42. ราคาสำหรับเติมเต็มความปรารถนา (1)
* * *
สองวันก่อน, เกาหลี
ย่านหอพักของนักเรียนปีหนึ่งโรงเรียนแสงเงิน
หงืด…!
ฮันอีลืมตาขึ้นหลังจากสัมผัสถึงแรงสั่นตรงข้อมือ
ฮันอี ผู้พิการทางโสตประสาทระดับ 2 ที่สูญเสียการได้ยินโดยสมบูรณ์ อาศัยการแจ้งเตือนด้วยดีไวซ์แบบสั่นจากข้อมือ
เมื่อยืนยันว่าถึงเวลาต้องตื่น หญิงสาวถอนหายใจแล้วลุกจากเตียง
…ฝันแบบนี้อีกแล้ว
หลังจากเข้าเรียนที่โรงเรียนแสงเงิน หรือระบุให้ชัดกว่านั้นคือ หลังจากได้เจอกับฮัมกึนยอง โชอึยชิน วังจีโฮ และคิมยูรีในวันแรกของการเปิดภาคเรียน
ฮันอีต้องทุกข์ทรมานจากความฝันปริศนา
ในความฝัน บุคคลผู้คาดผ้าปิดตา คอยจ้องมองเธออย่างเงียบงัน
‘ถึงจะคาดตาอยู่ แต่อีกฝ่ายมองมาทางเราแน่นอน’
บุคคลคาดผ้าปิดตากล่าวบางสิ่งกับฮันอี
แต่ริมฝีปากอีกฝ่ายสั่นจนอ่านปากไม่ได้
‘ขบคิดไปก็ไม่ได้คำตอบกลับมา’
ฮันอีสูดลมหายใจยาว สลัดความคิดฟุ้งซ่านแล้วยืดเส้นยืดสาย
วันนี้เป็นวันที่เพื่อนร่วมชั้น นัดกันมาทำงานอาสาที่สถานรับเลี้ยงเด็กประกายแสงเงิน เธอจะทำตัวเฉื่อยชาไม่ได้
เป็นการนัดหมายที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ
ระหว่างที่กินข้าวกับควอนเลนาในโรงอาหารหอในเมื่อวาน อยู่ดีๆ ประเด็นนี้ก็ถูกหยิบขึ้นมาพูด
“ฉันอยากสะสางทุกอย่างให้เสร็จล่วงหน้า เพื่อไม่ให้มีอะไรมารบกวนการเรียนไวโอลินในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนได้!”
ควอนเลนาที่เคยดิ้นรนแบ่งเวลาเรียนไวโอลินกับการอ่านหนังสือสอบปลายภาค กล่าวด้วยน้ำเสียงอิดโรย
เธอครุ่นคิดหน้าเครียด พลางฉายโฮโลแกรม ‘ตารางเรียน’ ที่มีสติกเกอร์ไวโอลินติดไว้จนเต็ม
ฮันอีช่วยควอนเลนาจัดตารางเรียนอีกแรง พลางระลึกถึงคำแนะนำที่กงชองวอนมอบให้ก่อนจะเข้าโรงเรียนแสงเงิน
ควอนเลนาชะงักเมื่อเห็นรายการหนึ่งบนตารางเรียน
—ชั่วโมงทำกิจกรรมอาสาสมัคร (ไม่บังคับ) —
ถึงจะบอกว่าไม่บังคับ แต่นักเรียนเกาหลีทุกคนต้องเก็บชั่วโมงทำกิจกรรมอาสาสมัคร เพื่อให้ได้รับคะแนนจิตพิสัยจากโรงเรียน
“ยี่สิบชั่วโมงต่อปี… เยอะจัง ทำวันละสี่ชั่วโมงก็ยังต้องใช้ตั้งห้าวัน แต่ก็ต้องรีบจัดการให้เสร็จล่วงหน้าล่ะนะ! ฮันอี เธอเก็บชั่วโมงอาสาที่ไหนหรือ”
“สถานรับเลี้ยงเด็กที่ฉันโตมา”
ฮันอีทำกิจกรรมอาสาของปีนี้จนครบชั่วโมงแล้ว เพราะเธอจะแวะไปช่วยงานทุกครั้งที่ว่าง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอาสาช่วยในช่วงปิดภาคเรียน
ในพักหลัง จำนวนอาสาสมัครลดลงมาก เนื่องจากตัวแทนอพาตเมนต์ในละแวกใกล้เคียงได้จ้างวานบริษัทรับจ้างทั่วไป ให้ส่งคนมาโวยวายเรื่องที่มูลค่าที่ดินลดลง ฮันอีจึงเพิ่มชั่วโมงการทำงานในสถานรับเลี้ยงเด็กให้มากขึ้น
“จริงด้วย ฮันอีคอยช่วยงานสถานรับเลี้ยงเด็กทุกสุดสัปดาห์เลยนี่นะ… ฉันไปด้วยได้ไหม”
ฮันอีลังเลเล็กน้อย
การมีอาสาสมัครเพิ่มถือเป็นเรื่องดี แม้จะแค่คนเดียวก็ตาม แต่เธอกังวลว่าลูกจ้างของบริษัทรับจ้างทั่วไปจะคอยตามรังควาน
‘…จะให้เพื่อนเข้ามาพัวพันไม่ได้’
ฮันอีตัดสินใจเล่าความจริง เพราะคิดว่าการปิดบังอาจทำให้ควอนเลนาเดือดร้อนภายหลัง
เธอเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับสถานรับเลี้ยงเด็กประกายแสงเงิน โดยไม่หมกเม็ดแม้แต่เรื่องเดียว
“ทำกันเกินไปแล้ว… ช่วงหลังก็เลยไม่มีใครกล้ามาทำงานอาสาเพราะพวกมัน?”
