ยิ่งก้าวตรงไปข้างหน้า พืชพันธุ์ก็ยิ่งบางตา สุมทุมพุ่มไม้เล็กก็หายไป เหลือเพียงต้นไม้ใหญ่สีเทาดำยืนต้นกระจัดกระจาย สีของต้นไม้ยิ่งดำทมิฬเมื่ออยู่ลึกเข้าไป
“คนผู้เดียวสามารถเปลี่ยนสภาพสถานที่แห่งนี้ได้ทั้งหมด ‘สตรีต้องสาป!’ ในเวลา 20 ปี นางทำให้ผืนป่ากลายเป็นแบบนี้ ยิ่งกว่านั้น นางทั้งไม่กินหรือดื่มแต่กลับสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ นางจะใช่มนุษย์จริงๆหรือ?” เย่หวูเฉินเอ่ยด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่แน่นอน! บางทีนางอาจเป็นเทพที่หนีมายังทวีปเทียนเฉิน บางทีนางอาจเป็นเทพผู้มีพลังแห่งความตาย” หนานเอ๋อร์ตอบกลับกระฉับกระเฉง
“เทพ? หนีมายังทวีปเทียนเฉิน? เจ้าหมายถึงอะไร?” เย่หวูเฉินขมวดคิ้วถาม
“ใช่แล้ว หนานเอ๋อร์ไม่เคยโกหก ทวีปเทียนเฉินเป็นโลกของมนุษย์ เบื้องนอกของทวีปนี้ ยังมีทวีปของเทพ — ดินแดนของเหล่าทวยเทพ เป็นที่สถิตย์ของเทพทั้งปวง พวกเขาแต่ละคนแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือขอบเขตเทวะแห่งทวีปเทียนเฉิน”
เย่หวูเฉิน “!!”
“หนานเอ๋อร์ เจ้ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”
“มันอยู่ในความทรงจำของข้า มันโผล่ขึ้นมายามข้านึกถึงมัน”
“เจ้าพูดต่อไปสิ” เย่หวูเฉินถาม เขาลดคิ้วลง พึ่งตระหนักได้ว่าโลกใบนี้กลับกลายเป็นธรรมดาเนื่องจากความคงอยู่ของ ‘เทพ’ ตามที่หนานเอ๋อร์ได้อธิบาย
“โอ้…เจ้านายอยากฟังอีกเหรอ? ถ้าอย่างนั้นหนานเอ๋อร์จะเล่าต่อ ไม่ว่าจะเป็นทวีปเทียนเฉิน หรือทวีปเทวะ ทั้งสองทวีปล้วนเกิดจากโกลาหลที่เกิดจากการต่อสู้ระหว่างจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ ทวีปเทวะกลั่นตัวจากจิตวิญญาณปราณของโกลาหลระดับสูง ในขณะที่ทวีปเทียนเฉินกลั่นตัวจากเสี้ยวพลังโกลาหล ร่างที่ถือกำเนิดขึ้นบนสองทวีปนั้นต่างกันอย่างมาก ผู้ที่เกิดในทวีปเทวะนั้นได้รับพลังแห่งเทพ ซึ่งแข่งแกร่งกว่าผู้ที่เกิดในทวีปเทียนเฉินอย่างมาก เพื่อไม่ให้สูญเสียสมดุลระหว่างสองทวีป ยามที่จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือหายตัวไปพวกเขาได้ตั้งกฎไว้ว่า: ผู้คนจากทวีปเทวะหากไม่มีเหตุผลพิเศษจะไม่สามารถเข้าไปยังทวีปเทียนเฉินได้ มิเช่นนั้นพวกเขาจะต้องถูกคำสาปร้ายแรง! ยามที่ทวีปเทียนเฉินเผชิญหน้ากับมหันตภัย ทวีปเทวะต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ มิเช่นนั้น เทพจักรพรรดิแห่งทวีปเทวะจะต้องถูกสาปอย่างโหดเหี้ยม”
“…เป็นคำสาปแบบใดกัน?” เย่หวูเฉินถาม
“ข้า…ไม่แน่ใจนัก ดูเหมือนคำสาปทุกประเภทล้วนเป็นไปได้ อย่างเช่น สูญเสียพลังเทวะของตนเอง หรือไม่อาจกลับไปได้อีก หรือไม่สามารถมองเห็นและไม่สามารถพูดได้ หรือบุรุษกลายเป็นสตรี หรือกลายเป็นหิน กลายเป็นกระต่าย… สรุปแล้ว คือทุกอย่างที่น่ากลัว”
“เจ้ารู้ที่ตั้งของทวีปเทวะหรือไม่?”
