“…….กล่าวกันว่าหวูเฉินแห่งตระกูลเย่เส้นผมลุกชูชันด้วยความโกรธ เผชิญหน้ากับทัพเกรียงไกรโดยไร้ความกลัว เขาคำรามลั่นและทะยานเข้าหา ในมือกวัดแกว่งกระบี่เพลิงเล่มใหญ่ เข้าปะทะทลายทัพอันเกรียงไกร ในพริบตานั้นเลือดเนื้อปลิวว่อนกระจายทุกทิศทาง ซากศพกองก่ายเป็นภูเขา ไร้ผู้ใดที่จะมีพลังต้านทาน จักรพรรดิบัดซบแห่งต้าฟงมองดูการต่อสู้อันห้าวหาญ เขาหวาดกลัวจนหัวใจและตับแทบฉีกออก เกือบจะฉี่รดราดกางเกงตัวเอง เขาสั่งเคลื่อนขบวนทัพและกองทหารม้าทั้งหมด ทั้งทหารที่รายรอบประจำเมือง รวมทั้งหมดทั้งสิ้นกว่าแสนคน โอ….แม้ว่าหวูเฉินแห่งตระกูลเย่จะเป็นดั่งเทพที่จุติจากฟ้า แต่เขาที่พึ่งสังหารเทพสงครามและสามอาวุโสแห่งต้าฟงก็เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง ไหนเลยจะสามารถต้านทานกองทัพนับแสน ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ยี่หระต่อจำนวนคน สุดท้าย เขาถูกกดดันให้ถอยร่นจนติดขอบเหวปลิววิญญาณ สถานที่ซึ่งทุกคนหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อ ในเวลานั้นเอง เขาราวกลายเป็นเทพแห่งอัคคี เขาเรียกเพลิงจากฟากฟ้าอวกาศกระหน่ำใส่เหล่าทัพศัตรู กองทัพนับแสนถูกเผาสิ้นซากจนไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ…..”
“ไร้สาระ! จำนวนคือสองแสนชัดๆ! เจ้าพูดผิดแล้ว!”
“พวกเจ้าทั้งหมดนั่นแหละผิด ทั้งหมดคือห้าแสน กองทัพห้าแสนคน! บดบังภูเขาและแผ่นดิน ท่วมปฐพีดุจดั่งทะเล สุดท้ายไม่มีสิ่งใดเหลือรอด ปู่ของข้าได้เห็นมากับตา เขาเล่าว่าเพราะอาณาจักรต้าฟงไม่ต้องการเสียหน้า พวกเขาจึงอ้างว่าใช้คนเพียงไม่กี่หมื่น”
“เฮ้ กลับมาเข้าประเด็นกันต่อ สุดท้ายคุณชายเย่ก็ตายไปแล้ว ถูกอาณาจักรต้าฟงไล่ล่าจนถึงแก่ความตาย! ทั่วทั้งทวีปเทียนเฉินยังมีอาณาจักรใดที่เหมือนอาณาจักรเทียนหลงของพวกเรา ที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสันติ ทั้งหมดนี้ พวกเราล้วนได้รับมาจากเทพปกปักษ์แห่งอาณาจักรเทียนหลงตระกูลเย่ แต่สุดท้ายตระกูลเย่กลับต้องสูญเสียทายาทอย่างไม่อาจไถ่ถอนคืน”
“ถูกต้อง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะรัชทายาทต้าฟงบัดซบนั่น เป็นคางคกริบังอาจจะกินเนื้อหงส์ บีบบังคับให้คุณหนูตระกูลเย่แต่งงานกับมัน”
“ใช่แล้ว ถ้าต้องสู้พวกเราก็จะสู้ อาณาจักรต้าฟงของพวกมันก็แค่อวดดีเท่านั้น ในอดีตก็เคยพ่ายให้กับตระกูลเย่ ตอนนี้เทพสงครามยังถูกผ่าร่างโดยนายน้อยตระกูลเย่เพียงตัวลำพัง ทำลายล้างกองทัพนับแสนเป็นฟองไข่ ใครที่คิดข่มเหงโดยอาศัยจำนวนคน พวกเราอย่าได้เกรงกลัวพวกนั้น หยิบอาวุธของพวกเราลุกขึ้นมา เข่นฆ่าพวกมันจนกว่าจะร้องไห้หามารดา ไม่ว่ามันจะมาจากทางไหน ก็ไล่มันกลับไปทางนั้น!”