“…อื้อ”
“เข้าใจแล้ว ฉันจะไปเอง!”
แต่หลังจากได้ฟังเรื่องราวจากฮันอี ดูเหมือนควอนเลนาจะยิ่งอยากไป
“ไม่เป็นไรหรอกน่า! พวกเราเป็นเพลเยอร์ จุดประสงค์ของสมาคมเพลเยอร์ครอบคลุมถึงการ ‘ปกป้องเพลเยอร์’ ด้วยไม่ใช่หรือ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉันหรือฮันอี แค่แจ้งสมาคมก็สิ้นเรื่อง!”
“แต่ถ้าเกิดเรื่องก่อนที่เราจะได้แจ้ง…”
“ถ้าอย่างนั้นก็ชวนเพื่อนร่วมชั้นมาทำให้หมดทุกคน! ยังไงก็ต้องเก็บชั่วโมงทำกิจกรรมอาสาสมัครกันอยู่แล้ว!”
ไม่แน่ใจว่าได้รับอิทธิพลมาจากคิมยูรี ที่เริ่มสนิทกันมาตั้งแต่ช่วงต้นปีหรือไม่ แต่พฤติกรรมของควอนเลนามิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เธอรีบสอบถามตารางงานของเด็กห้อง 1/0 ทุกคน
โชอึยชินกับวังจีโฮไปทัศนศึกษาที่จีน
คิมยูรียังคงพักอยู่ที่วอร์ดคนไข้พิเศษในโรงพยาบาลวังมยอง
ซงแดซอกหายต๋อมหลังจากถูกสมาคมพาตัวไป แม้แต่มินกือรินก็ไม่ได้เจอหน้า
เม็งเฮียวทงตัดขาดการเชื่อมต่อด้วยข้อความทิ้งท้ายที่เป็นปริศนาว่า ‘กำลังขึ้นเขาพร้อมกับท่านผู้บำเพ็ญและเบ๊ขนมปัง’
“หืม… ขึ้นเขาไปทำอะไรกันนะ”
“…ถ้าอีกสักพักยังติดต่อเฮียวทงไม่ได้ เราควรแจ้งให้สมาคมทราบไหม”
“คุณปู่นักบำเพ็ญก็เป็นครูเหมือนกัน เฮียวทงไม่เป็นไรหรอก แถมยังมีบังยุนซบไปด้วย… จริงสิ กือรินมากับเราได้”
ในกรณีของมินกือริน เธอบอกว่ายินดีไปทุกที่ ขอแค่คนน้อยและมีเพื่อนร่วมชั้นอยู่ด้วย
เมื่อไม่นานมานี้ มินกือรินประสบความสำเร็จในการพูดคุยกับชมรมศิลปะโดยไม่ต้องสวมแว่น AR แล้ว ช่วยให้เผชิญหน้ากับผู้คนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
‘จะไม่เป็นอะไรใช่ไหมถ้าให้เพื่อนร่วมชั้นมาช่วยงาน’
แม้ฮันอีจะกังวล แต่ทุกคนได้ยืนยันการตัดสินใจของตัวเองแล้ว
ฮันอี ควอนเลนา ซาวอลเซอึม มินกือริน
ฮันอีออกจากหอพัก พลางทวนซ้ำเวลาที่นัดหมายกับเพื่อนร่วมชั้นทั้งสาม
‘ขอให้งานอาสาสมัครผ่านไปอย่างราบรื่น…’
หน้าสถานรับเลี้ยงเด็กประกายแสงเงินที่นัดกับเพื่อนคนอื่นไว้
ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานัด แต่ซาวอลเซอึมมารออยู่แล้ว
“สวัสดี!”
