“เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าต้องออกไปข้างนอกสักพัก อีกเดี๋ยวเจ้าก็ไปที่ห้องของพี่สาวแล้วหาอะไรเล่น ตกลงไหม?” เย่หวูเฉินช่วยนางใส่กระโปรง
“ข้าไปกับท่านพี่ด้วยไม่ได้เหรอ?” เย่หนิงเสวี่ยถามด้วยความกระหายอยากไป
“ครั้งนี้ยังไม่ได้ อย่าห่วงเลย พี่ชายเจ้าจะกลับมาโดยเร็ว”
“ตกลง ข้าจะรอท่านกลับมา” เย่หนิงเสวี่ยตอบกลับอย่างเชื่อฟัง นางจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องกลายเป็นภาระของเขา
หลังจากทานอาหารเช้ากับหนิงเสวี่ย เล่งหยาในที่สุดก็ออกจากห้อง ลมหายใจของเขายามนี้สงบไร้รอยน้ำตาจากเมื่อครู่ สายตาที่มองมายังเย่หวูเฉินเย็นชาน้อยลง กระทั่งแฝงแววความรู้สึกขอบคุณเล็กน้อย
“แม่ของเจ้าร่างกายอ่อนแอจากการเดินทางไกล อาหารของนางไม่ถูกสุขลักษณะ รวมไปถึงความเครียดของนาง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีเรื่องติดขัดอีกต่อไป เพียงดูแลสุขภาพของนางให้ดีอีกครึ่งเดือน นางก็จะกลับมาหายเป็นปกติ รวมทั้งจะไม่มีอาการเจ็บป่วยตกค้างใดๆ” เย่หวูเฉินกล่าว “อีกเรื่องหนึ่ง ข้าจะให้คนไปหาที่อยู่ในสวนของนายหญิงเพื่อเป็นที่พักของแม่เจ้า จะเป็นการดีหากให้นางได้พูดคุยกับสตรีในวัยเดียวกัน พวกเขาจะได้กลายเป็นเพื่อนกัน”
เล่งหยาพลันยกศีรษะขึ้น จ้องสายตาไปที่เย่หวูเฉิน “มารดาและข้ามาจากอาณาจักรต้าฟง อาณาจักรเทียนหลงของเจ้าเกลียดชังผู้คนจากอาณาจักรต้าฟง และตระกูลเย่ของเจ้าสังหารผู้คนของอาณาจักรต้าฟงไปเป็นจำนวนมาก หากเจ้ายังปฏิบัติต่อพวกเราเช่นนี้ต่อไป เจ้าจะบอกต่อครอบครัวของตนเองอย่างไร และคนอื่นๆจะมองเจ้าเช่นใด”
“โอ้? ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าเป็นคนโง่จริงๆ” เย่หวูเฉินกล่าวยุแหย่ จำได้ว่าเมื่อวานเขาพึ่งด่าว่าความโง่เง่าของเล่งหยาอย่างหยาบคาย “เจ้าก็ยังคงไร้เดียงสาอยู่ดี”
“ฮึ่มม”
“อย่าห่วงเลย ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องอยู่ที่ตระกูลเย่ แต่ว่าแม่ของเจ้า นางสมควรเป็นคนของอาณาจักรเทียนหลง”
เล่งหยาม่านตาหดลีบ เขาพูดเสียงเย็นเยียบ “เจ้าความว่ายังไง? เจ้ารู้ได้ยังไง?”
