เมืองเทียนหลง บ้านหมอกฝัน
วันนี้ มีใบหน้าหนึ่งที่ไม่คุ้นตา หลีกเลี่ยงสายตาของผู้คน เข้ามาถึงยังบ้านหมอกฝัน คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าฉุ่ยเมิ่งฉาน ไม่กล้ายกเงยศีรษะขึ้นมา
“กล่าวอีกอย่างก็คือ ข่าวลือทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องจริง ไม่มีสิ่งใดเป็นเรื่องเท็จ?” ร่างงดงามที่อยู่หลังม่านเอ่ยขึ้น
“ถูกต้อง ตอนที่เย่หวูเฉินต่อสู้ตัวต่อตัวกับเทพสงคราม เขาได้ผ่าร่างของเทพสงครามออกเป็นสองเสี่ยง ข้าและ ‘47’ ได้เห็นกับตา สังหารสามอาวุโสแห่งต้าฟง , ผลาญทลายกองทัพนับหมื่น ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องเกินจริง”
ฉุ่ยเมิ่งฉานทอดถอนใจ “โชคไม่ดีนัก แม้ว่าเจ้าจะอยู่ที่นั่น แต่ก็ยังไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือเขาได้”
ผู้ที่คุกเข่าอยู่ใบหน้ากลายเป็นหม่นลง จากนั้นกล่าวด้วยความรู้สึกผิด “เป็นความผิดของข้าเอง ที่ไม่ทราบว่าเย่หวูเฉินกำความลับที่อยู่ของกระบี่หนานฮวงเอาไว้ในมือ ไม่เช่นนั้นต่อให้ข้ากับ 47 ต้องสละชีวิต พวกเราก็จะต้องเข้าไปช่วยเหลือเขา ทว่า…..ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น ฟงเลี่ยที่โกรธกริ้วอย่างมากได้สั่งเคลื่อนทัพขนาดใหญ่ ทำให้เป็นการยากสำหรับพวกเราสองคนที่จะช่วยเหลือเขาออกมา ทั้งยังจะเป็นการเปิดเผยสถานะของพวกเราทั้งสอง อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดได้เกิดขึ้นแล้ว โปรดลงโทษพวกเราด้วย องค์หญิง!”
ฉุ่ยเมิ่งฉานเงียบไปนาน จากนั้นกล่าวนุ่มนวล “ในเมื่อเจ้าไม่ทราบเรื่อง เช่นนั้นย่อมไม่อาจกล่าวโทษ ทั้งเจ้ายังอยู่ในอาณาจักรต้าฟง จะไม่ทราบเรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก ‘48’ เจ้าจงออกไปได้ คงเป็นเรื่องลำบากสำหรับเจ้าที่เดินทางมาทั้งวันทั้งคืน”
48 โค้งคำนับนอบน้อม “ขอบคุณองค์หญิงที่ให้อภัย” เมื่อกล่าวจบ คนผู้นั้นก็หันกายและจากไป
เมื่อ 48 ออกไปแล้ว ฉุ่ยเมิ่งฉานเพียงนั่งอยู่ตรงนั้น เงียบงันเป็นเวลานาน
“คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะปกปิดไว้มิดชิดได้ถึงเพียงนี้ ไม่แปลกใจเลยที่เขาสงบอยู่ตลอดเวลายามที่เผชิญหน้ากับพวกเรา กลายเป็นว่าด้วยอายุเพียงเท่านี้ เขากลับบรรลุความสำเร็จยิ่งใหญ่เช่นวันนี้ได้” ผ่านไปอีกเนิ่นนาน ฉุ่ยเมิ่งฉานจึงถอนหายใจ
“ท่านพ่อเคยบอกกับข้าว่า พวกเราไม่ควรเป็นศัตรูกับเขา ตรงกันข้ามพวกเราควรทุ่มเทผูกมิตรกับเขาไว้ ในตอนนั้นท่านพ่อคงสัมผัสได้ถึงพรสวรรค์อันล้ำเลิศของเขา”
“องค์หญิง มีข่าวมาจากในวัง ว่าเด็กหญิงชุดดำที่มักอยู่ข้างเย่หวูเฉิน นางครอบครองพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าท่านประมุข และบางที…..อาจยังเหนือยิ่งกว่า” ด้านหลังม่านมีหญิงสาวในชุดชมพูก้าวออกมา นางเป็นสาวใช้ส่วนตัวของฉุ่ยเมิ่งฉาน ,หลิงเอ๋อร์
ฉุ่ยเมิ่งฉาน “……….”
