“ฟงเฉาหยางสมควรเป็นบิดาของเจ้า? นอกจากอายุที่ดูแตกต่างกันมาก สิ่งอื่นๆล้วนดูสมเหตุสมผล เจ้าเป็นผู้มีศาตราของเทพสงคราม อีกทั้งยังหลบหนีออกจากอาณาจักรต้าฟงโดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ เมื่อรวมกับอุปนิสัยเย็นชาและไม่แยแส หุนหันทำสิ่งต่างๆโดยไม่คำนึงถึงผล แม้ยามที่ถูกควบคุมโดยบุคคลอื่น เจ้าก็ยังไม่ยินดีอ่อนข้อยอมตน หาทางบรรลุผลลัพธ์ด้วยทุกวิธีการ ทุกสิ่งบ่งชี้ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์กับฟงเฉาหยาง จักรพรรดิแห่งเทียนหลงย่อมนึกอนุมานได้เช่นเดียวกัน และเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาคิดลอบจับกุมตัวเจ้า” เย่หวูเฉินสาธยายเรียบเรื่อย สองเท้ายังคงก้าวไปไม่หยุดหย่อน
ความเกลียดชังฉายวาบในแววตาของเล่งหยา เขากัดฟันเดินตามไปไม่ลดละ
“เจ้าคงกำลังเก็บงำความแค้นเคืองที่มีต่อบิดา เพราะไม่เคยมีผู้ใดได้ยินว่าเทพสงครามมีทายาท เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครล่วงรู้ตัวตนของเจ้าและมารดา หากให้ข้าเดา ที่แม่เจ้าตาบอดย่อมสมควรเป็นฝีมือของบิดาเจ้า มิเช่นนั้น ต่อให้เจ้าถูกขับไล่ออกจากอาณาจักรต้าฟง เจ้าก็คงไม่จำเป็นต้องเกลียดชังบิดารุนแรงถึงเพียงนี้”
“เขาไม่ใช่บิดาข้า เขามันไม่คู่ควร!!”
แปะ!
หลังร่ำร้องเสียงดัง มีเสียงหยดของโลหิตแดงฉานจากหมัดที่กำแน่น ปลายเล็บจิกเฉือนลึกเข้าไปในฝ่ามือ เขาคิดว่าหากไปจากอาณาจักรต้าฟง เขาจะสามารถทิ้งอดีตและลืมเลือนมันรวมทั้งบุคคลผู้นั้นได้ เขาไม่คิดเลยว่าเย่หวูเฉินจะเปิดคุ้ยตะกุยรอยแผลที่เขาทุ่มเทพยายามลืมมัน
“เขาอายุได้เกือบ 60 ปี ส่วนเจ้าอายุเกือบ 20 ปี ดังนั้นเจ้าน่าจะเป็นลูกชายของเขามากกว่าเป็นหลาน ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่ใช่อยู่ในวัยนี้”
“แม้ว่าข้าไม่รู้ว่าเหตุใดฟงเฉาหยางถึงปกปิดตัวตนของเจ้าไว้ แต่ข้าก็สามารถคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเจ้าสองคน อย่างไรก็ตาม การหลบหนีนั้นเป็นวิถีของคนขี้ขลาด ข้าหวังว่าหลังจากที่สุขภาพของแม่เจ้าดีขึ้นแล้ว เจ้าจะกลับไปที่อาณาจักรต้าฟงเพื่อใช้เวลาสามจากสิบปีที่เจ้าติดค้างและทำภารกิจให้ข้า”
