“คุณจะโกรธมาก เพราะเห็นได้ชัดว่าเลือกตัวเลือกที่ถูกต้องแล้ว แต่ก็ยังเก็บเงินไม่ได้ ซึ่งตัวเอกคนจนในเกมก็รู้สึกไม่ต่างจากคุณ
“ที่เสียดสียิ่งกว่านั้นคือตัวเอกคนรวยไม่เคยใช้แบรนด์ luxury เป็นเพราะเขามีวินัยในตัวเองมากกว่ารึเปล่า ก็บอกเลยว่าไม่ใช่
“ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะเขาเป็นลูกชายประธานบริษัท luxury มีสนามแข่งม้าส่วนตัว ถ้าไม่ใช้แล้วจะเป็นอะไรไป ไม่มีใครกังขาแน่นอนว่าเขามีปัญญาซื้อรึเปล่า ถ้าใช้ก็ถือเป็นเรื่องปกติและเป็นการสนับสนุนแบรนด์ครอบครัว แต่ถ้าไม่ใช้ คนก็จะมองว่าเขาเป็นคนเรียบง่าย
“กฎเกณฑ์ที่ฉุดรั้งคนจนไม่เคยเกิดขึ้นกับคนรวย เพราะไม่ว่าคนรวยเลือกอะไร ก็จะกลายเป็นผลประโยชน์กับตัวหมดเพราะผลจากบุญบารมีที่มี
“ถ้าคิดให้ลึกลงไปอีกนิด ถึงตัวเอกคนรวยจะไม่ใช้แบรนด์ luxury แต่ก็อาศัยแบรนด์นี้กอบโกยผลประโยชน์จากคนจนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คนรวยกำลังสนับสนุนวัฒนธรรมบริโภคนิยมและยึดติดกับคุณภาพของสินค้าฟุ่มเฟือย ทำให้คิดว่าถ้าใช้ของแบรนด์ luxury ก็จะมีชีวิตแบบพวกคนรวยได้ ทั้งกลุ่มจึงเห็นพ้องต้องกันว่าต้องปฏิเสธคนจนที่ไม่มีปัญญาซื้อของแบรนด์ luxury กลายเป็นกรงขังคนจนและเกิดเป็นกฎที่ไม่สามารถฝ่าฝืนได้ ซึ่งไม่ว่าจะเลือกยังไงคนรวยก็ชนะอยู่ดี
“ก็เหมือนการทอยลูกเต๋า คนจนต้องวัดดวงเอา ส่วนคนรวยได้ผลประโยชน์หมดไม่ว่าลูกเต๋าจะออกหน้าไหน
“[6] เกมมีแค่สองชนชั้นจริงๆ เหรอ
“เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ใช่
“ผมเชื่อว่าหลายคนพยายามเต็มที่ในการหาความเชื่อมโยงระหว่างตัวเอกคนรวยกับตัวเอกคนจน อาจจะถึงขั้นคิดกันว่าตัวเอกคนรวยถูกตัวเอกคนจนหรือลูกของเขาฆ่า
“แต่เกมก็ปฏิเสธเรื่องนี้เต็มที่ คุณไม่สามารถหาความเชื่อมโยงระหว่างตัวเอกคนรวยกับตัวเอกคนจนได้
“ทำไมล่ะ ก็เพราะนี่ไม่ใช่การวนลูปแบบปิดสมบูรณ์
“ในเกมยังมีชนชั้นที่สาม ซึ่งก็คือ ‘คนไร้บ้าน’ อยู่ คุณจะพบว่ามันมีความเชื่อมโยงในการวนลูปแบบปิดทั้งหมด และพบอยู่ทั่วทุกที่ตลอดทั้งเกม
“ในตอนเริ่มกับตอนจบของเวอร์ชันคนรวย คนที่ปล้นจี้แม่ของตัวเอกและฆ่าตัวเอกคือคนไร้บ้าน
“ในตอนเริ่มกับตอนจบของเวอร์ชันคนจน พ่อของตัวเอกตรากตรำทำงานเพื่อกันไม่ให้ตัวเอกกลายเป็นคนไร้บ้าน ตัวเอกจึงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของพ่อ ตัวเอกดิ้นรนตลอดทั้งชีวิตและกล่อมให้ลูกชายพยายามเต็มที่เพื่อที่ตัวเอกกับลูกจะได้ไม่กลายเป็นคนไร้บ้าน