“แหล่งข่าวบอกว่า เด็กหญิงคนนั้นถูกเย่หวูเฉินพากลับบ้านจากทางป่าดำ ในวันที่เถาไปไปถูกสังหาร เมื่อวานนี้ตอนเที่ยง พวกเราได้ส่งหน่วยกล้าตายเข้าไปตรวจสอบในหอคอยปีศาจ และพบว่าสตรีเทพพิโรธได้หายตัวไปจากที่นั่นแล้ว อีกทั้งเด็กหญิงผู้นั้นยังพวยพุ่งด้วยกลิ่นอายสังหาร รวมถึงพลังที่สูงล้ำของนาง ข้าเกรงว่า…..นางจะเป็น…..”
“เจ้าจะบอกว่านางคือสตรีเทพพิโรธอย่างนั้นหรือ?” ฉุ่ยเมิ่งฉานเลิกคิ้วงอนงามขึ้น
“เจ้าค่ะ องค์หญิง ท่านประมุขเคยเจอสตรีเทพพิโรธเมื่อ 20 ปีก่อน เขากล่าวยืนยันว่าสตรีเทพพิโรธไม่ใช่ตัวตนที่มาจากทวีปเทียนเฉิน ดังนั้นอายุของนางจึงไม่อาจอธิบายได้ด้วยสามัญสำนึกธรรมดา องค์หญิง ท่านควรลองส่งข้อความ เพื่อถามยืนยันให้แน่ชัดกับท่านประมุข” หลิงเอ๋อร์กล่าว
ฉุ่ยเมิ่งฉานผงกศีรษะแผ่วเบา “ข้าเข้าใจแล้ว” จากนั้นนางทอดถอนใจ “เป็นเวลานานนักที่เขาปกปิดความจริงจากพวกเรา หากไม่ใช่เพราะความลับเรื่องที่อยู่ของกระบี่หนานฮวง ข้าคงยินดีกับความตายของเขา ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่สามารถสังหารเทพสงคราม? จะมีสักกี่คนที่สามารถควบคุมสตรีเทพพิโรธ? และแม้ไม่สนใจถึงเรื่องเหล่านี้ เฉพาะแผนการน่าหวาดหวั่นก็ทำให้ข้าหวาดกลัว หากพวกเรากลายเป็นศัตรูกับคนผู้นี้ ย่อมเท่ากับชักนำหายนะมาสู่ตัวเอง”
“ถ้าเช่นนั้น…..พวกเราควรปกป้องตระกูลฮั่วและตระกูลเย่ต่อหรือไม่?” หลิงเอ๋อร์ถาม
“ลืมมันซะ พวกเราจะถอนตัวเรื่องนี้ หากนางคือสตรีเทพพิโรธจริงๆ พวกเขาย่อมไม่จำเป็นต้องมีการปกป้องจากพวกเรา อาจมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่หลังจากนี้ ฉะนั้นตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะกระจายกำลังออกไป” ฉุ่ยเมิ่งฉานตอบหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
หลิงเอ๋อร์ “เจ้าค่ะ”
“อีกอย่าง จงส่งข้อความถึงฟงเลี่ย บอกเขาว่าสำนักจักรพรรดิใต้ของพวกเราไม่ต้องการเห็นสงครามในช่วงเวลาสามปี มาดูกันว่าพวกมันจะยังกล้าปฏิเสธหรือไม่ หลังจากที่ตระกูลฟงสูญเสียฟงเฉาหยางไป”
………………………………..