ข้อเรียกร้องของเย่หวูเฉินทำให้บรรยากาศเงียบงันเป็นเวลานาน มีเพียงเสียงฝีเท้าของพวกเขาที่เดินลึกเข้าไปในป่าดำ ยิ่งก้าวเข้าไปลึกเท่าไหร่ กลิ่นอายมรณะก็ยิ่งรุนแรง ไม่มีสัตว์ตัวใดปรากฎออกมาให้เห็นอีก คิ้วของเย่หวูเฉินเริ่มมุ่นลง หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เล่งหยายังคงก้มศีรษะเล็กน้อยและปิดปากเงียบ ราวกับเขาไม่ได้ยินสิ่งที่เย่หวูเฉินกล่าวเมื่อครู่ หรือบางที เขาอาจกำลังลังเลเรื่องรับคำสั่งกลับไปยังอาณาจักรต้าฟง แม้เขาเป็นคนรู้คุณ แต่การกลับไปนั้นเป็นสิ่งที่ฝืนใจเขาอย่างยิ่ง เพื่อตอบแทนความเมตตาของเย่หวูเฉิน เขายอมเป็นคนใช้ให้ตระกูล ยอมเป็นคนเฝ้าสวน หากมีคำสั่งให้สังหารคนเขาก็ยินดีทำเพื่อตอบแทน เขาไม่คิดเลยว่าจะถูกขอให้กลับไปยังอาณาจักรต้าฟง
“เอาละ ตรงนี้แหละ”
ในที่สุดเย่หวูเฉินก็หยุดย่างก้าว สายตาจับจ้องที่เท้าของตน เล่งหยาหยุดเท้าตาม เขามองไปรอบๆเห็นแต่บรรยากาศแห่งความตาย เขาเริ่มสับสนไม่รู้ว่าเย่หวูเฉินมาที่นี่ทำไม แต่เล่งหยาก็ยั้งปากไว้ไม่ถามออกมา
เย่หวูเฉินยื่นมือเบื้องขวาออก แสงสีเหลืองแผ่รัศมีปกคลุมมือเบื้องขวา พอเขาพลิกฝ่ามือดินดำใต้เท้าก็ระเบิดออกเป็นหลุมเล็กๆ
เล่งหยาตกใจ เขารู้ว่านั่นคือหนึ่งในเวทย์ดินขั้นพื้นฐาน “เคล็ดทลายปฐพี”
เล่งหยาได้เห็นบุรุษผู้นี้แสดงทักษะสุดยอดกระบี่และอักษร และตอนนี้ยังมีเวทย์ธาตุดิน เขามีทักษะที่ยังเก็บซ่อนไว้อีกมากเท่าไหร่… และเขายังเยาว์วัยกว่าตน แต่กลับมีความสำเร็จถึงเพียงนี้
เย่หวูเฉินนั่งยองลง คราวนี้เขายื่นมือซ้ายออก แหวนเทพกระบี่สีดำทมิฬเปล่งแสงบางเบา มีก้อนสีขาวขนาดประมาณครึ่งฟุตปรากฎอยู่ในหลุม
เล่งหยาตกใจและอุทาน “แหวนจัดเก็บ?”
“สิ่งนี้มันน่าแปลกใจขนาดนั้นเชียวหรือ?” เย่หวูเฉินใช้มือโกยดินกลบหลุมไว้บางๆ เนื่องจากพื้นดินบริเวณนี้เป็นสีเทาดำ หากไม่สังเกตอย่างละเอียดย่อมไม่อาจเห็นจุดที่ฝังกลบได้
“มีแหวนแบบนี้เพียงสามวงเท่านั้น ในทั่วทั้งทวีปเทียนเฉิน” เล่งหยากล่าว
“แค่สามวง?” เย่หวูเฉินตกใจเล็กน้อย และอุทานว่า ‘โอ้’ เบาๆ ในใจนึกก่นตำหนิฉู่ชางหมิงอยู่เงียบๆ ‘ทั่วทั้งทวีปมีเพียงแค่สามวง และท่านพูดอย่างกับพวกมันเป็นเพียงสิ่งของธรรมดา…ท่านอาจไม่เห็นค่าของมันแต่สำหรับคนอื่นนั้นไม่ใช่!”
