับว่าสะเทือนโลก ทำให้ทั่วอาณาจักรเทียนหลงพลุ่งพล่านไปด้วยโลหิตร้อนรุ่ม ต่างปรบมือชื่นชมกับการกระทำ พวกเขายังเศร้าโศกกับเหตุการณ์นี้ เพียงไม่กี่วันทุกคนได้รู้เรื่องราวของเย่หวูเฉิน แต่ทว่า…..เหตุที่เย่หวูเฉินกระทำเช่นนั้นเพราะเย่ฉุ่ยเหยาถูกบีบบังคับให้แต่งงานกับรัชทายาทแห่งต้าฟง เวลานี้เย่ฉุ่ยเหยาได้คืนกลับสู่ตระกูลเย่ อาณาจักรต้าฟงที่สูญเสียแขนไปข้างหนึ่งย่อมเกลียดชังอาณาจักรเทียนหลงยิ่งกว่าเดิม ในราชสำนักทุกผู้คนต่างรู้สึกว่าปัญหากำลังจะมาถึงในไม่ช้า
“ฟงหลิงส่งข้อความมาถึงข้าเมื่อวาน มันพูดพร่ำถึงความรู้สึกที่มีต่อองค์หญิงเหยาฟง บอกว่าตราบใดที่องค์หญิงเหยาฟงเปลี่ยนใจและกลับไปอาณาจักรต้าฟงเพื่อแต่งงาน มันจะถือว่าทุกสิ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สันติสุขห้าปีจะยังคงดำเนินต่อ ข้อตกลงก่อนหน้าก็จะยังคงเดิม” หลังจากกล่าวจบ เขากวาดสายตามองผ่านทุกพื้นที่ที่อยู่ด้านล่าง และพบว่าใบหน้าของเย่เว่ยคล้ำลงอย่างชัดเจน
ชูเกอหวูอี้เหลือบไปเห็นใบหน้าของเย่เว่ย เขาก้าวออกมาแล้วกล่าว “ฝ่าบาท สถานการณ์ตอนนี้ต่างไปจากคราวก่อนอย่างสิ้นเชิง การกระทำของเย่หวูเฉินได้ทำให้อาณาจักรต้าฟงหวาดผวา พวกเขามองผู้คนในอาณาจักรเทียนหลงดุจดั่งเทพที่เต็มไปด้วยปาฏิหาริย์ เรื่องราวการเดินทางพันลี้เพื่อช่วยพี่สาวได้แพร่สะพัดไปทั่วทวีปเทียนเฉิน นอกเสียจากเย่ฉุ่ยเหยาจะตกลงด้วยตัวเอง พวกเราถึงจะสามารถรับคำอาณาจักรต้าฟงอีกครั้ง ส่งเย่ฉุ่ยเหยาผู้ที่เย่หวูเฉินสละเลือดเนื้อเพื่อช่วยกลับมา ให้ไปแต่งงานกับรัชทายาทต้าฟง-ฟงหลิง….. ยิ่งกว่านั้น ไม่เพียงเกียรติภูมิของอาณาจักรเทียนหลงจะเสื่อมถอย แต่ยังส่งผลต่อความรู้สึกของผู้คนที่ไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้! ฉะนั้นในความเห็นของบ่าวผู้ต่ำต้อย เรื่องนี้ไม่อาจยอมรับ ยิ่งกว่านั้นท่าทีของอาณาจักรต้าฟง ที่ยังคงยื่นข้อเสนอเช่นนี้กลับมา แสดงให้เห็นว่าพวกมันขาดความเชื่อมั่น ทั้งยังเป็นการบอกว่าพวกมันต้องการเลื่อนสงครามออกไป เรื่องนี้สามารถเข้าใจได้ง่ายนัก ประการแรก ความตายของเทพสงครามและสามอาวุโสแห่งต้าฟงส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อตระกูลฟง ด้วยขาดการค้ำจุนของแขนข้างหนึ่ง พวกมันจำต้องใช้เวลารวบรวมกำลังคนเพิ่มและตระเตรียมอาวุธเพิ่มขึ้น พวกมันมีเรื่องให้ต้องจัดการอยู่หลายสิ่ง ประการที่สอง การกระทำของเย่หวูเฉินสร้างความหวาดกลัวผู้คนธรรมดาของอาณาจักรต้าฟง รวมไปถึงกองทัพ ความหวาดกลัวยังคงมีอยู่ในใจ เนื่องจาก…..