“ข้าเดาเอา” เย่หวูเฉินหันกลับมา “เจ้าจงจำเรื่องสัญญาภักดีต่อข้าเป็นเวลาสิบปีไว้ให้ดี ภายในเวลาสิบปีนี้ เจ้าจะต้องไม่ขัดคำสั่งข้า ข้ารักษาดวงตาให้แม่ของเจ้าไปแล้ว ดังนั้นเจ้าไม่มีเหตุผลต้องสงสัยในตัวข้าอีก! ตามข้ามา”
เล่งหยาตามหลังไปโดยไม่กล่าวคำ
หลังออกจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ พวกเขามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ผ่านฝูงชนที่ส่งเสียงเอะอะจอแจ จนกระทั่งไปถึงประตูเมืองเทียนหลงด้านตะวันออก นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขามาถึงที่นี่ เย่หวูเฉินไม่หยุดยั้งฝีเท้า เขาก้าวออกจาประตูเมืองมุ่งหน้าต่อไปยังทิศตะวันออก จนถึงตอนนี้เขายังไม่เอ่ยบอกอะไร เพียงแต่ก้าวลิ่วผ่านสถานที่ต่างๆไปเท่านั้น เล่งหยาตามไปอย่างว่าง่ายและเงียบงัน เขารู้ดีว่าหากตรงไปเรื่อยๆในทิศทางนี้ พวกเขาจะไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในทวีปเทียนเฉิน…สถานที่ต้องห้าม
ยิ่งห่างออกไปทางทิศตะวันออก ผู้คนก็ยิ่งบางตา เมื่อ 20 ปีก่อนมันเคยเป็นท้องถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน แต่ตอนนี้กลายเป็นที่รกร้างมีต้นหญ้าปกคลุม แทบไม่มีใครผ่านมาทางนี้อีกเลย พวกเขาเดินเท้าต่ออีก 2 ชั่วโมง ก็ปรากฎผืนป่าดำอยู่เบื้องหน้าครรลองสายตา
“เจ้ารู้จักที่แห่งนี้หรือไม่?” ในที่สุดเย่หวูเฉินก็เอ่ยปาก แต่เขายังคงเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่ชะลอฝีเท้าลง
“……”
“ชื่อของป่าแห่งนี้ถูกลืมเลือนไปนานแล้ว ครั้งหนึ่งต้นไม้พงไพรแห่งนี้เคยเป็นสีเขียวชะอุ่ม แต่พวกมันคล้ายยืนต้นตายกลายเป็นสีเทาดำในเวลา 20 ปี ส่วนที่ลึกที่สุดของป่าแห่งนี้เป็นที่ตั้งของหอคอยปีศาจ สถานที่ซึ่งสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่เรียกกันว่าสตรีเทพพิโรธถูกผนึกอยู่ แต่นับจากวันที่สถานคุมขังแห่งนี้ผนึกตัวตนนั้นไว้ ทั่วบริเวณผืนป่ากลับกลายสภาพเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ความเปลี่ยนแปลงอันน่าสยดสยองทำให้ผู้คนออกห่างจากป่าดำ” เย่หวูเฉินกล่าวอย่างอ่อนโยน ฝีเท้าของเขาไร้ความลังเล ราวกับผืนป่าที่เขากำลังจะเข้าไปไม่ใช่ป่าดำที่กำลังพูดถึง
“สตรีต้องสาป” เล่งหยากล่าวเสียงต่ำ
“ถูกต้อง หากข้าพาเจ้าเข้าในหอคอยปีศาจ เจ้าจะกล้าเข้าไปหรือไม่?” เย่หวูเฉินถามราบเรียบ ไม่มีท่าทีล้อเล่นแม้แต่น้อย
“กล้า!”
เย่หวูเฉินเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วส่ายศีรษะ “เป็นคนที่น่าเบื่ออะไรเช่นนี้! เจ้าไม่รู้หรือไงว่าเคยมีคนที่แข็งกว่าเจ้านับร้อยนับพันเท่าเข้าไปข้างใน และไม่มีผู้ใดได้กลับออกมา หากเจ้าไม่มีสิ่งใดให้สูญเสีย เจ้าอาจจะบ้าพอเข้าไปข้างในและผลลัพธ์เลวร้ายสุดคือความตาย แต่หากว่าเจ้าตายแล้วใครจะดูแลแม่ของเจ้า?”