เย่หวูเฉินเคยตรวจสอบแหวนเทพกระบี่มาก่อน เขาจำได้ว่ามันมีพลังบางอย่างที่เรียกว่า ‘ช่องว่างมิติ’ พลังเช่นนี้เกิดขึ้นได้เฉพาะยามที่ธาตุธรรมชาติทั้งเจ็ดสอดประสานลงตัวกันสมบูรณ์ การจะสร้างอุปกรณ์จัดเก็บอย่างเช่นแหวนวงนี้ได้ ก่อนอื่นต้องต้องมีคนที่สามารถเคลื่อนพลังมิติ จากนั้นคนอื่นๆที่เหลือต้องประสานพลังธรรมชาติของธาตุทั้งเจ็ด นั่นหมายถึงต้องมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละธาตุอีกเจ็ดคน ต้องร่วมมือรวมพลังประสานกันอย่างลึกซึ้ง จากนั้นใช้วัตถุเป็นสิ่งรองรับพลัง หากใช้แหวนเป็นสิ่งรองรับผลลัพธ์ที่ได้ก็คือแหวนจัดเก็บ หากใช้ต่างหูก็จะได้ต่างหูจัดเก็บแทน
ดังนั้นการจะสร้างสิ่งของเช่นนี้ออกมาได้นับว่ายากเย็นสุดขั้ว
เย่หวูเฉินขึงด้ายสีเทายาว พันไว้รอบต้นไม้เล็กๆที่อยู่ใกล้หลุม เขาเงยศีรษะมองฟ้าชั่วขณะแล้วพึมพำ “ผู้คนและสัตว์อสูรย่อมไม่มาที่นี่บ่อยนัก ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนเจ็ดวันนับจากนี้จะไม่มีฝน”
เล่งหยายิ่งสับสนหนัก เขาคิดไม่ออกเลยว่าคนผู้นี้มาทำอะไรในป่า
“เอาละ เจ้ากลับไปบ้านก่อน” เย่หวูเฉินกล่าว
“แล้วเจ้าล่ะ?”
“ข้าจะไปเดินเล่น”
“เช่นนั้นเจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม?”
“ข้าไม่อยากเจอเหตุไม่คาดฝัน ดังนั้นจึงพาเจ้ามาด้วยเพื่อป้องกันตัว แต่คิดว่าข้าคงกังวลมากเกินไป ดังนั้นเจ้ากลับไปก่อนได้” เย่หวูเฉินกล่าวเรียบเรื่อย
เล่งหยาหมุนตัวกลับ แล้วจากไปตามเส้นทางเก่า เย่หวูเฉินไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีกและมุ่งตรงไปข้างหน้าต่อ ครั้งนี้ฝีเท้าของเขารวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เหตุผลที่เขาพาเล่งหยามาด้วยย่อมไม่ใช่เพื่อป้องกันตัว แต่เพื่อสืบสวนเขา ซึ่งนับว่าทำได้สำเร็จ ระหว่างที่เล่งหยากำลังกลับไป เขาย่อมมีเวลาครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้ฟัง
“เจ้านาย ท่านจะไปที่ไหนหรือ?” น้ำเสียงสดใสดังมาจากกระบี่หนานฮวง
“ไปดูสตรีต้องสาปกัน”
“อะไรนะ!?” หนานเอ๋อร์อุทานด้วยความแปลกใจ “อย่าไปนะเจ้านาย ฟังดูแล้วนั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย”
เย่หวูเฉินหัวเราะเบา “อย่ากังวล ข้าไม่ได้คิดเอาชีวิตไปทิ้ง ข้าเพียงแค่จะไปดูบริเวณใกล้ๆ ทุกครั้งที่ข้าได้ยินเรื่องของสตรีผู้นี้ จิตวิญญาณของข้าก็ถูกกระตุ้น คงเป็นเพราะพลังล่วงรู้อนาคตของข้าที่ทำให้ข้ารู้สึกเช่นนี้ ดังนั้น ข้าจำเป็นต้องไปดู”
“ได้ ตกลง! เพียงแค่ไปดู แต่ท่านห้ามเข้าไป…ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นหนานเอ๋อร์จะไม่เหลือใครให้พึ่งพาอีกต่อไป” หนานเอ๋อร์กล่าวอย่างกังวล
“อย่าห่วงเลย ข้าจะไม่หลอกหนานเอ๋อร์”
[ปล.ขอใช้กระบี่หนานฮวง เป็นทับศัพท์แทนชื่อกระบี่จักรพรรดิใต้นะครับ]