📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยาย Heavenly Star สวรรค์มวลดาว – เล่ม 4 ตอนที่ 217

บทที่ 217 - ว่าที่เทพสตรีบัญชาทัพ
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

“นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องประกาศต่อหน้าทุกคน” หลงหยินหยุด สายตามองกวาดผ่านเหล่าขุนนางชั่วขณะ จากนั้นกล่าว “ข้าเคยเป็นธุระจัดการหมั้นหมายฮั่วฉุ่ยโหรวแห่งตระกูลฮั่วกับหลินเสี่ยวแห่งตระกูลหลิน ทว่าหลังจากที่หวูเฉินกับฮั่วฉุ่ยโหรวมีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน เพื่อให้ทั้งสองสมปรารถนา ข้าจึงทำได้เพียงกลับวาจา ด้วยความเสียใจต่อตระกูลหลิน ข้าจำต้องยกเลิกพิธีหมั้นของสองตระกูลลง แม้ว่าเรื่องนี้จะผ่านมานาน แต่มันยังคงรบกวนจิตใจข้า โดยเฉพาะเมื่อข้าได้ยินว่าหลินเสี่ยวยังคงมีใจรักมั่นในตัวฮั่วฉุ่ยโหรว ไม่สนใจธิดาของตระกูลใด หัวใจข้าจึงไม่อาจสงบ ตอนนี้หวูเฉินได้จากไปแล้ว ข้าจะหมั้นหมายนางกับหลินเสี่ยวอีกครั้ง เพื่อขจัดความกังวลในหัวใจข้า”

เมื่อเย่เว่ยและฮั่วเจิ้นเทียนได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปตามกัน เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เย่เว่ยไม่อาจยืนกรานคัดค้าน เพราะคำพูดของหลงหยินทั้งมีน้ำหนักและยุติธรรม เย่หวูเฉินกับฮั่วฉุ่ยโหรวยังไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ ตอนนี้นางกับตระกูลเย่จึงไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง หากเขากล่าวคำพูดคัดค้าน ผู้คนย่อมคิดว่าเขาสร้างปัญหาโดยไร้เหตุผล

หลินซานรีบก้าวออกมาและกล่าว “บ่าวผู้ต่ำต้อยในฐานะของบุตรชายขอขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย และขอบพระทัยในความเมตตา!”

“ช้าก่อน!” เสียงคำรามดังลั่น อย่างที่คาดไว้ ฮั่วเจิ้นเทียนที่ยืนอยู่สืบเท้าก้าวใหญ่ออกมาเบื้องหน้า เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างหลินซานและกล่าวเผชิญหน้ากับหลงหยิน “ฝ่าบาท ข้ามีบางอย่างจะกล่าว!”

หลงหยินขมวดคิ้วและถาม “ขุนพลฮั่ว เจ้าหมายความเช่นไร? ในวันนั้นขุนพลฮั่วได้กล่าวออกมาเองว่าจะไม่ปล่อยให้ธิดาตนเองไม่มีความสุข เย่หวูเฉินนับว่ายอดเยี่ยมเกินหลินเสี่ยวอยู่หลายเท่าก็จริง แต่เขาก็ตายไปแล้ว…..ฮ่าย ขุนพลฮั่ว เจ้าไม่ควรปล่อยให้ธิดาของเจ้าผูกมัดตัวเอง แล้วเดียวดายไร้ผู้พักพิงไปชั่วชีวิต อีกทั้งหลินเสี่ยวยังยอดเยี่ยมในทุกๆด้าน ย่อมไม่อาจหาบุรุษเช่นเขาได้อีกในเมืองเทียนหลง ทั้งยังรักมั่นคงในตัวธิดาของเจ้า ขุนพลฮั่ว เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ?”

“เดียวดายไร้ผู้พักพิงไปชั่วชีวิต….” ถ้อยคำนี้กระทบจิตใจของฮั่วเจิ้นเทียนอย่างหนัก เขาสาปส่งเย่หวูเฉินอีกครั้ง จากนั้นถอนหายใจแล้วกล่าว “ทั่วปฐพีนี้ ย่อมไม่มีบิดาคนใดอยากเห็นลูกสาวของตนขึ้นคานจนแก่เฒ่าโดยไม่แต่งกับชายคนใด ทว่าความจริงแล้ว…..ก่อนที่ข้าจะออกจากตระกูลในตอนเช้า ลูกสาวข้าได้กล่าวถ้อยคำสั้นๆกับข้า นางบอกว่า…..นางจะอยู่ในฐานะส่วนหนึ่งของตระกูลเย่ และจะตายในฐานะส่วนหนึ่งของตระกูลเย่ ความรักของนางต่อเย่หวูเฉินฟ้าดินสามารถเป็นพยาน ตะวันจันทราต่างล้วนรับรู้ ต่อให้นางกลายเป็นเศษธุลีก็จะตั้งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง หากไม่ใช่เพราะนางห่วงใยอาวุโสในตระกูลสามี เกรงจะไม่มีใครดูแลพวกเขาในยามแก่เฒ่า นางคงจากโลกนี้และติดตามเขาไป และหากมีใครบังคับให้นางแต่งกับชายอื่น….นางจะขอยอมตายเสียยังดีกว่า!”