“……”
“หากเจ้าไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะตาย จงอย่าเอาชีวิตของเจ้าเข้าไปเสี่ยง แม้คนที่กล้าหาญที่สุดก็มีแต่จะถูกดูหมิ่น”
และแล้วเย่หวูเฉินก็ย่างเท้าเข้าไปในสถานที่ซึ่งผู้คนหันหลังหนีไปด้วยความหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าเข้าไปในป่าดำแห่งนี้มาตลอดหลายปี แต่เล่งหยากลับตามเขาไปโดยไร้ความเกรงกลัว
ที่แห่งนี้เงียบงันแปลกประหลาด ไร้เสียงนกร้อง ไร้เสียงสัตว์คำราม ไร้ซึ่งกระทั่งเสียงสายลม กลิ่นอายมืดหม่นโชยเต็มบรรยากาศ เกิดแรงกดดันอันยากจะหายใจ
“กลิ่นอายแห่งความตาย!” เย่หวูเฉินกล่าวกับตนเอง คิ้วของเขามุ่นลง
ด้วยภูมิต้านทานต่อธาตุทั้งหกคือ น้ำ , ไฟ , ลม , สายฟ้า , ดิน และมรณะ ทำให้เขาสามารถควบคุมและต้านทานได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงธาตุแห่งความตาย ถึงแม้ว่ากลิ่นอายมรณะที่นี่ไม่ได้มีพลังรุนแรง ทั้งยังเจือจางจนสิ่งมีชีวิตเช่นมดยังสามารถดำรงอยู่ได้ แต่มันก็ยังถูกนับว่าเป็นกลิ่นอายมรณะ จากข่าวที่ร่ำลือกัน ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่กลิ่นอายมรณะยิ่งเข้มข้นขึ้นเท่านั้น แน่อนว่าที่มาของมันย่อมมาจากบริเวณใจกลางผืนป่าดำ สถานที่ตั้งของหอคอยปีศาจ!
เนื่องจากกลิ่นอายมรณะที่บางเบา ต้นไม้ในบริเวณจึงยังหลงเหลือพลังแห่งชีวิตอยู่ ด้วยเวลากว่า 20 ปีที่ซึมซับพลังแห่งความตาย พวกมันจึงกลายสภาพเป็นสีเทาดำ
เย่หวูเฉินมีภูมิต้านทานต่อธาตุมรณะ จึงย่อมไม่เกรงกลัวต่อกลิ่นอายแห่งความตาย แต่กลิ่นอายมรณะที่เจือจางก็ไม่มีผลต่อกระทบใดๆต่อเล่งหยาเช่นกัน
เย่หวูเฉินสายตาวาบแสง กวาดตามองต้นไม้ทุกต้นที่อยู่เบื้องหน้า ใช้ความทรงจำล้ำเลิศจดจำทุกตำแหน่งของมัน คำนวณนับระยะทางเงียบๆอยู่ในใจ
ยิ่งพวกเขาเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ บรรยากาศก็ยิ่งกดดันท่วมทับทวีขึ้นเท่านั้น ยามนี้สมควรเป็นเวลากลางวัน แต่ในที่แห่งนี้กลับปรากฎราวยามค่ำขมุกขมัว พวกเขาจำต้องเบาฝีเท้าลง ด้วยไม่ต้องการทำลายเงียบเสียดแทงใจ
เกิดเสียงฝีเท้ายามที่เย่หวูเฉินเหยียบลงบนกิ่งไม้แห้ง ทันใดนั้นพุ่มไม้ดำก็สั่นไหว มีกระต่ายสีดำวิ่งออกมา เพียงชั่วพริบตามันก็วิ่งหายลับกับต้นไม้ไป
ในที่นี้ไม่สมควรมีสัตว์อาศัยอยู่ เย่หวูเฉินรู้สึกแปลกใจ พลังชีวิตของสัตว์นั้นน้อยกว่าพืชพันธุ์ ทั้งความสามารถในการขยายพันธุ์ยังต่ำกว่า ภายใต้กลิ่นอายแห่งความตาย พลังชีวิตของพวกมันย่อมถูกสูบกลืนช้าๆจนตาย กลับปรากฎว่ามีสัตว์จำนวนหนึ่งยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ แสดงให้เห็นว่าพวกมันมีภูมิต้านทานต่อธาตุแห่งความตาย และดูเหมือนว่าพวกมันยังส่งต่อความสามารถนี้สู่ลูกหลาน ที่ยิ่งเห็นเด่นชัดขึ้นในรุ่นถัดไป
“ตอนเด็กเจ้ามีชื่อว่าเสี่ยวฟง?” เย่หวูเฉินที่เงียบอยู่จู่ๆก็ถามขึ้น
“ใช่” เล่งหยาตอบ
“แซ่ของมารดาเจ้าคือเล่ง?”
“ถูกต้อง”
“แซ่ของบิดาเจ้าคือฟง?”
เล่งหยาหยุดเท้าในทันที เขากำหมัดทั้งสองแน่น ลมหายใจเย็นเยียบดุจคมกระบี่ในฉับพลัน