“ใครเป็นสหายเจ้า!” เล่งหยาแค่นเสียงแล้วพลิกมือซ้ายสะบัดใส่เล็งที่ลำคอ ฉู่จิงเทียนคว้ามือทั้งสองออกจับ ค่อยๆดันมือของเล่งหยาลง เขามุ่นคิ้วกล่าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าหมายความว่าเช่นไร! พวกเรารู้จักกันมานานแล้ว พวกเราฝึกด้วยกัน , ล่าด้วยกัน , กินด้วยกัน…. ทำเกือบทุกอย่างด้วยกันทุกวัน แม้ว่าเจ้าจะไม่อยากคุยกับข้ากระทั่งถ้อยคำสั้นๆ แต่ข้าก็รู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนเลว รอยกระบี่บนร่างข้าไม่ได้ตัดเฉือนถึงกล้ามเนื้อและกระดูก ก่อนหน้านี้ข้าฝึกฝนอยู่เพียงคนเดียว ตอนนี้ข้ามีคนฝึกเป็นเพื่อน ความรู้สึกนี้นับว่าไม่เลว ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคู่หู , เป็นสหาย , อย่าบอกข้านะว่าข้ายังคงไม่คู่ควรเป็นสหายกับเจ้า?”
เล่งหยา “……..”
เมื่อรู้สึกว่าแขนนั้นลดกำลังลงบ้างแล้ว ฉู่จึงเทียนจึงพ่นลมออกด้วยความโล่งใจ สีหน้าอารมณ์ดูคล้ายโดดเดี่ยว “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่านิสัยของเจ้าได้รับผลกระทบมาจากบิดา แต่ว่า….เจ้ายังคงโชคดีกว่าข้า อย่างน้อย ถึงไม่มีบิดาเจ้าก็ยังมีมารดาอยู่ อย่างน้อยเจ้าก็ได้อยู่ร่วมกับมารดามานานกว่า 20 ปี….. ยามที่บิดาเจ้าตาย เจ้ายังสามารถส่งเขาได้….. แล้วข้าล่ะ! ตอนที่ข้ายังเล็กมากๆบิดามารดาข้าก็ตายลงแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าพวกท่านตายยังไง ข้าไม่เคยเห็นหน้าของพวกท่าน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ญาติเพียงคนเดียวของข้าคือท่านปู่…. ข้าอิจฉาเจ้า เจ้าเข้าใจรึเปล่า!?”
เล่งหยา “………”
“แต่ว่า ข้าก็ยังใช้ชีวิตผ่อนคลายมากกว่าเจ้า สบายใจมากกว่าเจ้า ใครทำดีกับข้า-ข้าก็จะทำดีตอบ ใครที่ทำไม่ดีกับข้า-ข้าก็ยังพยายามที่จะทำดีกับผู้นั้นต่อ เพราะว่าข้าไม่มีบิดามารดา ไม่มีครอบครัวที่รักเหมือนอย่างที่คนอื่นเขามี นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงปรารถนาเป็นที่รักใคร่ และข้าให้ความสำคัญกับทุกความรู้สึกที่ดี แม้ว่าเจ้าไม่เหมือนน้องเย่ที่สามารถทำให้ทุกคนชมชอบ แต่เจ้าคือคนที่อยู่กับข้ามานาน เหตุใดเราจึงไม่ใช่สหายกัน สหายสามารถช่วยเหลือกัน , สนับสนุนกัน , เผชิญเภทภัยพิบัติต่างๆร่วมกัน , ยืนหยัดต่อความลำบากด้วยกัน เจ้าไม่ต้องการสหายสักคนอย่างนั้นหรือ?”
เล่งหยากระชากมือออก เขาไม่กล่าวคำใดและเดินกลับไปที่กระท่อมมุงหลังของตนเอง
ฉู่จิงเทียนหลังจากที่ได้กล่าวคำออกไป กลับยังคงเห็นเขาแสดงท่าทางไร้จิตใจ เขาโกรธจนเต้นผาง “เจ้าหน้าน้ำแข็ง เจ้าคนไร้ความเป็นมนุษย์ คอยดูเถอะวันพรุ่งนี้ ข้าจะแทงร่างเจ้าให้เป็นรูพรุน!!”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เล่งหยาก็ได้ฉายาใหม่ว่า “เจ้าหน้าน้ำแข็ง”
……………………….