“ก็เหมือนการเปรียบเปรยที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีแค่คนจนที่ดิ้นรนในตม แต่คนไร้บ้านนั้นถูกกลืนกินไปอยู่ใต้โคลนตมแล้ว
“คนจนบอกเราตั้งแต่ตอนเริ่มเกมว่ากลุ่มคนที่อยู่ลึกสุดในตมเป็นพวกเรียนไม่จบการโรงเรียนผลิตเด็กว่างงาน นักโทษในคุก ขอทาน พวกป่วยจิตตามรถไฟฟ้า และคนจรจัดที่ต้องนอนข้างถนนไปตลอดชีวิต
“เมื่อไหร่ที่คนจนยอมแพ้ พวกเขาจะกลายเป็นคนไร้บ้าน เพราะงั้นจึงต้องดิ้นรนในตมนี้ ถึงแม้จะตะกายออกมาไม่ได้แม้ดิ้นรนขนาดไหน แต่ถ้าไม่ทำก็จะจมหายลงไป
“ยิ่งยอมแพ้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งจมลงเร็วเท่านั้น
“แล้วทำไมตัวเอกถึงบอกแบบนั้นกับลูก เขาไม่รู้เหรอว่าตัวเองโดนพ่อหลอกมาตลอดชีวิต
“บางทีเขาอาจะคิดว่าลูกอาจแตกต่างออกไป ก็เลยต้องโกหกไปแบบนั้น
“เพราะถ้าเขาบอกลูกว่าดิ้นรนไปก็ไม่มีประโยชน์ ลูกของเขาก็จะจมลึกลงไปและกลายเป็นพวกคนไร้บ้าน ตัวเอกรู้ดีว่าชีวิตของคนพวกนั้นน่าเวทนาขนาดไหน
“ดังนั้นตัวเอกคนจนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบอกให้ลูกดิ้นรน ถ้ามองที่ผลลัพธ์ การต่อสู้แบบนี้นั้นไร้ความหมาย เพราะไม่มีทางพาตัวเองขึ้นไปอยู่บนหมู่เมฆได้ แต่ถ้ามองจากใต้ตมจะรู้ว่ามันมีความหมาย เพราะอย่างน้อยก็ช่วยไม่ให้จมลงไป
“แล้วคนรวยล่ะ
“ตัวเอกคนรวยเกือบไม่ได้เกิด แต่ก็ยังไม่เชื่อสิ่งที่พ่อพูด เขามีเพื่อนคนจน จึงพยายามเต็มที่เพื่อเขียนหนังสือช่วยคนจนเปลี่ยนแปลงโชคชะตา
“แต่เขาไม่ได้ตระหนักว่าคนที่ปล้นจี้แม่ตัวเองเป็นพวกไร้บ้าน คนที่ฆ่าเขาก็ไม่ใช่คนจนแต่เป็นคนไร้บ้าน ถึงจะมีเพื่อนคนจนสมัยเรียน แต่เขาก็ไม่เคยชายตามองขอทานตามรถไฟฟ้า
“ดังนั้นเขาจึงคิดว่าคนรวยกับคนจนเป็นเพื่อนกันได้ ซึ่งก็ถูก แต่เขาไม่ได้ตระหนักหรือเข้าใจว่าสองชนชั้นที่ต่างกันจริงๆ แล้วคือคนรวยกับคนไร้บ้าน คนจนแค่โผล่พ้นตมขึ้นมาให้เห็น แต่เขาไม่สามารถเห็นคนต่ำตมใต้โคลนตมจากที่สูงได้
“ที่น่าตลกที่สุดคือคนจนที่กลายเป็นคนไร้บ้านนั้นเกิดจากกฎเกมที่คนรวยตั้งขึ้น
“เพราะงั้นที่คนไร้บ้านกล่าวหาว่าตัวเอกคนรวยโกหก ก็เพราะในสายตาคนไร้บ้าน ตัวเอกคนรวยคือคนที่แย่งชิงทุกอย่างไปจากเขาขณะบอกให้พวกเขาดิ้นรนพยายาม
“และนี่คือสิ่งที่ตัวเอกคนรวยไม่มีวันเข้าใจ
“[7] ในเกมมีความสัมพันธ์ระหว่างคนรวยและคนจนแค่แบบเดียว แล้วมีความสัมพันธ์ระหว่างคนรวยกับคนจนแบบไหนบ้างที่บอสเผยอยากสื่อสาร
“นี่คือคำถามสุดท้าย ซึ่งเป็นเนื้อหาสุดท้ายที่ผู้พัฒนาเกมอยากสื่อสารหลังจากนำรายละเอียดทั้งหมดข้างต้นมารวมกัน
“เอาเข้าจริง บอสเผยบอกจุดยืนของเรื่องนี้มาแล้ว
“ทุกคนจำหนังเรื่องวันพรุ่งนี้ที่สดใสได้มั้ย เรื่องนั้นมีเรื่องราวที่น่าหดหู่กว่าเกมดิ้นรนอีก