“สวัสดี มาเช้าจัง”
“อื้อ! พอดีอยู่บ้านไม่มีอะไรทำน่ะ แล้วฉันก็อยากรีบออกมาเพื่อให้คุณอาได้อยู่กับอาสะใภ้สองต่อสอง”
คุณอากับอาสะใภ้?
เธอไม่เข้าใจความหมาย แต่ฮันอีผู้ยึดมั่นหลักการ ‘คนเราไม่ควรละลาบละล้วงเรื่องครอบครัวชาวบ้าน’ พยักหน้ารับโดยไม่ถามต่อ
“อื้อ ขอบคุณที่มาช่วยงานนะ”
“ยังไงก็ต้องทำงานอาสาสมัครให้ครบเวลาอยู่แล้ว! ยิ่งได้ทำกับเพื่อนยิ่งมีความสุข จริงสิ… ฉันแวะร้าน MITRON ก่อนจะมา เธอได้ลองไอศกรีมรสใหม่หรือยัง”
“ยังเลย ไว้เสร็จแล้วไปกินกัน”
“อื้อ! ฉันอยากไปกับเลนาและกือรินด้วย!”
ขณะทั้งสองคุยกันเกี่ยวกับของหวาน เวลาเดินไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านมาแล้วสิบนาทีหลังจากเวลานัดหมาย
ทั้งสองที่ใช้เวลาว่างเพื่อทบทวนกฎพื้นฐานของหมากรุก ต่างมองหน้ากันแล้วเอียงคอ
“เลนากับกือรินมาสาย… แปลก ถึงจะมาสาย แต่ปกติแล้วพวกเธอต้องแจ้งล่วงหน้า…”
แค่สองคนนี้มาสายก็แปลกมากแล้ว นี่ยังสายแบบไม่บอกกล่าว
ทั้งสองพยายามส่งข้อความเข้าดีไวซ์ แต่ก็ไม่ถูกอ่าน และไม่มีคนรับสาย
จากนั้นก็ลองติดต่อทางโรงเรียนทางดู เผื่อว่ากิจกรรมชมรมจะเลิกช้า แต่ก็ได้รับแจ้งว่าทั้งสองกลับไปแล้ว
ลงเอยด้วย ฮันอีกับซาวอลเซอึมตัดสินใจออกตามหาด้วยตัวเอง
“ซอยแถวนี้ค่อนข้างซับซ้อน อาจหลงทางได้ถ้าเพิ่งเคยมา ออกไปตามหากันเถอะ”
“อื้อ! พอดีว่าฉันใช้สกิลบินตรงมาเลยน่ะ”
สถานรับเลี้ยงเด็กประกายแสงเงินตั้งอยู่ในย่านชุมชนแออัดที่ยังเคยถูกพัฒนา และอยู่ค่อนข้างไกลจากย่านตัวเมืองของเขตอึนกวาง
ไม่เพียงเส้นทางจะซับซ้อน แต่ยังเต็มไปด้วยตรอกซอกซอย ซาวอลเซอึมจึงคอยค้นหาด้วยสกิลบิน ส่วนฮันอีคอยตรวจสอบตำแหน่งผ่านดีไวซ์
ไม่นานซาวอลเซอึมก็ร่อนลงมาด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ท…ทางนั้น! เลนากับกือรินอยู่ทางนั้น!”
“เกิดอะไรขึ้น”
“พวกเธอถูกกลุ่มคนแปลกๆ ล้อมไว้!”
ซาวอลเซอึมเริ่มวิ่งด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
โดยมีฮันอีวิ่งตามหลัง ไม่นานทั้งสองก็ได้เจอควอนเลนาและมินกือริน
สองคนหลังถูกชายฉกรรจ์สิบกว่าคนโดยประมาณยืนล้อมกรอบ
คนพวกนี้อาจไม่ได้ดูน่ากลัวเท่าฮัมกึนยอง แต่ก็ไม่มีใครหน้าตาเป็นมิตร
ฮันอีรู้จักพวกมันดี
‘พวกกุ๊ยแถวสถานรับเลี้ยงเด็ก!’