เหยียนจื่อเมิ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ในใจไม่อาจสงบ นางไม่ยอมออกไปที่ใด ตั้งแต่นางแยกกับเย่หวูเฉิน จิตใจของนางไม่เคยสงบมั่นคงเหมือนแต่ก่อน กระทั่งในความฝันยังคงปรากฎร่างของเขา พันธะวิญญาณที่เกิดขึ้นจากพลังเสียงปีศาจได้ถูกลบทิ้งไป ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า อาการนางยามนี้ไม่ใช่เกิดการพันธะวิญญาณหากแต่เป็นความรักที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้เป็นความรักที่เลือนรางไม่ชัดเจน ทว่าเมื่อครั้งหนึ่งที่สตรีมอบร่างกายให้กับบุรุษ อารมณ์ความรู้สึกนี้ย่อมบังเกิดขึ้นรวดเร็วโดยไม่ทันรู้ตัว
ในมือของนางยังคงมีขลุ่ยหยกสั้นสีเขียวเลานั้นอยู่ นางมักพกมันไว้ติดตัวอยู่เสมอ นางไม่รู้ว่าระหว่างตัวนางกับเขาจะได้พบกันอีกหรือไม่ หรือครั้งหน้าที่ได้พบกันจะเป็นสถานการณ์ใด ความสับสนทำให้หัวใจนางเจ็บปวด มีเพียงขลุ่ยหยกสั้นเลานี้ที่นางสามารถถ่ายทอดทุกความรู้สึกที่มี แน่นอนนางย่อมไม่ทราบว่าขลุ่ยหยกสั้นเลานี้ แท้จริงแล้วถูกมอบให้เย่หวูเฉินจากสตรีที่งมงายในรักต่อเขาอีกคน
“คุณหนู นี่ข้าเอง” หลังจากเคาะประตูห้อง สาวใช้ส่วนตัวที่ชื่อ ‘ปิงเอ๋อร์’ ได้เรียกมาจากด้านนอก เหยียนจื่อเมิ่งเตรียมซ่อนขลุ่ยหยกสั้นพลางตอบ “เข้ามา”
ปิงเอ๋อร์ผลักประตูเปิดและก้าวเข้ามา วางถาดอาหารที่เต็มไปด้วยขนมอบไว้เบื้องหน้าเหยียนจื่อเมิ่ง จากนั้นหัวเราะซุกซนและกล่าว “คุณหนู เชิญทานอาหาร”
เหยียนจื่อเมิ่งยิ้มตอบ “ปิงเอ๋อร์ นั่งลงและทานด้วยกันกับข้าก่อน”
“อื้ม!” ปิงเอ๋อร์รีบนั่งลงที่ด้านตรงข้ามกับเหยียนจื่อเมิ่ง จากนั้นลงมือกินไม่สนมารยาท นางรับใช้เหยียนจื่อเมิ่งมานาน ไม่มีการแบ่งกั้นระหว่างพวกนางทั้งสองคน ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน พวกนางเหมือนเป็นพี่น้อง ระหว่างที่ขบเคี้ยวอยู่นางกล่าว “คุณหนู ท่านได้ยินเรื่องราวของบุรุษผู้เก่งกาจที่สุดแห่งอาณาจักรเทียนหลงหรือยัง?”
“โอ้? จริงรึ?” เหยียนจื่อเมิ่งเล่นขลุ่ยหยกเขียวในมือ เอ่ยด้วยความคิดล่องลอย
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าบุรุษผู้นั้นกระทั่งเยาว์วัยยิ่งกว่าท่าน แต่เขากลับเอาชนะเทพสงครามฟงเฉาหยางได้ ยิ่งกว่านั้น เขายังผ่าร่างเทพสงครามออกเป็นสองซีก”
เหยียนจื่อเมิ่งตกใจสะท้านคราหนึ่ง นางเริ่มสนอกสนใจกับหัวข้อนี้ นางตอบตะลึงลาน “ชายหนุ่มที่เยาว์วัยยิ่งกว่าข้า กลับสามารถสังหารฟงเฉาหยางได้? เป็นผู้ใดที่มีความสามารถล้ำเลิศถึงเพียงนี้?”