เมืองเทียนหลง คฤหาสน์ตระกูลเย่
ทงซินอุ้มเย่ฉุ่ยเหยาเดินทางจากตะวันตกมายังตะวันออกทางอากาศ ไม่มีหยุดพักแม้แต่นิด ในที่สุดพวกนางก็บินมาอยู่เหนือท้องฟ้าเมืองเทียนหลง จากนั้นบินลงมาที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ เนื่องจากความเร็วที่สูงล้ำ ผู้คนในเมืองเทียนหลงจึงเห็นเพียงเงาดำพุ่งผ่านไป ไม่อาจมองเห็นสองบุคคลได้ชัดเจน
คนทั้งสองไม่ได้ส่งเสียงใดๆตลอดการเดินทาง เย่ฉุ่ยเหยาไม่เอ่ยถึงความเหน็บหนาว นางกระทั่งไม่พูดจา บางครั้งแววตานางสั่นไหว บางครั้งแววตานางเลื่อนลอย นางปฏิเสธที่จะเชื่อเรื่องนั้น หลังจากนางได้เปิดหัวใจและมอบทุกสิ่งที่นางมีให้แก่เขา เพียงพริบตาเดียวนางและเขากลับต้องแยกจากกัน สัมผัสอารมณ์ที่ริมธารนั้นได้กลายเป็นช่วงเวลาอัศจรรย์ที่สุดในชีวิตของนาง ผ่านเข้ามาว่องไว…..และจากไปอย่างรวดเร็ว
นางร่ำไห้ในจิตใจอยู่หลายครั้ง มันจะต้องไม่ใช่อย่างที่นางคิด จะต้องไม่ใช่….
สถานที่ที่ทงซินเหาะลงมาคือสวนน้อยของเย่ฉุ่ยเหยา เปล่าเปลี่ยวไร้ผู้ใด ไม่มีใครรู้ว่านางกลับมาจากอาณาจักรต้าฟงแล้ว เดิมทีทั้งตัวนางและตระกูลเย่ต่างก็คิดว่านางคงไม่มีวันได้กลับมาที่นี่อีก สวนน้อยแห่งนี้คือที่ๆนางอาศัยอยู่มาตลอดหลายปี มันได้กลายเป็นความทรงจำที่ถูกฝุ่นปกคลุม แต่นางไม่คิดเลยว่า เพียงเวลาไม่กี่วันนางจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง หากแต่หัวใจนางไม่ได้มีความสุขอย่างที่ควรเป็น เวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา ราวกับผ่านไปหลายปี หรือกระทั่งสิบปี หลายสิ่งได้เปลี่ยนไปตามการไหลของเวลา สิ่งต่างๆยังคงเดิม แต่ผู้คนได้เปลี่ยนไป
นางผลักประตูเข้าไปในห้องนอน ในนั้นทุกสิ่งยังคงจัดวางเหมือนแต่ก่อน กลิ่นยังคงคุ้นเคย ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เรียบร้อยและเป็นระเบียบ ไร้เศษฝุ่นผง นางไม่ได้บอกกับบิดามารดาว่านางกลับมาแล้ว ปิดประตูห้องและกอดทงซินไว้แน่นในแขนของนาง “ทงซิน…..ตั้งแต่นี้ต่อไปเจ้าอยู่กับข้า ตกลงนะ? พวกเราจะรอคอยเขากลับมา…..”
ทงซินพยักหน้าเงียบๆ จากกายของเย่ฉุ่ยเหยา นางได้กลิ่นของเขาอันคุ้นเคย และเวลานี้นางได้พบความอบอุ่นสบายแห่งใหม่ พร้อมกับเป้าหมายใหม่ของนาง
ประตูห้องนอนถูกผลักออกเปิดกะทันหัน หวังเวิ่นชูเข้ามาด้วยใบหน้าเป็นกังวล ตั้งแต่วันที่เย่หวูเฉินไปยังอาณาจักรต้าฟง ผู้คนมากมายได้ตามหลังไปอย่างเปล่าประโยชน์ กระทั่งร่างของเขาก็ไม่ได้พบเห็น และยังไม่มีข่าวคราวใดๆของเขาเข้ามา นางรู้สึกไม่สบายใจ ตลอดทั้งวันนางเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเขา มันกลายเป็นกิจวัตรของนางที่จะเข้ามาทำความสะอาดในห้องของลูกสาวในทุกๆวัน และมันได้กลายเป็นสถานที่ที่นางจะสามารถคิดถึงลูกสาวตนเองได้
ในสายตามองเห็นร่างรางๆของเย่ฉุ่ยเหยา ทันใดนั้นนางหยุดยืนจ้องมองโง่งมอยู่ เป็นเวลานานที่นางไม่รู้เนื้อรู้ตัว แวบแรกนางคิดว่าเป็นเพียงภาพลวงตาด้วยคิดถึงลูกสาวมากเกินไป จนกระทั่งเย่ฉุ่ยเหยาเอ่ยปากเรียกออกมาว่า “ท่านแม่” ราวกับนางถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ นางยื่นแขนออกสัมผัสใบหน้าลูกสาวและทั่วร่างกาย ยืนยันว่านี่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของจินตนาการ จากนั้นโดยไม่ถามถึงว่านางกลับมาได้อย่างไร นางกอดลูกสาวไว้แน่นและร้องไห้เสียงดังราวกับเด็ก
มีเพียงต้องประสบกับการพลัดพรากจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ถึงจะรู้ซึ้งว่าความเจ็บปวดสุดแสนนั้นเป็นอย่างไร
หวังเวิ่นชูร้องไห้อยู่นาน จากนั้นนางกระวนกระวายถาม “เหยาเอ๋อร์ เจ้ากลับมาได้อย่างไร? พวกเขาส่งเจ้ากลับมาเพราะมีเรื่องเกิดขึ้นหรือ เจ้าเห็นเฉินเอ๋อร์หรือเปล่า เขาบอกว่าจะไปตามหาเจ้าที่อาณาจักรต้าฟง….”