หลังกล่าวจบ ฮั่วเจิ้นเทียนมองหลงหยินด้วยดวงตาแจ่มจ้า ในหัวใจบ่นงึมงำครั้งแล้วครั้งเล่า “อั้ยย ลูกสาวผู้โง่เขลา…. ลูกสาวผู้โง่เขลาของข้า….”

ราชสำนักกลายเป็นเงียบสนิท ด้วยคำกล่าวไม่กี่ประโยคของฮั่วเจิ้นเทียน ล้วนสัมผัสจับใจของพวกเขา พวกเขาทั้งหมดเชื่อว่าถ้อยคำเหล่านี้ออกมาจากปากของฮั่วฉุ่ยโหรวจริงๆ เพราะหากแค่ต้องการหลีกเลี่ยงการแต่ง ย่อมเป็นไปได้สำหรับบิดาจะกุเรื่องบอกปัด อันจะทำให้ลูกสาวตนเองไม่อาจแต่งงานได้อีก สตรีที่อุทิศตัวถึงเพียงนี้ นับว่าหาได้ยากยิ่งในโลก แม้ว่าเย่หวูเฉินจะตายไปแล้วก็ตาม แต่ได้รับความรักจากสตรีปานนี้ได้ เขาย่อมไม่มีสิ่งใดต้องเสียใจ”

หลงหยินมองที่ฮั่วเจิ้นเทียนเป็นเวลานาน เขาผงกศีรษะและกล่าว “ขุนพลฮั่ว นับว่าเจ้ามีวาสนาอย่างยิ่งที่มีธิดายอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ นอกจากนางเป็นที่เลื่องลือด้วยรูปโฉมโนมงาม คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเป็นสตรีผู้โดดเด่นพร้อมยอมตายด้วยความบริสุทธิ์ใจ”

“ฝ่าบาท โปรดส่งเสริมความปรารถนาของลูกสาวข้า และถอนรับสั่งกลับคืน” ฮั่วเจิ้นเทียนสีหน้าขมขื่น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุกข์ระทม

ด้วยประโยคนี้ของฮั่วเจิ้นเทียน เขาปิดทางตนเองและหลงหยิน หลงหยินทราบดีว่าหากเขายังฝืนยืนกราน ย่อมสร้างความผิดหวังให้กับตระกูลฮั่วและตระกูลเย่ ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น หากว่านี่เป็นตระกูลหลินหรือตระกูลเล็กอื่นๆที่ไม่ได้ทรงอำนาจ เขาย่อมเพิกเฉยไม่สนใจ หรือกระทั่งสั่งการบังคับ แต่ด้วยเพราะเป็นตระกูลเย่และตระกูลฮั่ว เขาจึงไม่อาจทำแบบนั้นได้ มีความแตกต่างระหว่างบางสิ่งที่ควบคุมได้โดยสมบูรณ์ กับบางสิ่งที่ไม่อาจควบคุมโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเผชิญหน้ากับตระกูลเย่ ที่เขามักกังวลระแวงอยู่ตลอดเวลา และเป็นเหตุผลให้เขาลอบวางแผนควบคุมตระกูลเย่มาตลอดหลายปี เมื่อบุคคลยืนอยู่บนตำแหน่งสูงสุดแห่งราชัน เขาย่อมไม่อาจอดทนต่อสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะเห็นแก่ความซื่อสัตย์และจริงใจของธิดาเจ้า ถอนวาจาของตัวเอง แต่ข้าได้ผิดสัญญาต่อหลินเสี่ยวไปแล้วสองครั้ง หัวใจข้าไม่อาจสงบระงับได้…..ข้าจะยกเลิกการหมั้นระหว่างธิดาที่รักของข้า องค์หญิงเฟยฮวงกับเย่หวูเฉิน และยกนางให้กับหลินเสี่ยว หลังจากนี้อีกสามปี ทั้งสองจะต่างงานกัน พวกเจ้ามีอะไรจะคัดค้านหรือไม่?”