“เจ้าพูดได้ถูกต้อง ตระกูลเย่เสียสละให้พวกเรามามากเกินไปแล้ว ไหนเลยพวกเราจะทนนั่งอยู่เฉยๆได้ หากจะต้องสู้ ให้มันรู้กันไปเลยว่าผู้ใดเป็นไข่ไก่หรือลูกเต่าในกระดอง คนธรรมดาอย่างพวกเราไม่ใช่พวกไร้ประโยชน์!”
…………..
…………..
การสำแดงโทสะคราเดียวของเย่หวูเฉิน ได้ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในตำนานผู้กล้าในหัวใจผู้คน ยิ่งกว่านั้น ตำนานนี้ยังมหัศจรรย์ขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนกระทั่งตั้งชื่อทารกแรกเกิดว่า “หวูเฉิน” ส่งผลให้นาม “หวูเฉิน” ดังสะท้อนทั่วอาณาจักรเทียนหลงเป็นเวลาหลายปีหลังจากนั้น การต่อสู้อันดุเดือดของเขากระทั่งถูกไล่ต้อนให้ร่วงหล่นลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณ กลายเป็นสิ่งที่ลดระดับความกลัวของผู้คนธรรมดาในอาณาจักรเทียนหลงที่มีต่ออาณาจักรต้าฟง ผลลัพธ์เป็นดั่งคลื่นกระเพื่อมลูกแล้วลูกเล่า ข่าวนี้ได้มาถึงยังอาณาจักรต้าฟง ทำให้ฟงเลี่ยคิ้วขมวดมุ่น เขาจึงตั้งใจรั้งรอไม่เคลื่อนทัพในช่วงเวลานี้ รอคอยให้เจตนาแรงกล้าชั่ววูบของคนเหล่านั้นค่อยๆเสื่อมลง
เมื่อข่าวแพร่มาถึงตระกูลเย่ หลังจากที่หวังเวิ่นชูได้ยินเกี่ยวกับข่าว นางไม่ได้กล่าวคำใดๆเพราะตาเหลือกขึ้นและล้มพับลง
ไม่ว่าเขาจะกลายเป็นผู้กล้า หรือเป็นเทพในตำนานตามข่าวลือที่แพร่สะพัด ทุกสิ่งล้วนไม่ใช่สาระสำหรับนาง เพราะนอกเหนือจากความสำเร็จเหล่านั้น เขาก็ยังคงเป็นลูกชายนาง เขาถูกบีบต้อนจนตายในอาณาจักรต้าฟง คือความตกใจสุดแสนของผู้เป็นมารดาที่ไม่อาจทนรับได้ ข่าวการตายของเย่หวูเฉินราวกับสายฟ้าฟาดจากสวรรค์ ฟาดกระหน่ำนางจนกระทั่งพังพาบลง
ในวันนั้น ทั่วทั้งตระกูลเย่เงียบเป็นป่าช้า ในช่วงบรรยากาศหนักอึ้งเหล่าคนใช้ของตระกูลเย่ต่างกระซิบคุยกัน แววตาเป็นประกายด้วยความเคารพและภาคภูมิใจ หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดส่ายศีรษะด้วยความอาลัย
เมื่อรัตติกาลย่างเยือน อากาศก็พลันหนาวเหน็บ ระหว่างที่ม่านความมืดแผ่ปกคลุม เกล็ดหิมะก็ร่วงปลิวลงมาจากท้องฟ้า หิมะนี้มาถึงเร็วกว่าปกติ ส่งสัญญาณเพื่อบอกว่าฤดูใบไม้ร่วงได้ผ่านพ้นไปแล้ว ฤดูหนาวกำลังจะมาถึงในไม่ช้า อากาศเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็งยิ่งทำให้ตระกูลเย่ผู้เดียวดายหนาวเหน็บจับใจ