“น่าคิดเหมือนกันว่าสังคมในเกมดิ้นรนจะกลายเป็นสังคมในวันพรุ่งนี้ที่สดใสในอีกไม่กี่ทศวรรษหรือเปล่า
“ในวันพรุ่งนี้ที่สดใส ตอนจบมีอีสเตอร์เอ๊กอยู่ มีคนทิ้งปืนไว้หน้าห้องตัวเอก ความหมายโดยนัยของฉากนี้ชัดเจนมากว่า เมื่อความขัดแย้งในสังคมมาถึงระดับในเรื่องวันพรุ่งนี้ที่สดใส คนจนก็มีเพียงทางเลือกเดียว
“ในเกมดิ้นรนไม่มีตัวเลือกที่คล้ายกัน เพราะสภาพสังคมที่พวกเขาบรรยายนั้นไม่เหมือนกัน และจุดสำคัญที่ต้องการจะสื่อสารก็ต่างกัน
“การขัดขืนด้วยความรุนแรงไม่สามารถรักษาโรคร้ายทั้งหมดได้ และไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ ในสภาพสังคมของวันพรุ่งนี้ที่สดใส มันอาจถือเป็นตัวเลือกหนึ่ง แต่ในเกมดิ้นรนไม่มีตัวเลือกนี้
“งั้นมีกรณีที่สามรึเปล่า
“มี จริงๆ ก็คือความเป็นจริงที่พวกเราใช้ชีวิตอยู่นี่แหละ
“คนจนในเกมไม่มีช่องทางให้ลืมตาอ้าปาก แต่เรามีช่องทางนั้นในความเป็นจริง
“คนจนในเกมไม่สามารถสู้กับวัฒนธรรมบริโภคนิยมได้ แต่ในชีวิตจริง เราสู้ได้
“ในชีวิตจริง หลายคนไม่ได้ตราหน้าคนจากเสื้อผ้าและของแบรนด์หรู มีแค่คนที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมบริโภคนิยมหนักมากเท่านั้นที่ทำแบบนั้น
“ดังนั้นทางออกที่ไม่มีในเกมจึงมีอยู่ในชีวิตจริง
“ในเกม คนจนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเพิ่มระดับการบริโภคของตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุด ปัจจัยที่ไม่คาดคิดก็จะทำให้เกิดข้อบกพร่องมากมายในการเชื่อมโยงบางอย่าง และทุกอย่างก็จะพังทลายและกลับไปเป็นศูนย์
“แต่ในความเป็นจริง เรามีทางเลือก เราปฏิเสธวัฒนธรรมบริโภคนิยม หมั่นเก็บเงิน สะสมความมั่งคั่งในขั้นต้น และเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเองผ่านการดิ้นรนได้
“ถ้ามีมือมีเท้าแล้วขยันจนรวยก็หลุดออกจากตมได้
“ไม่มีใครบอกตัวเอกคนรวยกับคนจนว่าพวกเขาควรทำอะไรในเกม
“แต่ในความเป็นจริง มีคนบอกว่าเราควรทำอะไร เกมดิ้นรนคือทางหนึ่งในการทำลายกำแพงที่สี่เพื่อบอกว่าเราควรทำอะไร
“จริงๆ แล้ว เกมบอกว่าเราควรพยายามเต็มที่ในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะการดิ้นรนในตอนนี้ของเรานั้นมีความหมาย
“หลายคนบ่นว่าเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในนรก เพราะไม่เคยเห็นนรกจริงๆ
“ตอนนี้ พอได้เห็นโลกในเกมดิ้นรน เราก็ตระหนักได้ว่า จริงๆ แล้วเรากำลังใช้ชีวิตอยู่บนสวรรค์โนiวลกูดอทคอม
“สวรรค์แห่งนี้อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่อย่างน้อยก็เต็มไปด้วยความหวัง