ปิงเอ๋อร์กล่าว “ฮี่ๆ นามของชายผู้นี้สะเทือนไปทั่วทั้งทวีปเทียนเฉิน ท่านสมควรเป็นคนเดียวที่ยังไม่รู้เรื่องราวของเขา”
เหยียนจื่อเมิ่งยิ้ม ไม่ถือสานาง
“ชื่อของเขาคือเย่หวูเฉิน เป็นสมาชิกตระกูลเย่แห่งอาณาจักรเทียนหลง….”
เหยียนจื่อเมิ่งร่างสะท้านวูบ พลันตะโกนถามไม่รู้ตัว “ใครนะ?”
“ชื่อของเขาคือเย่หวูเฉิน ท่านเคยได้ยินชื่อนี้ด้วยเหรอ คุณหนู?” ปิงเอ๋อร์งุนงงกับท่าทางของเหยียนจื่อเมิ่ง นางถามด้วยความสงสัย
เหยียนจื่อเมิ่งไม่ตอบ หัวใจนางเริ่มเต้นรัวเร็วขึ้น “เล่ารายละเอียดให้ข้าฟังต่อสิ”
ปิงเอ๋อร์ผงกศีรษะสุดแรง จากนั้นเริ่มสาธยายเรื่องราวด้วยความตื่นเต้น ทุ่มเทกำลังบรรยายทุกรายละเอียดที่มี แน่นอนว่าย่อมไม่พลาดที่จะแต่งเสริมเติมจินตนาการลงไป เหยียนจื่อเมิ่งนั่งฟังเงียบกริบ ฉากเหล่านั้นปรากฎขึ้นในใจ….นางรู้ว่าสาวน้อยที่เขาอุ้มอยู่ในอ้อมแขน คือหนิงเสวี่ยที่มักพิงพักอยู่ในแขนของเขา ถ้าอย่างนั้น…..แล้วทงซินล่ะ สาวน้อยที่มีพลังอันน่ากลัว? นางไปอยู่ที่ใดกัน? เหตุใดถึงไม่อยู่ข้างกายเขาในช่วงเวลานั้น?
เรื่องพลังของทงซิน นางไม่เคยบอกกล่าวให้ใครรับรู้ ตั้งแต่นางกลับมาถึงสำนักจักรพรรดิเหนือ นางจะหลีกเลี่ยงไม่ทำให้เรื่องของเขากลายเป็นจุดสนใจ เพราะหากเป็นเช่นนั้น เขาย่อมตกอยู่ในอันตราย
พลังที่กล้าแกร่งของเขาทำให้นางแปลกใจ และคล้ายจะรู้สึกภูมิใจอยู่แปลกๆ สถานการณ์ของเขาในยามนี้ทำให้นางลุ้นตัวเกร็ง เมื่อปิงเอ๋อร์เล่าถึงตอนที่เขาเผาทำลายกองทัพหมื่นศัตรู จากนั้นถูกบีบให้ประชิดกับหุบเหวปลิดวิญาณอันน่าหวาดหวั่น เหยียนจื่อเมิ่งยกมือทาบอก พลันถามออกไปอย่างเร่งร้อน “แล้ว….เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”
ปิงเอ๋อร์มองเหยียนจื่อเมิ่งด้วยสายตาประหลาด จากนั้นเล่าต่อ “บางคนก็บอกว่าเขาปฏิเสธที่จะตายด้วยน้ำมืออาณาจักรต้าฟง ดังนั้น เขาจึงอุ้มสาวน้อยผมขาวแล้วกระโดดลงไปในหุบเหวปลิดวิญญาณ ดับดิ้นไปพร้อมกัน….”