วันต่อมา เย่เว่ยผู้ไม่อาจนอนหลับตลอดคืน ผลักประตูห้องนอนเปิดออก หิมะยังคงร่วงโปรยปราย ตลอดในคืนนั้น เส้นผมขาวบนศีรษะได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมในเวลาคืนเดียว เขาสืบเท้าผ่านชั้นหิมะหนา ย่ำเท้าหนักตรงไปยังสวนของเย่หนู่ ด้วยรู้ว่าบิดาตนย่อมตื่นอยู่ตลอดคืน
เดินมาจนถึงทางเข้าประตูสวน เขาก็พลันเห็นเย่หนู่ เย่หนู่ยืนเงียบอยู่ในสวน ไร้ชีวิตในแววตา บนร่างกาย บนไหล่ และบนศีรษะ….. กระทั่งบนหนวดเครา ล้วนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ สายลมเย็นโบกพัดมา ร่างกายเขากลับไม่สะท้านเพราะความหนาวเย็น ราวกับว่าร่างกายเขาแข็งทื่อ และรอบตัวเขา บนผืนหิมะหนานั้น กลับไม่ปรากฎรอยเท้าใดๆ…..
ท่ามกลางหิมะและสายลมหนาว ปรากฎว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นตลอดคืน!
เย่เว่ยตกใจชั่วขณะ จากนั้นตะโกนเรียกไปว่า “ท่านพ่อ” เขารีบตรงเข้าไปหา ประคองร่างของเย่หนู่ ร่างกายเขาเย็นเยียบน่ากลัว และยังแข็งทื่ออย่างน่าตกใจ
เย่หนู่ค่อยๆหันศีรษะบนลำคอที่แข็งเย็น ดวงตาไร้แววชีวิตคู่นั้นมองมาที่เย่เว่ย เปล่งน้ำเสียงแหบแห้งอ่อนแอ “เฉินเอ๋อร์…..กลับมาแล้วหรือ…..”
เย่เว่ยเมื่อได้ยินถ้อยคำ จมูกเขาเริ่มแดง บิดาเขาคือคนที่แกร่งกล้าดั่งเหล็กหนา กระนั้นยังไม่อาจทำใจกับเรื่องร้ายแรงนี้ได้ แม้ว่าปีก่อนเย่หวูเฉินจะหายตัวไป ยามที่ทุกคนยืนยันว่าเขาเกิดอุบัติเหตุมีอันเป็นไป เย่หนู่ยังไม่เคยเผยท่าทีเช่นนี้ มีสีหน้าราวธุลีความตาย เพราะตอนที่เย่หวูเฉินคนก่อนตกตาย สิ่งที่สร้างความเจ็บปวดคือสายใยรักของครอบครัว เป็นสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่เมื่อเย่หวูเฉินคนปัจจุบันตกตาย สิ่งที่สร้างความเจ็บปวดชำแรกไม่ใช่เพียงแค่สายใยรักของครอบครัวและสายเลือด แต่ยังรวมถึงความหวัง , ความวางใจ , และความภาคภูมิ…. ช่วงเวลาที่ผ่านมา อาจนับได้ว่าเป็นช่วงที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิต เพราะหลานชายของตนเป็นที่รู้จักในนามอัจฉริยะฟ้าประทาน ด้วยพรสวรรค์ไร้ที่เปรียบทั้งทักษะอักษรและทักษะยุทธ เขาสร้างปาฎิหาริย์ติดต่อกัน บรรลุคุณความดีสร้างความชอบต่อเนื่อง และคัดค้านตระกูลหลินไม่ละวาง ทำพวกมันหดหู่และกดดัน จนพวกมันต้องดิ้นรนรักษาชื่อเสียง จากก้นบึ้งของหัวใจ-เขาภาคภูมิใจในตัวหลานชาย…..