“ผู้เล่นหลายคนไม่เข้าใจพล็อตในเกมดี เพราะพล็อตต่างๆ ไม่ตรงกับชีวิตจริงของเรา ทำให้รู้สึกห่างไกลจากตัวเองและรู้สึกว่าตัวเลือกต่างๆ ของตัวละครดูแปลกมากๆ
“จุดนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่เราคิดว่าเป็นเรื่องปกติ จริงๆ แล้วคือความสุขรูปแบบหนึ่ง
“การเล่นเกมดิ้นรนทำให้เราตระหนักถึงความสุขในชีวิตจริง และส่งเสริมให้เราใช้เวลาในปัจจุบันให้คุ้มค่าและพยายามอย่างเต็มที่ นี่คือความหมายเบื้องลึกที่ผู้พัฒนาเกมทำเกมนี้ขึ้นมาเพื่อสื่อสาร
“สำหรับผู้พัฒนาเกมทุกคนแล้ว ดิ้นรนคือผลงานระดับที่ควรถอดบทเรียน เพราะเกมนี้ทำลายกำแพงที่สี่ซ้ำด้วยวิธีการที่หลากหลาย ซึ่งเป็นการสื่อสารข้อได้เปรียบที่เด่นชัดที่สุดของเกมในฐานะศิลปะชนิดที่เก้า ที่คุณไม่ได้เป็นแค่ผู้เสพผลงานแต่เป็นผู้มีส่วนร่วมด้วย
“มีหลายเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนผ่านมุมมองของผู้มีส่วนร่วม
“วิธีการทำลายกำแพงที่สี่ซ้ำๆ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้พัฒนาในการควบคุมศิลปะของเกมจนถึงจุดที่สูงที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุด รายละเอียดทุกอย่างมีความหมายในตัวเอง
“กลับไปที่คำถามแรก
“เกมดิ้นรนก้าวข้ามทฤษฎีพื้นฐานทั้งสี่ไปอีกขั้นได้ยังไง ทั้งๆ ที่ดูเหมือนจะทำลายกฎทุกข้อ
“การเลือกวิธีโปรโมตที่ไม่สอดคล้องกับเกมเป็นการทำลายกำแพงที่สี่ และทำให้การโปรโมตเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาเกม
“การเลือกตีมชีวิตจริงมาทำเกมแนวภาพยนตร์เชิงตอบโต้อาจไม่ใช่แนวที่เป็นที่นิยม แต่ก็ช่วยทำลายกำแพงที่สี่ได้ง่ายๆ และสร้างสะพานเชื่อมระหว่างเกมกับความเป็นจริง
“แนวคิดส่วนตัวที่สื่อสารในเกมอาจทำให้ผู้เล่นรู้สึกอึดอัดในแวบแรก แต่ถ้ายิ่งขุดลึกลงไป คุณก็จะยิ่งได้แรงบันดาลใจ การดิ้นรนในเกมจะทำให้คุณได้รับรู้ถึงความสุขในชีวิตจริง
“เกมนี้ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการ แต่ทำขึ้นเพื่อสร้างความต้องการ เอาเข้าจริง คนส่วนใหญ่ไม่ตระหนักว่าเราต้องเข้าใจหลักการเหล่านี้เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิต เมื่อเราเข้าใจหลักการเหล่านี้แล้ว เราจะตระหนักทันทีว่าเราต้องการเกมนี้
“ดังนั้น ผมจึงคิดว่าเกมดิ้นรนเป็นจุดสูงสุดของศิลปะเกมแสตนด์อโลนในประเทศ เป็นความมั่งคั่งทางจิตใจอันแสนล้ำค่า”
…
หลังพิมพ์ประโยคสุดท้ายเสร็จ เหออันก็ยังรู้สึกไม่พอใจ
เหมือนว่ายังมีเรื่องให้พูดอีกเยอะ
เอาเข้าจริง เกมดิ้นรนมีรายละเอียดมากมายที่นำมาอธิบายขยายความได้เป็นร้อยเป็นพันคำ