ผลั่ก!……ขลุ่ยหยกสั้นในมือของเหยียนจื่อเมิ่งร่วงลงพื้น ภาพเบื้องหน้ากลายเป็นพร่ามัว…..
“ตาย….. ตาย……” เพียงชั่วขณะราวกับวิญญาณได้พรากออกจากร่าง นางพึมพำวนเวียนซ้ำๆไปมา
“คุณหนู?” ปิงเอ๋อร์พลันพรวดยืนขึ้น หยิบขลุ่ยหยกสั้นขึ้นมาวางบนโต๊ะ นางถามกระวนกระวาย “คุณหนู เกิดอะไรขึ้นกับท่าน? ข้าพูดอะไรผิดไป?”
“เจ้าออกไปก่อน”
“คุณหนู? ข้า…..”
“ออกไปเดี๋ยวนี้!”
“เจ้าค่ะ….” ปิงเอ๋อร์ไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้มาก่อน นางออกไปด้วยความรีบร้อน นางปิดประตูด้วยหัวใจที่สับสน คิดถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปฉับพลันของเหยียนจื่อเมิ่ง นางพึมพำกับตัวเอง “เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนู…. เอ๋ จริงสิ ตอนนั้นที่คุณหนูออกไป นางต้องไปหาคนที่แซ่เย่ ทั้งยังมาจากอาณาจักรเทียนหลง หรือว่า…..หรือว่าเขาจะเป็นบุรุษผู้เก่งกาจคนนั้น บางทีคุณหนูอาจประทับใจและหลงรักเขา…..” นางคิดด้วยความกังวล และยิ่งนางคิดก็ยิ่งกลัว นางรีบกลับไปยังห้องของตัวเอง
เหยียนจื่อเมิ่งซบลงบนโต๊ะ ในที่สุดนางก็ร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น นางไม่คิดเลยว่าหลังจากที่แยกจากกัน กลับได้รับข่าวคราวของเขาอีกครั้งในทางที่เลวร้าย
นางไม่รู้ว่าร้องไห้ไปนานแค่ไหน กระทั่งเสียงยังกลายเป็นแหบพร่า หัวใจเหมือนฉีกออกเป็นชิ้น นางเสียใจที่ยอมรับปากเหยียนซีหมิงเพื่อเข้าหาเย่หวูเฉิน เสียใจที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเขา เพราะหากนางปฏิเสธครั้งนั้นไป นางก็ไม่ต้องตกหลุมรัก และหากนางไม่มีความรัก เวลานี้หัวใจนางก็ไม่ต้องเจ็บปวด สำหรับนาง หรือไม่ว่าสำหรับสตรีคนใด เรื่องนี้ย่อมหนักหนาจนไม่อาจทนรับไหว
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเนิ่นนานโดยไร้การตอบ เหยียนซีหมิงผลักประตูและเดินเข้ามา เขากล่าว “เมิ่งเอ๋อร์ พวกเราถูกหลอก ตอนนั้นเย่หวูเฉินไม่ได้ตกอยู่ใต้อำนาจของเสียงปีศาจ เขาสมควรแสร้งแสดงละครตบตา ไม่แปลกใจที่ข้ารู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง….เอ๋? เมิ่งเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”
ข่าวเรื่องเย่หวูเฉินมีพลังกร้าวแกร่งถึงขนาดเอาชนะเทพสงคราม ทำให้เขาตระหนักได้ว่าพวกเขาถูกหลอก ด้วยพลังอำนาจถึงเพียงนั้น ต่อให้อยู่ระหว่างการหลับไหลเขาย่อมไม่ถูกครอบงำด้วยพลังเสียงปีศาจของเหยียนจื่อเมิ่ง ดังนั้นเขาจึงสรุปได้ว่าเย่หวูเฉินจะต้องแสร้งแสดงตบตา หากไม่ใช่เพราะเขาถูกบีบให้แสดงพลังทั้งหมดออกมา เหยียนซีหมิงคงไม่มีวันตระหนักถึงเรื่องนี้
ตอนนี้ใบหน้าราวฝันของนางเซียนเหยียนจื่อเมิ่งเต็มไปด้วยคราบน้ำตา หลังจากที่ประหลาดใจเขาก็รู้สึกสงสารนาง เขาก้าวเข้าหาและกล่าวปลอบ “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าคิดถึงบิดามารดาของเจ้าอีกแล้วหรือ?”