“ขอข้าคิดก่อน….ไม่รู้สิ เจ้านายอยากไปเที่ยวเล่นหรือ?”
เย่หวูเฉินส่ายศีรษะ “ข้าเพียงสงสัยเท่านั้น”
หากเหล่าเทพและทวีปเทวะมีอยู่จริง เช่นนั้นนิทานที่ปู่ฉู่เล่าให้เด็กๆฟังก็สมควรเป็นเรื่องจริง ครั้งนั้นใบหน้าของเขาราวกำลังนึกย้อนเรื่องราวในอดีต เทพธิดาปีกขาวและเทพธิดาปีกดำจากอาณาจักรเทพ… อาณาจักรเทพสมควรเป็นทวีปเทวะ เทพธิดาทั้งสองสมควรเป็นคนจากทวีปเทวะ จากที่หนานเอ๋อร์เล่าให้ฟัง หากพวกนางอาศัยอยู่ในทวีปเทียนเฉินนานเกินไป เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกนางจะถูกสาป?
คำสาป!?
ปีกขาว…
เย่หวูเฉินรู้สึกปวดสมองเล็กน้อย เขาหยุดฝีเท้าลง กุมศีรษะด้วยมือและหายใจแรง ห้วงความคิดเริ่มก่อตัว มีข้อความบางอย่างที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามนึกถึงมันมากเท่าไหร่ ไม่ว่าจะค้นลึกเสี้ยวความทรงจำที่วาบผ่านเข้ามาซักเพียงใด สุดท้ายก็เป็นแค่เรื่องไร้ประโยชน์อยู่ดี
“เมื่อกี้ข้าคิดถึงสิ่งใดกัน?” เขาถามตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
เขานึกถึงคำพูดของหลงเจิ้งหยางก่อนหน้า “จากที่ตำนานกล่าวไว้ อาณาจักรเทพมีสิ่งของที่มีพลังเหนือล้ำกว่าพลังแห่งเทพ…” หรือว่าการมีอยู่ของทวีปเทวะเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วในทวีปเทียนเฉิน?
เห็นได้ชัดว่า เขาพลาดเรื่องสำคัญไปหลายอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ
เขาเดินต่อไปเบื้องหน้าพร้อมคุยกับหนานเอ๋อร์ เย่หวูเฉินต้องตะลึงและหมดคำพูดกับหนานเอ๋อร์…นางสามารถเล่าเรื่องราวอัศจรรย์ที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่นางกลับไม่รู้เรื่องที่แม้แต่เด็กสามขวบยังรู้ดี
ตอนนี้เอง ไม่มีต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่แม้แต่เพียงต้นเดียว ต้นไม้ทั้งหมดต่างบิดเบี้ยวหักงอและแห้งเหี่ยวกลายเป็นซากไม้ตาย ในครรลองจักษุปรากฎภาพลางๆที่เป็นจุดหมายของพวกเขา หลังจากเดินเข้าไปอีก 100 เมตร พวกเขาก็มาถึงยังเบื้องหน้าหอคอยดำทมิฬ
เบื้องหน้าพวกเขาเป็นหอคอยความสูง 50 เมตร ความกว้างไม่ได้ใหญ่มากเท่าไหร่ มันยืนตระหง่านอ้างว้างอยู่ในรัศมี 100 เมตร กลิ่นอายมรณะเข้มข้นรุนแรงจนน่ากลัว หากเป็นคนธรรมดาย่อมรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ไร้เรี่ยวแรงด้วยความเจ็บปวด เพียงหนึ่งหรือสองชั่วโมงเป็นอย่างมาก ชีวิตของพวกเขาย่อมสูญสิ้นไป
ประตูหอคอยสีดำทมิฬปิดไว้แน่น ไม่อาจเห็นด้านในได้แม้แต่เพียงเล็กน้อย เย่หวูเฉินยืนอย่างสงบห่างออกไป 10เมตรเบื้องหน้าประตู มองด้วยความสงสัยพร้อมกับปลดปล่อยจิตสัมผัสซึมซาบผ่านประตูเข้าไปช้าๆ สำรวจข้างในอย่างระมัดระวัง
“หนานเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องพวกเราอยู่หรือไม่? ราวกับเป็นดวงตาของอสรพิษ” เย่หวูเฉินเพ่งสมาธิ น้ำเสียงของเขายังคงสงบ
“เอ๋? ไม่นี่ หนานเอ๋อร์ไม่เห็นอะไรแม้แต่อย่างเดียว แล้วก็เจ้านาย อสรพิษคือสิ่งใดกัน?”