เป็นคนของบริษัทรับจ้างทั่วไป ที่ถูกส่งมาข่มขู่อาสาสมัครที่เดินทางมายังสถานรับเลี้ยงเด็ก
ถึงจะบอกว่าเป็นคนของบริษัทรับจ้าง แต่พวกมันใกล้เคียงกับอันธพาลมากกว่า มีเส้นสายกับคนใหญ่คนโตในพื้นที่ จะเรียกว่าเป็นแก๊งลูกกระจ๊อกมาเฟียก็ไม่ผิด
ไม่ว่าจะแจ้งตำรวจไปกี่รอบก็ไม่เคยคืบหน้า เพราะพวกมันช่ำชองมาก
คดีข่มขู่ส่วนใหญ่จะไม่ถูกลงโทษ และหากครั้งใดข่มขู่ล้ำเส้น พวกมันจะโดยไม่ทิ้งหลักฐาน หรือทำตอนที่เยื่อไม่สามารถบันทึกภาพและเสียงได้โuเวลกูดฺอทคอม
“อย่าเข้ามาใกล้นะ!”
ควอนเลนาคอยโอบมินกือรินไว้ในอ้อมแขน ส่วนมืออีกข้างถือแส้
แม้จะเป็นเพลเยอร์ แต่ทั้งสองยังเป็นแค่เด็กปีหนึ่งที่แทบไม่เคยมีประสบการณ์จริง
มินกือรินเกิดแพนิก (Panic) เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าที่คิดร้ายจำนวนมาก แม้ควอนเลนาจะรับมืออย่างใจเย็น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการชายฉกรรจ์สิบคนโดยต้องปกป้องมินกือรินไปพร้อมกัน
เหนือสิ่งอื่นใด ทั้งคู่สูงกว่า 1.5 เมตรแค่เล็กน้อย แถมยังตัวเล็ก กลุ่มผู้ชายสิบกว่าคนจึงได้ใจ
“ออกห่างจากสองคนนั้นเดี๋ยวนี้นะ!”
“เซอึม…!”
ซาวอลเซอึมย้ายมายืนอยู่หน้าทั้งคู่ด้วยสกิลบิน
เมื่อเรียกใช้ศาสตร์แห่งลม สายลมสีอ่อนเริ่มพัดกระพือจากร่างเขา
“ชิ… นังเพลเยอร์พวกนี้มีเพื่อนมาด้วย”
“หมอนี่ก็เพลเยอร์เหมือนกัน ส่วนพี่สาวผมสั้นตรงนั้นก็ดูไม่ธรรมดา”
มีเสียงคิกคักดังปะปนเข้ามา
‘อีกฝ่ายก็มีเพลเยอร์…’
ขณะฮันอีครุ่นคิดในท่าตั้งการ์ดมวยพยัคฆ์ ใครบางคนเริ่มกระซิบกระซาบเกี่ยวกับเธอที่อยู่ห่างจากกลุ่มเพื่อน
แต่เนื่องจากอยู่ไกลเกินไป ซาวอลเซอึม ควอนเลนา และมินกือรินจึงไม่ได้ยินเสียงพูด ส่วนฮันอีก็มองไม่เห็นปาก เพราะพวกมันแอบกระซิบคุยกัน
ลงเอยด้วย
ชายคนหนึ่งลอบโจมตีฮันอีทีเผลอ และเธอตอบสนองกลับไปตามความเคยชิน
เพื่อปกป้องตัวเอง ฮันอีใช้กำปั้นชกใส่มือของชายที่ถือไม้กระบองบุกเข้ามา
แต่ทันใดนั้น
แชะ!
วี๊!