หนทางไปยังเมืองเทียนฟงนั้นไกลยิ่ง เดินทางตลอดวันคืนยังต้องใช้หลายวัน หวังเวิ่นชูไม่คิดว่าเย่หวูเฉินจะเดินทางไปถึงเมืองเทียนฟง แต่เมื่อนางเห็นทงซินอยู่ข้างเย่ฉุ่ยเหยา นางสะท้านวูบไปชั่วขณะ เพราะตอนที่เย่หวูเฉินจากไป ทงซินไปกับเขาด้วย และตอนนี้นางกลับมาพร้อมกับเย่ฉุ่ยเหยา….
หวังเวิ่นชูไม่อาจสงบใจ นางจับไหล่ของเย่ฉุ่ยเหยาและกระวนกระวายยิ่งขึ้นขณะถาม “เฉินเอ๋อร์อยู่ไหน? เจ้าเห็นเขาใช่มั้ย? เขาได้กลับมาพร้อมกับเจ้าหรือเปล่า?”
เย่ฉุ่ยเหยาเม้มริมฝีปาก เบือนสายตาของนางออก ไม่กล่าวแม้คำเดียว
สีหน้าท่าทางของนางทำให้หวังเวิ่นชูที่ไม่อาจสงบใจได้ยิ่งอาการหนักขึ้น นางจับไหล่ของเย่ฉุ่ยเหยาและบีบแรงขึ้น “พูดบางอย่างสิ เหยาเอ๋อร์ รีบบอกแม่มาเร็วเข้าว่าเกิดอะไรขึ้น เฉินเอ๋อร์พาเจ้ากลับมาใช่รึเปล่า? ตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน บอกแม่มาเร็วเข้า!”
เย่ฉุ่ยเหยา “……..”
“หรือว่า…. หรือว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเฉินเอ๋อร์?” หวังเวิ่นชูพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาความสงบ เสียงนางสั่นเครือด้วยความกลัวขณะถาม
สายตาของเย่ฉุ่ยเหยาวูบไหว นางส่ายศีรษะ “ท่านแม่ ขอข้าพักก่อนได้ไหม?”
“เจ้าต้องบอกแม่ก่อนว่าเกิดเรื่องอะไร….บอกแม่มาเร็ว!”
“อย่าถามข้า ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรเลย!” เย่ฉุ่ยเหยาค่อยๆดันมารดาของนางออกไปทีละก้าว จากนั้นปิดประตูห้องนอน นางพิงอยู่ที่ประตูน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง นางไม่อยากให้ใครเห็นว่านางร้องไห้ แม้แต่แม่ของนางเอง
หวังเวิ่นชูรีบจ้ำเท้าไปเรียกเย่เว่ยกับเย่หนู่ ทั้งกังวลและป่วยใจอย่างหนัก ขณะบอกเรื่องนี้ให้พวกเขา ทั้งสองคนต่างตกใจ ทั้งคู่รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล พวกเขารีบตรงไปหาเย่ฉุ่ยเหยา แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามถามหรือเกลี้ยกล่อมนางเท่าไหร่ เย่ฉุ่ยเหยายังคงเงียบงัน กระทั่งสีหน้าของนางยังว่างเปล่าจนทำผู้คนไม่สบายใจ และในที่สุดพวกเขาก็ออกมาโดยไม่ได้คำตอบใดๆ ทว่าเงาดำมืดได้พาดผ่านในหัวใจของพวกเขา
พวกเขาเริ่มรอ เช่นเดียวกับเย่ฉุ่ยเหยาที่รอคอย
ข่าวเรื่องเย่ฉุ่ยเหยากลับมาตระกูลเย่ไม่ได้ถูกประกาศออกไป เย่ฉุ่ยเหยาไม่เคยก้าวเท้าออกจากประตูดังนั้นคนนอกจึงไม่มีทางรู้ แต่กระนั้นข่าวก็ยังไปถึงหูของหลงหยินอย่างรวดเร็ว เขาพึมพำกับตัวเองเป็นเวลานาน ทว่าเขากลับทำเป็นไม่รู้สิ่งใด รอคอยให้เย่หนู่สมัครใจอธิบายกับเขาด้วยตนเอง แต่แล้วหนึ่งวันผ่านไป , สองวันผ่านไป….. เย่หนู่และเย่เว่ยกลับไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ ระหว่างที่เขาเริ่มหมดความอดทน ข่าวน่าตื่นตะลึงในที่สุดก็แพร่มาถึงอาณาจักรเทียนหลง กระทั่งแพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีปเทียนเฉิน
บุตรชายตระกูลเย่แห่งอาณาจักรเทียนหลง เย่หวูเฉิน ด้วยพี่สาวถูกบังคับให้แต่งงานกับรัชทายาทแห่งต้าฟง เขาเดินทางพันลี้ไปยังอาณาจักรต้าฟง บุกรุกเข้าไปในราชวัง ขัดขวางงานสมรสครั้งใหญ่ของรัชทายาท ชิงตัวพี่สาวของเขากลับมา ราชตระกูลแห่งต้าฟงโกรธเกรี้ยว ในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้ง เย่หวูเฉินได้ทำร้ายรัชทายาทฟง องค์หญิงคนโตได้ตกตายด้วยน้ำมือของเย่หวูเฉิน และเทพปกปักษ์แห่งอาณาจักรต้าฟง – เทพสงครามฟงเฉาหยางต่อสู่กับเขาตัวต่อตัวและเคราะห์ร้ายถูกกระบี่ของเย่หวูเฉินผ่าร่างออกเป็นสองเสี่ยง – หลังจากเหนื่อยล้าจากการต่อสู้กับเทพสงคราม เย่หวูเฉินสังหารสามอาวุโสแห่งต้าฟงตามต่อเนื่อง รวมทั้งสังหารราชองครักษ์ที่แกร่งกล้าไปมากมาย จากนั้นหลบหนีออกจากราชวัง….. อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น จักรพรรดิแห่งต้าฟงไม่ลังเลที่จะเคลื่อนทัพทหารประจำเมืองหลายหมื่น และกองทหารม้าเกราะอีกหลายพัน แทบจะใช้กำลังรบทั้งหมดในเมืองเทียนฟงในการจับตัวเขา เย่หวูเฉินถือกระบี่ที่ลุกท่วมด้วยเปลวไฟ อาบโลหิตสังหารผู้คนไปนับหมื่นคน….. ในที่สุดร่างกายของเขาก็เหนื่อยล้าหมดสิ้นพลัง ราวตะเกียงไฟที่เหือดแห้งไร้น้ำมัน ถูกกดดันจนประชิดติดขอบหุบเหวปลิดวิญญาณ สุดท้ายเขากระโดดลงไปในหุบเหว
และไม่ว่าเขาจะต่อสู้กับเทพสงครามหรือกองทัพนับหมื่น เขาจะใช้เพียงแขนแค่ข้างเดียว แขนอีกข้างของเขาใช้กอดกระชับมั่นสาวน้อยผมขาว เขาอาบชะโลมโลหิตด้วยบาดแผลมากมาย แต่สาวน้อยคนนั้นไม่บาดเจ็บแม้แต่เพียงเล็กน้อย เหตุการณ์นั้นมีผู้คนเป็นพยานมากมาย ทั้งในราชวังและเหล่าทหารนับไม่ถ้วน ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์มีมากเกินจะนับ ข่าวนี้ย่อมไม่อาจปกปิดไว้ได้ นั่นคือเหตุผลว่าตั้งแต่ในคืนนั้น ข่าวทุกรายละเอียดได้แพร่กระจายไปทั่วด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
ข่าวดุจตำนานดั่งสายฟ้าฟาดสนั่นไปทั่วสวรรค์และปฐพี สะเทือนไปทั่วทั้งทวีปเทียนเฉินให้สั่นไหวไม่หยุดหย่อน เพียงในชั่วเวลาไม่กี่วัน ทุกคนก็ได้รู้จักนามของเย่หวูเฉิน ชายหนุ่มผู้มีอายุ 17 ปี สร้างเรื่องขับขานโดยการสังหาร “เทพ” ในตำนาน ผู้คนจำนวนมากไม่อาจทำใจเชื่อและไม่อาจสงบเสียงลง อาณาจักรต้าฟงแตกตื่นอย่างหนัก , อาณาจักรคุยชุยและชางหลานสั่นสะเทือน , อาณาจักรเทียนหลงแทบเดือดพล่านดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน ทุกแห่งหนถกกันแต่เรื่องของเย่หวูเฉิน ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นที่รู้จักกันทั่วเมืองเทียนหลงในพรสวรรค์อันอัศจรรย์ ตอนนี้ข้อมูลของเขาแพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีปเทียนเฉิน ราวกับเขาเป็นเทพแท้จริงที่จุติลงมายังผืนโลก