“บ่าวผู้ต่ำต้อยขอบพระทัยฝ่าบาท ที่ส่งเสริมความปรารถนาของข้า” ฮั่วเจิ้นเทียนตะโกนดังลั่นและถอยออกมา เรื่องการแต่งขององค์หญิงเฟยฮวงไม่ใช่ธุระอันใดของเขาอีกต่อไป

“บ่าวผู้ต่ำต้อยขอบพระทัยฝ่าบาทในความเมตตาแทนฐานะบุตรชาย” หลินซานรีบตอบคำกลับ

จักรพรรดิตัดสินใจยกองค์หญิงเฟยฮวงให้ เพียงเพราะต้องการรักษาชื่อเสียงของตระกูลหลิน เนื่องจากก่อนหน้านี้นางถูกยกให้กับเย่หวูเฉิน ถึงเรื่องนี้ดูคล้ายไม่ยุติธรรมต่อตระกูลเย่ แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้ ทุกผู้คนไม่มีผู้ใดคัดค้าน

หลังการประชุมในราชสำนักจบลง เย่เว่ยกับชูเกอหวูอี้ร่วมทางกันกลับบ้าน ชูเกอหวูอี้ปลอบเย่เว่ยเป็นเวลานาน จากนั้นถอนหายใจและตรงกลับตระกูลตน

พอเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ชูเกอเสี่ยวหยูเมื่อได้ยินเสียงเขากลับมา ก็รีบวิ่งแจ้นออกมาโดยไม่อาจทนรอ นางลากเขาเข้าไปด้านใน “ท่านพ่อ เร็วเข้า รีบบอกข้ามาว่า วิธีการใดที่ง่ายที่สุดที่จะสามารถผ่าน ‘กระบวนทัพศิลาแปดชั้น’ ข้าลองมาหลายวิธีแล้ว แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็จำเป็นต้องสละชีวิตผู้คนจำนวนมาก…..”

ชูเกอเสี่ยวหยูกระตือรือร้นร่ำเรียนวิชาบัญชาการรบ นางเคยลั่นวาจาว่าจะก้าวข้ามปู่ของเย่หวูเฉิน ชูเกอหวูอี้ตระหนักดีว่าความปรารถนาแรงกล้าของนางได้รับผลกระทบมาจากเย่หวูเฉิน ทำให้นางกลายเป็นคนใหม่ เดิมเขาเชื่อว่าการตายของเย่หวูเฉินจะทำให้นางละทิ้งทุกสิ่งและโศกเศร้าไปสักช่วงเวลา แต่กลับกลายเป็นว่าตรงกันข้ามกับที่เขาคิดไว้โดยสิ้นเชิง นางจริงจังกับมันยิ่งขึ้น ใฝ่รู้แรงกล้าทุกขณะ แข็งขันอย่างเอาจริงเอาจิง การร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ใช่สิ่งที่นางทำ กลับกันนางทุ่มเทกำลังทั้งหมดเรียนรู้วิธีการแปรทัพ และบางทีนางอาจได้รับอิทธิพลมาจากเขา เขาค่อยๆค้นพบว่าชูเกอเสี่ยวหยูมีพรสวรรค์ด้านนี้อย่างน่าตะลึง ทักษะวิเคราะห์และคาดคำนวนของนางด้านพิชัยสงคราม ทำให้เขาต้องอ้าปากค้างอยู่หลายครา