เสียงชัตเตอร์กล้องถ่ายรูป และเสียงเตือนการบันทึกวิดีโอดังขึ้น
ใครบางคนเพิ่งบันทึกสถานการณ์เมื่อครู่ลงไป
แถมยังจังหวะเหมาะเจาะ ถ่ายไว้ได้แค่รูปที่ฮันอีเป็นฝ่ายซัดเข้าเต็มข้อ
“คุณผู้หญิงผมสั้นจากสถานรับเลี้ยงเด็กคนนั้นน่ะ… ไม่รู้หรือไงว่าถ้าเพลเยอร์โจมตีใส่คนธรรมดาจะได้รับโทษแบบไหน”
เด็กปีหนึ่งทั้งสี่คนอาจยังไม่ได้เรียนวิชากฎหมายพิเศษของเพลเยอร์ แต่สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินประโยคล่าสุด
หากเพลเยอร์เป็นฝ่ายโจมตีคนธรรมดา เขาหรือเธอจะถูกลงโทษตามกฎหมายปัจจุบันของสมาคม
มีหลายคนพยายามข่มขู่และแบล็กเมล์ด้วยกฎนี้ เพลเยอร์จึงต้องพกอุปกรณ์บันทึกภาพเอาไว้ตลอดเวลา
แต่ในหมู่เด็กห้องศูนย์สี่คน ไม่มีใครเลยที่เปิดอุปกรณ์บันทึกภาพ และในซอยนี้ก็ไม่มีกล้อง CCTV
‘เราน่าจะเปิดโหมดบันทึกในตอนที่ตามมาช่วยทัน…!’
ด้วยความรีบร้อน จึงไม่มีใครเลย ไม่เว้นแม้แต่ฮันอี ที่คิดถึงการเปิดโหมดบันทึก
ทั้งสี่กำลังเครียดเนื่องจากคิดหาวิธีตอบโต้ไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เจ็บใจที่เป็นฝ่ายตกหลุมพรางลูกไม้สกปรก
เมื่อเทียบกับเด็กปีหนึ่งที่แทบไม่มีประสบการณ์ชีวิต คนของบริษัทรับจ้างทั่วไปดูจะช่ำชองการทำเรื่องชั่วช้าเป็นพิเศษ
“นั่นเพราะนายเป็นฝ่ายโจมตีก่อน…!”
“ที่นี่มีพยานเยอะแยะ และนี่คือหลักฐานที่ดิ้นไม่หลุด”
ชายคนหนึ่งชิงตัดบทโดยไม่ปล่อยให้ควอนเลนาพูดจบ
บุคคลที่น่าจะเป็นหัวโจกของกลุ่ม ฉายโฮโลแกรมวิดีโอต่อหน้าทุกคน
เป็นภาพเคลื่อนไหวขณะฮันอีชกชายคนหนึ่งจนกระเด็น
ฮันอีหน้าซีดเป็นไก่ต้ม
ในการต่อสู้ระหว่างเพลเยอร์กับคนธรรมดา กระแสสังคมและกฎหมายมักเข้าข้างคนธรรมดาก่อนเสมอ
เกาหลีเป็นประเทศประชาธิปไตย และอำนาจของ ‘เสียงข้างมาก’ หรือ 85% ของประชากรทั้งหมด ถือว่ายิ่งใหญ่มาก
“คุณผู้หญิงผมสั้นตรงนั้นน่ะ… ฮันอีจากสถานรับเลี้ยงเด็กใช่ไหม ช่วยมากับเราหน่อยสิ”
“คิดจะทำอะไรกับฮันอีน่ะ! เธออย่าไปนะ!”
“แจ้งตำรวจไปตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว ทำไมยังมาไม่ถึงสักที…!”
น้ำเสียงแฝงความกระวนกระวายของซาวอลเซอึมกับควอนเลนาดังแว่ว
ขณะฮันอียืนตัวแข็งทื่อโดยไม่รู้ว่าควรแก้ไขสถานการณ์อย่างไร
“ไอ้พวกลูกหมาหน้าไหนบังอาจมาสร้างความวุ่นวายในถิ่นของฉัน!”
บนกำแพงที่ล้อมกรอบทางเดินเปิดโล่งแคบๆ
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวพร้อมกับไม้เบสบอลดตอกตะปู
ไม่มีใครเห็นหน้าเธอ เพราะทั้งสวมฮู้ดคลุมและมีหน้ากากอนามัยปิดครึ่งล่าง
เด็กผู้หญิงที่อำพรางใบหน้าตัวเองมิดชิด กล่าวด้วยเสียงสังเคราะห์เข้มข้นซึ่งไม่เข้ากับใบหน้า ราวกับพกพาเครื่องแปลงเสียงเอาไว้ในเสื้อผ้า
“อ้อ… ไอ้สวะพวกนี้อีกแล้ว คราวก่อนถูกกระทืบจนสมองบวมไปแล้วหรือไง!”
เมื่อเห็นเด็กผู้หญิงที่ส่งเสียงโหวกเหวก กลุ่มชายฉกรรจ์ของบริษัทรับจ้างทั่วไปรีบสบถออกมาทันที
“นังบ้าเจ้าถิ่นนี่หว่า!”
“…ถอย!”