หากแต่เพียงคืนเดียว ทุกสิ่งพลันสลายหายไป เขาสังหารเทพสงครามในอาณาจักรต้าฟง สังหารกองทัพหมื่นคน สร้างตำนานสะเทือนทั้งทวีปเทียนเฉิน…..นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เพราะราคาของมันคือโลกชราและโลกเยาว์วัยที่พรากออกจากกัน
เขาเกลียดตัวเอง เกลียดตัวเองที่เกลี้ยกล่อมให้เย่ฉุ่ยเหยาแต่งงานกับฟงหลิง หากไม่ใช่เพราะนางถูกบังคับให้แต่งงานเข้าสู่อาณาจักรต้าฟง วันนี้คงไม่มีวันกลายมาเป็นแบบนี้…..
ตอนเมื่อคืนกลางดึก เขาก้าวออกมาเผชิญลมหนาว ยืนอยู่กลางหิมะราตรี ทว่าสิ่งที่รู้สึกกลับไม่ใช่ความหนาวเย็น แต่เป็นหัวใจที่เจ็บปวดเหมือนถูกตัดด้วยมีด เขาพึมพำรวดร้าวซ้ำคำวนเวียน….. หรือนี่คือการลงทัณฑ์จากสวรรค์ที่มีต่อข้า ที่ละทิ้งคนในตระกูล…… ในเมื่อท่านต้องการลงโทษ เหตุใดไม่มาลงที่ข้าเพียงลำพัง ทำไมต้องเป็นเฉินเอ๋อร์……
“ท่านพ่อ รีบกลับเข้าห้องก่อน กลับเข้ามาในห้องก่อน…. เฉินเอ๋อร์ยังไม่กลับมา แต่หากเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับท่าน ตระกูลเย่ของพวกเราจะถึงคราวพินาศ!” เขาประคองร่างเย่หนู่ที่ยามนี้ราวน้ำแข็งสลัก ย่างหยุดทีละก้าวเข้าไปข้างใน เย่เว่ยหันศีรษะแล้วตะโกนเสียงดัง “เย่ซาน , เย่ซื่อ รีบไปก่อไฟ เร็วเข้า!!”
ถ่านไม้แดงฉานเผาไหม้ เย่ซานและเย่ซื่อยืนนอบน้อมอยู่ด้านข้าง ถอนใจอยู่ในใจ นายหัวชราเย่เป็นผู้กล้ามาทั้งชีวิต ทว่าในที่สุดบุตรคนสุดท้ายกลับตายก่อนรุ่นชรา สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมต่อตระกูลเย่ เย่หนู่นั่งอยู่หน้าเตาไฟ สีหน้ายังคงไร้แววชีวิต เย่เว่ยนวดเฟ้นให้เขาด้วยตนเอง อบอุ่นร่างกายที่แข็งทื่อ
ในห้องนอนนั้นเงียบงันเป็นเวลานาน หัวใจของเย่เว่ยหนักอึ้งเหมือนถูกกดด้วยหินหนัก เขาย่อกายลงอยู่ข้างเย่หนู่ จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “ท่านพ่อ หากท่านไม่อาจทนรับความเจ็บปวดในหัวใจไหว เช่นนั้นท่านสามารถพูดมันออกมา ตะโกนออกมา ร้องไห้ออกมา แบบนั้นจะทำให้ท่านรู้สึกดีกว่า อย่าได้ฝืนเก็บมันไว้ในใจ ตอนนี้เฉินเอ๋อร์ไม่อาจอยู่ข้างกายดูแลพวกเรา พวกเราควรต้องดูแลตัวเองให้มากยิ่งขึ้น อย่าได้ทำร้ายตัวเองเลย”
“องค์จักรพรรดิเสด็จมาถึงแล้ว!”