เย่หวูเฉินยังคงนิ่งเงียบ ปิดตาแผ่ขยายจิตสัมผัส สำรวจสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งที่อยู่ข้างใน
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่พบอะไร เขาไม่ต้องการยอมแพ้ ดังนั้นเขาจึงก้าวไปข้างหน้า…ทีละก้าว จนกระทั่งอยู่ห่างเพียงก้าวเดียวจากประตูศิลา
ลองดูเป็นครั้งสุดท้าย เขาปลดปล่อยจิตสัมผัสทั้งหมด หากแต่ไม่พบอะไร ขณะที่เขากำลังจะเลิกล้ม ฉับพลันก็ปรากฎดวงตาคู่ดำทมิฬขึ้นในใจ
เป็นดวงตาที่ดำทมิฬมิดอย่างสุดขั้ว แสงทมิฬนั้นน่ากลัวจนทำให้คนสั่นสะท้านได้ เหมือนดวงตาของปีศาจ ที่นำพาความสยดสยองราวกับว่ามันจะเขมือบกลืนกินร่างกายของเขาลงไปทั้งตัว
เขารู้สึกเจ็บปวดเสียดแทงที่แขน เย่หวูเฉินต้องตะลึงเตลิดเพื่อพบว่าแขนของเขาขยับได้เอง ทั้งขยับบิดผิดรูปราวจะถูกกระชากออก อวัยวะภายในสั่นสะท้านเมื่อมันเริ่มบิดและเจ็บแปลบ…ใบหน้าเขาขาวซีดและตระหนก เขาถอนจิตสัมผัสกลับมาในทันที ความรู้สึกสยดสยองหายไปในฉับพลัน ในที่สุดแขนของเขาก็ตกห้อยลง…
เย่หวูเฉินหันหลังกลับ หนีออกมาด้วยความเร็วสูงสุดจนกระทั่งอยู่ห่างออกมา 100 เมตร จากนั้นเขาถึงหันกลับไป สายตาจับจ้องติดตรึงที่หอคอยดำทมิฬ ตั้งแต่ที่เขามายังโลกใบนี้ นอกจากครั้งที่หนิงเสวี่ยเสี่ยงชีวิตของนางขโมยไข่อสูรสวรรค์เพื่อเขา นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาตื่นกลัว หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำ กระทั่งแผ่นหลังยังเปียกไปด้วยเหงื่อกาฬเย็นเยียบ
ไม่แปลกใจเลยที่นางสามารถสังหารผู้คนที่หลงเข้ามา นางมีสายตาพิฆาต หากไม่ใช่เพราะพลังจิตสัมผัสของเขา และหากเขาเผชิญสายตาของนางโดยตรง เขาคงกลายเป็นชิ้นเนื้อนอนบนพื้นเพราะดวงตาคู่นั้น พลังเช่นนี้…สตรีต้องสาป แท้จริงแล้วนางเป็นมนุษย์หรือเทพ?