แต่เหออันก็ตัดสินใจหยุดแค่นี้ เพราะแอ็กเคานต์เว่ยป๋อออฟฟิเชียลของเถิงต๋าสื่อสารมาชัดเจนแล้ว
เหตุผลที่เกมนี้ครอบคลุมรายละเอียดมากมายก็เพราะมันทำหน้าที่เป็น ‘กระจก’ การวิเคราะห์รายละเอียดเหล่านี้จริงๆ แล้วคือการวิเคราะห์ความเป็นจริง และความเป็นจริงนั้นไร้ที่สิ้นสุด
ที่เหลือควรยกให้ผู้เล่นทุกคนบนเว่ยป๋อช่วยเติมเต็ม
นอกจากนั้น เหออันคิดว่าภารกิจของตัวเองคือมองในมุมของผู้พัฒนาเกม วิเคราะห์แนวคิดการออกแบบเกมขั้นสูงในเกม และผลักดันความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมเกมจีน ขณะเดียวกันก็วิเคราะห์ความหมายเชิงลึกที่ผู้พัฒนาต้องการสื่อสารผ่านเกม
จบแค่ตรงนี้ดีแล้ว
เหออันตรวจดูเนื้อหาโพสต์อีกครั้งก่อนกดโพสต์ลงเว่ยป๋อ
เนื้อหาค่อนข้างยาวและน่าเบื่อ
คนที่ไม่เคยเล่นเกมมาก่อนอาจคิดว่าเป็นโพสต์สอนที่ไร้ความหมาย แต่คนที่เล่นเกมมาก่อนน่าจะสะท้อนคิด
เหออันรู้สึกว่าจุดนี้แหละคือเสน่ห์ของศิลปะแห่งเกม
น้ำตาลที่เคลือบด้านนอกเม็ดยาอาจไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ช่วยรักษาโรค แต่ก็ช่วยให้คนไข้กินยาได้ง่ายขึ้น
น้ำตาลรักษาโรคไม่ได้
เม็ดยาอย่างเดียวก็ไม่ได้กลืนง่ายสำหรับหลายคน
เม็ดยาเคลือบน้ำตาลช่วยคนกลุ่มหนึ่งได้จริงๆ ซึ่งก็เป็นเป้าหมายสูงสุดของเหออันในฐานะผู้พัฒนาเกม
เหมือนที่เกมเจ้าของที่ดินที่เขาสร้างก็เคยบรรลุเป้าหมายนี้มาก่อน
ถึงเขาจะเคยสัมผัสช่วงจุดอวสานของเกมสแตนด์อโลนในจีนมาก่อน และเปลี่ยนมาทำเกมออนไลน์เพื่อให้บริษัทอยู่รอด แต่ลึกๆ ในใจ เขาก็ยังมองว่าเรื่องนี้คือภารกิจที่เขาต้องทำ
เหออันไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจนี้แม้ว่าแนวคิดของเขาจะล้าสมัยไปแล้ว แม้จะทุ่มทำเกมแบบเกมเจ้าของที่ดินขึ้นมาไม่ได้อีก เขาก็จะพยายามส่งต่อจิตวิญญาณนี้ต่อไปในการสอน
ตอนนี้เกมดิ้นรนก้าวข้ามเกมเจ้าของที่ดินไปแล้วในทุกด้าน
แสดงให้เห็นว่าเกมแสตนด์อโลนจีนตอนนี้มีผู้นำแล้ว เหออันรู้สึกสบายใจมากเมื่อได้รู้แบบนี้
ถึงจะไม่เคยเจอบอสเผย แต่เขาก็รู้ว่าบอสเผยเป็นเพื่อนผู้รู้ใจของเขาจากการสื่อสารผ่านเกม
“เนื้อหาการสอนจะครบถ้วนสมบูรณ์เมื่อได้ไปคุยกับบอสหม่า
“ทฤษฎีพื้นฐานทั้งสี่ถูกทำลายและพลิกเปลี่ยนใหม่ให้ลงตัวในระดับที่สูงขึ้น
“เกมดิ้นรนเป็นการตีความที่ครอบคลุมและเจาะลึกยิ่งกว่าเกมเจ้าของที่ดิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนาที่มีความมุ่งมั่นและมีความรับผิดชอบอย่างแท้จริงควรทำ
“หลังได้ฟังเนื้อหาพวกนี้ บอสหม่าต้องได้รับแรงบันดาลใจแน่ๆ”