เสียงตะโกนดังชัดก้องมาจากข้างนอก เย่เว่ยจ้องอยู่กำลังจะลุกขึ้น ทว่าเขาเห็นประกายวาบในแววตาของเย่หนู่ที่ยืนขึ้นในฉับพลัน เดินติดขัดก้าวออกไปข้างนอกรวดเร็ว เย่เว่ยรีบตามไปทันที เย่ซานและเย่ซื่อมองหน้ากันสะดุ้ง จากนั้นรีบตามติดไปเบื้องหลัง
เย่หนู่ออกมาเพื่อจะพบกับหลงหยิน แต่เนื่องจากร่างกายที่แข็งอยู่จึงยังไม่มั่นคง เขาสะดุดและคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหลงหยิน เงยศีรษะขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงชิงชัง “ฝ่าบาท บ่าวของท่านขอออกรบ มุ่งตรงไปสู่ต้าฟง โปรดเมตตาประทานอนุญาต!!”
หลงหยินหยุดฝีเท้า จากนั้นส่ายศีรษะ “ขุนพลชราเย่ โปรดลุกขึ้นก่อนแล้วค่อยพูด ข้าทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว เฮ้อ”
เป็นเวลานานแล้วที่เย่หนู่ได้รับอนุญาตพิเศษให้ไม่ต้องคุกเข่าต่อหน้าจักรพรรดิ เย่เว่ยรีบกระทำคารวะจากนั้นรีบเข้าไปประคองเย่หนู่ เวลานี้ ใบหน้าของเย่หนู่ไม่ใช่สีธุลีความตายอีกต่อไป แต่แทนที่ด้วยดวงตาเบิกกว้างราวพยัคฆ์ภาคภูมิ แววตาท่วมท้นด้วยความชิงชังและเสียใจ มองตรงไปที่หลงหยิน
“ขุนพลชราเย่ ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านในเวลานี้ดี เฮ้อ… สายโลหิตที่น่าสงสารแห่งตระกูลเย่ เสาหลักค้ำจุนอาณาจักรเทียนหลงของข้า กลับถูกทำลายด้วยน้ำมืออาณาจักรต้าฟง ทุกอย่างเป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ควรยอมรับเงื่อนไขของฟงหลิง” หลงหยินถอนหายใจยาว สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ ทอดถอนใจไม่เว้นวาง
“ในฐานะบ่าวของท่าน ข้าขอร้องออกไปสู้รบ ฝ่าบาทโปรดประทานอนุญาต!” เย่หนู่ยังมีสีหน้าไม่เปลี่ยน ยังกล่าววาจาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง เย่หนู่ผู้นี้ที่สงบสุขุมมาทั้งชีวิต สมควรสิ้นความมีเหตุผลเพราะเรื่องกระทบร้ายแรง
“ข้า…..จะไม่อนุญาต!” หลงหยินส่ายศีรษะอย่างไร้ทางเลือก จากนั้นลดน้ำเสียงลง ถอนหายใจแล้วกล่าว “เมื่อข้าได้ยินเกี่ยวกับข่าวสลด ข้ารู้สึกเสียใจเช่นเดียวกัน ข้ายังเข้าใจถึงความเจ็บปวดและความเกลียดชังของขุนพลชราเย่ หากข้าเป็นท่าน ข้าก็ย่อมเอ่ยขอแบบนี้เช่นกัน ทว่าขุนพลชราเย่ ความเกลียดของข้าที่มีต่ออาณาจักรต้าฟงไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าที่ท่านรู้สึก ข้าไม่เคยหยุดคิดหาวิธีเอาชนะอาณาจักรต้าฟง ไม่ใช่ข้าไม่ต้องการแต่เพราะว่าข้าไม่อาจทำ ทุกการกระทำของข้าเป็นไปเพื่อความร่มเย็นของอาณาจักรเทียนหลง จะให้ข้าเพิกเฉยชีวิตของผู้คนทั่วทั้งอาณาจักรเทียนหลง เพียงเพราะความชิงชังและเจ็บปวดของคนๆเดียวได้อย่างไร”