กระทั่งผู้กล้าในดวงใจ เทพสงครามไร้ต้านยังถูกสังหาร ประการที่สาม ตรงกันข้ามกับเหตุผลข้อสอง ผู้คนและกองทัพแห่งอาณาจักรเทียนหลงต่างมีหัวใจลุกโชนด้วยความฮึกเหิม แม้ว่าอาณาจักรคุยชุยจะมีท่าทีไม่ปกติ ซึ่งทำให้พวกเราไม่ทันตั้งตัว แต่จากสถานการณ์ในยามนี้ ไม่ใช่เวลาดีที่อาณาจักรต้าฟงจะเคลื่อนทัพ เหตุใดอาณาจักรเทียนหลงของพวกเราจะต้องยอมรับเงื่อนไขของพวกมันด้วย”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขากล่าว ทุกผู้คนต่างผงกศีรษะตามๆกัน คำกล่าวของชูเกอหวูอี้ได้พิสูจน์อย่างชัดเจน และเพราะที่ว่า “นอกเสียจากฉุ่ยเหยาแห่งตระกูลเย่จะยอมรับด้วยตัวเอง….” ดังนั้นหลงหยินจึงไปหาและพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยตัวเอง เดิมทีหลงหยินมีความหวังอย่างยิ่ง แต่กลับคาดไม่ถึงเลยว่า….. เขาจะเปิดปากและกล่าว “เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง! คำพูดของขุนพลชูเกอช่างตรงกับที่ข้าคิดไว้ ความตายของหวูเฉิน ข้ารู้สึกโศกเศร้าเช่นเดียวกับทุกคน เป็นเรื่องน่าเสียใจอย่างยิ่งที่สูญเสียอัจฉริยะ ผู้ที่จะช่วยให้อาณาจักรเทียนหลงเจริญรุ่งโรจน์ ไม่คาดฝันเลยว่าเขาจะถูกบังคับให้ตกตายโดยอาณาจักรต้าฟง ข้าเสียใจต่อตนเองอย่างยิ่ง เสียใจต่อตระกูลเย่ เสียใจต่อทุกคน….. ตอนนี้ข้าสำนึกเสียใจที่ยอมรับสัญญาสันติสุขจากรัชทายาทฟง แต่ทว่าสายเกินไปที่จะเสียใจ ตอนนี้ ต่อให้อาณาจักรต้าฟงทรงอำนาจมากพอ และพร้อมทำลายอาณาจักรเทียนหลงในวันพรุ่งนี้ ข้าก็จะไม่มีวันเห็นชอบมอบธิดาตระกูลเย่ให้พวกมันอีกครั้ง!”
หลงหยินกล่าววาจาด้วยความหนักแน่นเด็ดขาด ไม่เปิดโอกาศให้ได้กลับคำ แต่ชัดเจนว่าไม่มีใครทราบ ว่าผู้ที่ทำให้หลงหยินตัดสินใจเป็นมั่นเหมาะ กลับเป็นเด็กหญิงชุดดำที่อยู่ข้างกายเย่ฉุ่ยเหยา คนที่ทำให้เขาสั่นสะท้านด้วยความกลัว ข้างหูของเขายังสะท้อนถ้อยคำของอาวุโสหลี่ที่ว่า “อย่าได้กระตุ้นโทสะของนางเด็ดขาด”
เย่เว่ยก้าวออกมาและกล่าว “บ่าวผู้ต่ำต้อยขอบพระทัยฝ่าบาท”
หลงหยินกล่าวปลอบ “ขุนพลเย่ แม้ว่าหวูเฉินจะด่วนจากไปก่อนเวลาอันควร แต่ชื่อของเขาจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์แห่งเทียนหลง ลูกหลานทุกชั่วรุ่นแห่งเทียนหลงจะได้รับรู้ว่า มีสุดยอดพรสวรรค์เคยปรากฎกายขึ้นในอาณาจักรเทียนหลง”
เหล่าขุนนางมองไปยังเย่เว่ยด้วยอารมณ์หลากหลาย เพราะว่าบุตรชายเขาสังหารเทพสงคราม แม้ว่าเย่หวูเฉินได้ตายไปแล้ว แต่เขาได้รับความเคารพและเกียรติยศอย่างสูงสุด