เนื่องจากอยู่ด้วยกันเป็นมาหลายปี เขาจึงรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับเหยียนจื่อเมิ่ง ตั้งแต่ครั้งที่ทุกคนในเผ่าถูกสังหาร นางก็เกลียดชังคนภายนอก ตลอดที่ผ่านมานางซ่อนตัวอยู่แต่ในสำนักจักรพรรดิเหนือ น้อยนักที่จะติดต่อกับคนภายนอก ผลลัพธ์ทำให้นางกลายเป็นคนยโส รวมทั้งประสบการณ์ของนาง….ยังอ่อนด้อยเหมือนที่เย่หวูเฉินกล่าว ดังนั้น เหยียนซีหมิงจึงไม่เคยสงสัยในตัวนาง แม้เขารู้ว่าข้อมูลที่ได้จากพลังเสียงปีศาจนั้นไม่ใช่ความจริง แต่เขายังคงเข้าใจว่าเพราะเย่หวูเฉินใช้ลูกไม้ ไม่เคยคิดสงสัยในตัวเหยียนจื่อเมิงใดๆ ยามนี้เมื่อเขาเห็นนางร้องไห้เสียใจ เขาจึงคิดเพียงว่านางทบทวนถึงความตายอันโหดร้ายของบิดามารดา เพราะนอกจากเรื่องนี้ นางก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดให้ร้องไห้ถึงเพียงนี้
เหยียนจื่อเมิ่งไม่ตอบกลับ ความคิดของนางกำลังสับสน ราวกับว่านางไม่ใช่ตัวของตัวเอง กระทั่งมีคนมายืนอยู่เบื้องหน้า นางยังไม่อาจระบุตัวตนของเขา
เหยียนซีหมิงยื่นมือออกมาหมายจะปาดน้ำตาให้นาง ทว่าเขาหยุดมือและดึงกลับ จากนั้นกล่าวปลอบแทน “เมิ่งเอ๋อร์ อย่าร้องไห้เลยได้ไหม? เจ้าไม่ใช่เด็กอีกแล้ว หากเจ้าทำร้ายสุขภาพของตัวเอง บิดามารดาของเจ้าที่อยู่บนสรวงสวรรค์จะต้องเสียใจ”
เหยียนจื่อเมิ่งหูดับไปเรียบร้อย นางร้องไห้โศกเศร้าหนักข้อยิ่งกว่าเดิม น้ำตาไหลร่วงเปื้อนเสื้อผ้า สำหรับหญิงสาวที่มีความรักครั้งแรก บาดแผลที่เจ็บปวดที่สุดคือบาดแผลใจ และแผลใจที่เจ็บปวดที่สุดคือการสูญเสียบุคคลที่ได้มอบร่างกายและหัวใจให้
ผ่านไปนานเหยียนซีหมิงทำได้เพียงฝืนยิ้มและกล่าว “เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าอยากจะร้องไห้ เช่นนั้นจงร้องออกมาให้หมดใจ แต่จงให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อพวกเราแต่งงานกันแล้ว เจ้าจะไม่ใช่เด็กอีกต่อไป”
กล่าวจบเขาก็หันกายแล้วเดินจาก ก่อนที่เขาจะปิดประตูในใจบังเกิดความสงสัย ทว่าเขาไม่คิดสิ่งใดอีก เขารีบก้าวเท้าและจากไป ยังมีสิ่งอื่นอีกมากที่เขาจะต้องไปจัดการ