กลุ่มชายฉกรรจ์ที่เป็นฝ่ายคุกคามเหยื่อจนถึงเมื่อครู่ ลนลานหนีไปด้วยความแตกตื่น
ถึงจะเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนเดียว แต่พฤติกรรมของเธอก็บ้าบิ่นสมกับฉายา ‘นังบ้าเจ้าถิ่น’ เป็นอย่างดี
ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับอันธพาล เธอจะประกาศเป้าหมายที่น่าขนลุกขนพองอย่าง ‘จะทุบให้จมูกยุบเข้าไปเลย’ หรือ ‘จะทุบเล็บให้แหลกเลย’ และทำตามได้แทบจะทั้งหมด
จริงอยู่ ถ้าอาศัยจำนวนเข้าว่า ก็คงมีโอกาสจัดการเธอได้ แต่ชายฉกรรจ์เหล่านี้ไม่คิดจะเสี่ยงชีวิตเพียงเพื่อจับนังบ้าที่อยู่นอกเหนือภารกิจ
พวกมันวิ่งหนีเตลิดไปตามตรอกซอกซอยอันซับซ้อน ส่วนเด็กผู้หญิงคนดังกล่าวล็อกเป้าหัวโจกแล้วเริ่มการไล่ล่า
“คิดจะหนีไปไหน! ไอ้ลูกหมากระจอก! วันนี้ฉันจะทุบกบาลแกให้แยกเลย!”
ผู้ชายสิบกว่าคนและเด็กผู้หญิงหนึ่งคน อันตรธานไปในพริบตา
ณ จุดห่างไกล เกิดเสียงคล้ายผลแตงโมแตกดังโผละ แต่เด็กห้อง 1/0 ทั้งสี่คนไม่ได้ยินเนื่องจากจิตใจกำลังห่อเหี่ยว
แม้จะรอดพ้นจากอันตรายมาได้ แต่สีหน้าทุกคนยังไม่ดีขึ้น
เพราะพวกเขารู้ดี ว่าวิดีโอของฮันอียังอยู่ในมือพวกมัน
* * *
[ซาวอลเซอึม] พอเลนากับกือรินถามทางไปสถานรับเลี้ยงเด็ก พวกมันก็ไปตามคนมาเพิ่มแล้วล้อมข่มขู่ทันที!
[ซาวอลเซอึม] ฮันอีกับฉันตามมาเจอทีหลัง และฮันอีถูกโจมตี…
[ซาวอลเซอึม] ถึงการกระทำของฮันอีจะถูกถ่ายไว้ แต่เธอไม่ได้ทำอะไรผิด!
ซาวอลเซอึมยังคงตกใจและเสียขวัญ แต่ก็พยายามอธิบายอย่างสุดความสามารถ
เป็นจังหวะการพูดที่ร้อนรนต่างไปจากทุกที แต่ฉันพยายามเพ่งสมาธิเพื่อจับประเด็นสำคัญ
‘ตำรวจที่ไม่ยอมมาดูหลังจากได้รับแจ้งเหตุ, ย่านชุมชนแออัดที่ยังไม่ถูกพัฒนาและไม่มีอุปกรณ์บันทึกภาพ, บริษัทรับจ้างทั่วไปที่เพ่งเล็งฮันอีกับสถานรับเลี้ยงเด็ก และแก๊งอันธพาลที่มีเพลเยอร์ระดับสูงมากกว่าหนึ่งคน…’
ฉันพอจะเห็นภาพรวมคร่าวๆ แล้ว
…ที่จริงก็สนใจเด็กผู้หญิงเจ้าถิ่นที่โผล่ออกมาเตะก้นพวกมันอยู่หรอก แต่เรื่องนั้นคงต้องเอาไว้ทีหลัง
ฉันออกจากห้องพักตัวเอง แล้วเดิมดุ่มเข้าไปในห้องวังจีโฮ
วังจีโฮที่สัมผัสถึงการมาเยือน เป็นฝ่ายพูดว่า ‘เข้ามาได้’ โดยที่ฉันไม่ต้องเคาะประตู
หลังจากนั้นก็เข้าประเด็นทันที
“นี่”
“เกิดอะไรขึ้น? ได้ข้อสรุปทางความคิดแล้วหรือ”
ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าฉันปลีกตัวเข้าห้องนอนเพื่อใช้ความคิด
นี่ไม่ใช่เวลามัวพิรี้พิไร
“ฉันจะกลับเกาหลีเดี๋ยวนี้”