“ท่านพ่อ ดูนะ….. ‘กระบวนทัพศิลาแปดชั้น’ เจาะจงมุ่งเน้นไปที่การแปรผัน ทั้งการรุกและป้องกัน จุดเด่นของมันคือทะลวงกองทัพศัตรูได้โดยง่าย สามารถโจมตีสามทิศด้วยหนึ่งตัวล่อ หรือบางทีจู่โจมสองทิศด้วยสองตัวล่อ หรือกระทั่งใช้สามตัวล่อเพื่อโจมตีทิศเดียว ก่อนสังหารศัตรูยังสามารถสร้างความปั่นป่วน ข้าได้ค้นคว้ามานานและพบว่าการแปรทัพในรูปขบวนนี้มีจุดอ่อนอยู่สี่แห่ง ดูตรงนี้สิ….” ชูเกอเสี่ยวหยูยื่นพู่กันออกวาด ขณะเดียวกันก็กล่าวด้วยกิริยาอันดี “หากจุดทั้งสี่นี้ถูกก่อกวน มันจะปั่นป่วนเหมือนไส้เดือนถูกตัด แต่ละจุดล้วนมีความสำคัญ ดังนั้นขบวนทัพทั้งหมดจะถูกทำลายลง หากใช้ ‘กระบวนทัพสี่ทิศหนึ่งแถว’ เข้าแหวกทะลวงมัน ไม่ต้องใช้การจู่โจมเพียงแค่อาศัยโล่หนักเข้าปะทะกัน ก็สามารถทำลายจุดอ่อนแต่ละจุดลงได้ จากนั้นอ้อมทะลวงลึกเข้าไปในทัพศัตรู รูปขบวนของศัตรูย่อมแตกทำลายลง ดูสิ หากใช้การแปรทัพรูปแบบนี้ เข้าจู่โจมตรงจุดนี้….. ท่านพ่อเคยบอกว่า ในสนามรบ การจัดกระบวนทัพที่กร้าวแกร่งที่สุดสามารถเอาชนะศัตรูด้วยการจู่โจมที่คาดไม่ถึง แต่กระบวนทัพแบบนั้น หากจิตใจของทหารเกิดสับสนปั่นป่วน กระบวนทัพย่อมเสียรูปทรงและถูกทำลาย ข้าลองคำนวณไว้แล้ว ด้วยการใช้วิธีของข้า…..ท่านพ่อดูนี่อีกที…..” ชูเกอเสี่ยวหยูอธิบายวิธีทำลายทัพของตัวเองโดยการวาดพู่กันบนกระดาษ ทั้งยังบอกถึงผลลัพธ์และความสูญเสีย “อย่างในกรณีนี้ ทัพของศัตรูและทัพของข้ามีจำนวนทหารเท่ากัน ในการกำจัดทัพศัตรูให้สิ้นซากหนึ่งพันคน ทหารของข้าจะสูญเสียไปสามร้อยนาย นั่นนับว่าเยอะมาก….ท่านพ่อ ท่านช่วยสอนวิธีอื่นที่ดีกว่าได้มั้ย?”

ชูเกอหวูอี้ “……..”

“ท่านพ่อ?” ชูเกอเสี่ยวหยูเงยหน้าขึ้น ทว่านางกลับเห็นชูเกอหวูอี้ชะงักค้าง ใบหน้าจ้องมองที่กระดาษโง่งมจนไม่อาจกล่าวสิ่งใด

“ท่านพ่อ ท่านสบายดีหรือเปล่า?” ชูเกอเสี่ยวหยูโบกมืออยู่เบื้องหน้าเขา

“…..หยูเอ๋อร์ เจ้าทำทั้งหมดนี้เองจริงๆหรือ?” ชูเกอหวูอี้รู้สึกตกใจ เมื่อเสี่ยวหยูพูดถึงวิธีของนาง เขายังไม่ยอมรับทั้งหมด ทว่าหลังจากที่นางวาดให้ดูบนกระดาษ เขาต้องตกใจเมื่อพบว่าวิธีการประหลาดที่ชูเกอเสี่ยวหยูพูดถึง กลับเป็นการแทงกระบี่เข้าสู่หัวใจของศัตรู ปลิดสังหารในกระบี่เดียว แม้ว่าที่นางพูดถึงจะเป็นวิธีผ่าน ‘กระบวนทัพศิลาแปดชั้น’ แต่การทำลายล้างที่นางสร้างขึ้นทำให้เขาตระหนักว่า กระบวนทัพอีกแบบนั้นทรงพลังเพียงใด

“นี่! ท่านหมายความว่าอย่างไร แน่นอนว่าข้าย่อมเป็นคนทำด้วยตัวเอง” ชูเกอเสี่ยวหยูแก้มป่องสีหน้าไม่พอใจ

ชูเกอหวูอี้รีบโบกมือและถาม “หยูเอ๋อร์ เจ้าบอกพ่อได้หรือเปล่า ว่าเหตุใดตอนนี้ถึงยังอยากเรียนการจัดกระบวนทัพ? ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเจ้าต้องการให้นายน้อยตระกูลเย่อ้อนวอนขอเจ้าแต่งงาน แต่ตอนนี้เขาได้จากไปแล้ว เหตุผลที่เจ้ายังคงต้องการเรียนอยู่คือสิ่งใด? ในฐานะสตรี เจ้าไม่อาจออกสู่สมรภูมิเพื่อบัญชาการรบได้”

“เฮอะ!” ชูเกอเสี่ยวหยูแค่นเสียง นางวางพู่กันลงและจ้องตากว้างขณะกล่าว “ข้าอยากออกไปรบกับอาณาจักรต้าฟง!”