เขาถอนหายใจยาวและกล่าวเจ็บปวด “สถานะของข้าในตอนนี้ เช่นเดียวกับสถานะของท่านในปัจจุบัน ได้ตัดสินลิขิตให้พวกเราไม่อาจใช้ชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง แต่อยู่เพื่อผู้คนทั่วหล้า ข้าเชื่อว่าขุนพลชราเย่ย่อมเข้าใจความหมายที่ข้าจะสื่อ”
เย่เว่ยประคองไหล่ของเย่หนู่ จากนั้นกล่าว “ท่านพ่อ ฝ่าบาททรงตรัสได้ถูกต้อง พวกเราไม่อาจประมาทกับเรื่องนี้ได้ ต่อให้พวกเราต้องสู้ พวกเราก็ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ”
“อยู่เพื่อผู้คนทั่วหล้า…..” เย่หนู่กล่าวซ้ำ จากนั้นหัวเราะขมขื่น เสียงหัวเราะของเขาทุกข์ระทมจนไร้ที่เปรียบ “ข้าใช้ชีวิตอยู่เพื่อผู้คนทั่วหล้ามาตลอดทั้งชีวิต ข้ากระทั่งไม่เคยคุยกับหลานสาวของตัวเองไปมากกว่าไม่กี่ประโยค กระนั้นข้ากลับส่งนางไปสู่อาณาจักรต้าฟงด้วยตนเอง จนเกือบทำลายความสุขของนาง ข้าไม่เคยอยู่คลุกคลีกับหลานชายตัวเองไปมากกว่าไม่กี่วัน แต่ตอนนี้โลกของพวกเรากลับต้องแยกจาก กระทั่งร่างไร้ชีวิตของเขายังไม่อาจได้เห็น อยู่เพื่อคนทั่วหล้า ข้าอยู่มาพอแล้ว…..พอแล้วจริงๆ ฝ่าบาท เรื่องขออนุญาตออกรบเป็นข้าที่หุนหันเอง โปรดประทานอนุญาตให้ข้า…..ปลดเกษียณจากราชสำนัก”
ด้วยแรงกระทบหนักหนาจากการตายของเย่หวูเฉิน หัวใจของเย่หนู่กลายเป็นเย็นชาโดยแท้จริง ทั้งเบื่อหน่าย , เหน็ดเหนื่อย , และมีเพียงความเสียใจ เขาแก่ชรามากแล้ว ไม่ทราบเหลือวันเวลาอีกเท่าไหร่สำหรับเขาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ สำหรับช่วงเวลาที่เหลือ เขาเพียงต้องการใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง สิ่งอื่นๆไม่ใช่สาระสำหรับเขาอีกต่อไป
เมื่อได้ยินคำเหล่านี้ หลงหยินกลายเป็นเงียบงัน มองเผชิญหน้าโดยตรงกับเย่หนู่เป็นเวลานาน จากนั้นค่อยๆผงกศีรษะช้าๆ “หลายปีมานี้ ขอบคุณขุนพลชราเย่ที่ทุ่มเททำงานอย่างหนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะมอบคำอนุญาต ข้าเสียใจต่อท่านที่สุด ขุนพลชราเย่ โปรดรักษาสุขภาพให้ดี หากท่านมีเรื่องจำเป็นสิ่งใด จงส่งคนไปหาข้าได้”
เย่หนู่ก้มศีรษะลงต่ำ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา”
“ฝ่าบาท ข้างนอกนี่หนาวนัก โปรดเข้ามาข้างในและประทับนั่ง” เย่เว่ยประคองร่างเย่หนู่ขึ้นและกล่าว
“ไม่จำเป็น ขุนพลเย่ เจ้าพาขุนพลชราเย่ไปที่ห้องของเขา ข้าอยากจะพบลูกสาวของเจ้าด้วยตัวเอง”
เย่เว่ยได้ยินเขาปฏิเสธที่จะตามไป ดังนั้นจึงกล่าว “โปรดทำตามที่ฝ่าบาทต้องการ ฝ่าบาท บ่าวผู้ต่ำต้อยขอตัว” หลังจากนั้นเขาประคองเย่หนู่เดินกลับไปทีละก้าว ด้วยการตัดสินใจนี้ของเย่หนู่ เย่เว่ยไม่แปลกใจใดๆ เขาจำเป็นต้องพักผ่อนอย่างแท้จริง