“หา?” ชูเกอหวูอี้งงงวย

“เพราะพวกมันสังหารสามีที่ข้าหมายตาไว้ ข้าจะต้องทำให้พวกมันชดใช้ เฮอะ!” พอกล่าวจบ ชูเกอเสี่ยวหยูเชิดจมูกขึ้น และชูกำปั้นน้อยๆขึ้นมา

“นี่มัน…..” ชูเกอหวูอี้พูดไม่ออก

“ท่านดูสิ สามีที่ข้าตัดสินใจเลือกไว้เก่งกาจในศาสตร์ทั้งสี่ ยอดเยี่ยมในทุกๆด้าน ยิ่งกว่านั้นยังหล่อเหลาและเก่งกล้า แข็งแกร่งจนเทพสงครามยังพ่ายให้กับเขา หากใครได้แต่งกับเขาย่อมนับเป็นวาสนาโดยแท้ ตอนที่ข้าเข้านอนเมื่อวาน ข้ายังคงคิดว่า หากข้าได้แต่งงานกับเขา แล้วถูกลักพาตัวไป เขาจะต้องเดินทางพันลี้และสละชีวิตเพื่อช่วยข้า โอ้! ช่างวาบหวานจริงๆ….. เฮอะ สามีอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ กลับถูกสังหารโดยพวกอาณาจักรต้าฟง ข้าย่อมไม่มีวันอภัยให้พวกมัน!!”

ศีรษะของชูเกอหวูอี้ผุดด้วยเหงื่อเย็น เขาตระหนักว่าเหตุผลตอนนี้ยังคงเป็นเย่หวูเฉิน นางต่างจากผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง ตรงที่คนอื่นมักเสียน้ำตาโหยหาถึงบางสิ่ง ชูเกอเสี่ยวหยูผู้มองโลกในแง่ดีไม่รู้จักความกังวล และยังคงมีชีวิตชีวาเลือกเส้นทางของตัวเอง

“ประเสริฐ ในเมื่อเจ้าต้องการร่ำเรียน เช่นนั้นเจ้าจะต้องตั้งใจให้มาก แต่ว่าคุยเรื่องการรบเพียงบนกระดาษนั้นไม่ต่างกับการคุยเล่น ในสมรภูมิจริงนั้นมีตัวแปรอยู่มากมาย ไม่มีสิ่งใดสามารถกำหนดตายตัวได้ อาศัยเพียงการเรียนยังไม่อาจก่อประโยชน์อันใด มีเพียงต้องเข้ารบพุ่งในสมรภูมิด้วยตัวเองเท่านั้น ถึงจะเข้าใจความหมายของการเปลี่ยนทิศสงคราม” ชูเกอหวูอี้กล่าว

ชูเกอเสี่ยวหยูดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า นางตะโกนออกไปอย่างตื่นเต้น “ถ้าอย่างนั้นท่านพ่อ เมื่อไหร่ข้าจะได้ไปที่สนามรบ?”

“…..เจ้าจงปกปิดตัวเองให้ดี ข้าจะพาเจ้าไปดูการฝึกในวันพรุ่งนี้” ชูเกอหวูอี้ไม่อาจทนต่อความกระหายแรงกล้าของนางได้ เขากล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น แน่นอนว่าที่ให้นางแต่งกายเป็นชายนั้นเป็นสิ่งจำเป็น

“ว้าว! เย้! ท่านพ่อทรงพระเจริญ!” ชูเกอเสี่ยวหยูตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้น ชูเกอหวูอี้ตกใจจนแทบล้มคว่ำลงกับโต๊ะ ยามนี้ผู้เดียวที่สามารถใช้คำว่าทรงพระเจริญมีเพียงจักรพรรดิเท่านั้น กล่าววาจาพล่อยๆเช่นนี้อาจได้กลายเป็นความผิดร้ายแรง

Facebook Twitter Telegram Pinterest
Heavenly Star สวรรค์มวลดาว (จบ)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Completed ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เด็กหนุ่มลึกลับผู้ลืมเลือนอดีต ตื่นขึ้นมาในทวีปเทียนเฉิน ถูกเข้าใจว่าเป็นบุตรชายตระกูลเย่ เขาจึงใช้สถานะนี้เฝ้าสังเกตโลกอันยุ่งเหยิง รวมทั้งสืบหาอดีตของตน หากแต่โชคชะตาที่ต้องประสบกลับมีเพียงความน่าหวั่นสะพรึง เขาจึงหัวเราะเยาะโชคชะตา และเผยพลังสะท้านแดนดินใต้ผืนสวรรค์.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset