หลังจากกล่าวคำขอบคุณตามธรรมเนียม เหล่าขุนนางนายพลก็ลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียง พวกเขาขยับออกอยู่ด้านข้าง เย่หวูเฉินมีสีหน้าสงบเยือกเย็น เขาคิดอยู่ในใจ ปรากฏว่าแท้จริงแล้ว ท่านปู่ฉู่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วดินแดนเทียนหลงในฐานะหนึ่งบุรุษผู้กอบกู้ทั้งอาณาจักร หรือว่าพลังขอบเขตเทวะจะทรงพลังสุดล้ำถึงเพียงนั้นจริงๆ? นอกจากนั้น ยิ่งหลงหยินผู้นี้ปฏิบัติต่อข้าดีเท่าไหร่ ยิ่งแสดงให้เห็นว่ามันต้องการสังหารข้ามากเท่านั้น เรื่องยกพระธิดาให้ข้าจนดูราวกับเมตตาเป็นพิเศษ แต่ในความจริง…. หากมีคนตายไป องค์หญิงก็ไม่จำเป็นต้องแต่งงาน คำว่าเมตตาเป็นพิเศษก็จะยังคงอยู่ ทั้งยังทำให้ตระกูลเย่ต้องติดค้างในความ ‘เมตตา’ ทำให้พวกเขาต้องทุ่มเทความพยายามทุกอย่างเพื่อปกป้องราชตระกูลแห่งเทียนหลง
“เย่หวูเฉินก้าวออกมารับราชโองการ”
“พะยะค่ะ!”
“ด้วยบัญชาจากสวรรค์ ราชโองการแห่งองค์จักรพรรดิ… ขอแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางชั้นสาม มอบหนึ่งพันตำลึงทอง สามหมื่นตำลึงเงิน อัญมณีหยกสามกล่อง และที่พำนักขุนนางหนึ่งแห่ง นอกจากนั้น ขอประกาศงานแต่งงานกับองค์หญิงเฟยฮวง จะจัดขึ้นเมื่อพระธิดาอายุครบ 16 ชันษา ด้วยพรขององค์จักรพรรดิ! หวูเฉินแห่งตระกูล จงรับพระบัญชา”
………………………
เมื่อออกจากวิหารหลวง ท้องฟ้าภายนอกก็สว่างสดใส เย่หวูเฉินหาวและถามเย่เว่ยที่อยู่ข้างๆ “องค์หญิงเฟยฮวงคือใครกัน?”
“เจ้าเคยพบกับนางแล้ว” เย่เว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาจะลืมเหตุการณ์ที่เย่หวูเฉินคุกคามหลงฮวงเอ๋อร์ก่อนหน้านี้ได้อย่างไร ทุกคนในราชสำนักต่างรู้เรื่องนี้เพราะองค์หญิงน้อยแตกตื่นจากเหตุการณ์ อย่างไรก็ตาม หลงหยินไม่เคยลงมายุ่งเกี่ยวใดๆกับเรื่องนั้น ดังนั้นเรื่องดังกล่าวจึงถูกปล่อยให้ค้างคาไว้ต่อไป
“โอ้ ที่แท้ก็เป็นเจ้าหญิงตัวน้อยนั่น” เย่หวูเฉินยักไหล่ รู้สึกหมดอาลัย หลงฮวงเอ๋อร์ไม่ได้มีนิสัยน่ารักน่าชื่นชมอย่างที่องค์หญิงพึงมี เห็นได้ชัดว่าถูกตามใจ ,ฉลาดแกมโกง และดื้อด้าน สตรีเช่นนี้อย่างมากก็เก็บไว้อภิรมณ์ แต่ไม่เหมาะสมที่จะเป็นภรรยา
“องค์หญิงเฟยฮวงเป็นพระธิดาที่องค์จักรพรรดิโปรดปรานมากที่สุด มารดาของนางเป็นมเหสีที่จักรพรรดิรักมากที่สุด นางตายหลังจากให้กำเนิดองค์หญิงเฟยฮวงอย่างยากลำบาก องค์จักรพรรดิโศกเศร้าเจ็บปวดอยู่เป็นเวลานาน เขารักธิดาที่คนรักทิ้งไว้ให้ เอาใจและทำตามความปรารถนาของนางทุกสิ่ง นี่คือเหตุผลว่าทำไมนางจึงกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ แต่นิสัยนางสมควรดีขึ้นเมื่อผ่านไปไม่กี่ปี” เย่เว่ยกล่าว
เย่หวูเฉินหัวเราะไม่ยินดีไม่ยินร้าย “ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”
อย่างไรก็ตาม ในใจของเขารู้ดีว่าการแต่งงานนี้เป็นเพียงเรื่องบังหน้าเท่านั้น หากเขายังคงอยู่กับตระกูลเย่ตลอดจนครบสามปี หลงหยินย่อมหาข้ออ้างทุกวิธีเพื่อยกเลิกการแต่งงาน หากหลงหยินปล่อยให้เขาอยู่จนครบสามปีจริงๆ ถึงตอนนั้นเขาคงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตระกูลเย่แล้ว กระทั่งในเวลาหนึ่งเดือน…หรือครึ่งเดือน หากเขาทำสิ่งที่ต้องทำเพื่อตระกูลเย่เสร็จ เขาจะจากไปทันที เขาไม่ต้องการติดค้างต่อตระกูลเย่ และเขาจะไม่เป็นนายน้อยตระกูลเย่อีกต่อไป
กลับมาที่สวนน้อยของตนเอง เขาพบคนผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างสระ ลักษณะดูคล้ายรูปปั้นน้ำแข็งผอมกะหร่อง ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ก็สัมผัสได้ถึงความเยียบเย็น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็หันมองตรงมาที่เย่หวูเฉิน
เย่ซีเข้ามาหาอย่างว่องไว “นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าพึ่ง…”
เย่หวูเฉินยกมือขึ้นหยุดเย่ซี จากนั้นโบกมือทำท่าให้เขาออกไป เขาเผชิญหน้ากับเล่งหยาแล้วกล่าว “พาข้าไปพบแม่เจ้า”
เย่หวูเฉินไม่จำเป็นต้องเปลืองถ้อยคำกับบุคคลประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมหรือชี้นำ เพียงแค่ต้องกล่าวเข้าประเด็น
เล่งหยาเดินนำไปที่ห้องด้านตะวันออก ซึ่งปกติห้องนี้เย่ซีและเย่บาจะพักอยู่ พวกเขาพาตัวเล่งหยากับแม่มา แต่จากนั้นไม่สามารถหาที่อยู่ให้พวกเขานั้น อีกทั้งยังไม่กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงพาสตรีเจ็บป่วยไปนอนพักในห้องของตน
เล่งหยาผลักประตูเปิดออกช้าๆ จากนั้นเดินเข้าไปข้างใน เย่หวูเฉินเห็นสตรีที่ผมขาวไปครึ่งศีรษะนอนอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเสียง นางก็ใช้แขนพยุงร่างกายตัวเองขึ้นมา แล้วกล่าวอย่างอ่อนแรง “เสี่ยวฟง นั่นเจ้าหรือ?”
เล่งหยารีบเขาไปพยุงนาง เขากล่าวเสียงอ่อน “แม่ นี่ข้าเอง อย่าพึ่งลุกขึ้น ท่านเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ท่านต้องพักผ่อนก่อน”
“ไม่จำเป็น ข้าไม่เป็นไร ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าสองเสียง เจ้ามากับคนที่ให้ที่พักกับพวกเรางั้นหรือ?”
หลังจากที่ตาบอด ประสาทสัมผัสด้านอื่นของนางก็พัฒนาขึ้น โดยเฉพาะด้านการได้ยิน แม้ว่าเล่งหยาและเย่หวูเฉินจะตั้งใจเบาฝีเท้าของตนเองลงแล้วก็ตาม นางก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน เย่หวูเฉินยิ้มและกล่าว “ท่านป้า ยินดีที่ได้พบท่าน ข้าชื่อว่าเย่หวูเฉิน เล่งหยาเป็นเพื่อนข้า และนี่คือบ้านของข้าเอง”
เล่งหยาไม่เถียงกลับ ไม่มีปฏิกิริยาโดยสิ้นเชิง
นางรู้สึกหวั่นไหวและกล่าว “ดีจริงๆ…ขอบคุณที่มอบที่พักให้กับพวกเราสองแม่ลูก ขอข้าเรียกเจ้าว่าเสี่ยวเฉินได้หรือไม่?”
“ย่อมได้”
เย่หวูเฉินเดินเข้าไป สายตาเขามองสำรวจใบหน้านาง จากนั้นเอ่ยถาม “ท่านป้า เกิดอะไรขึ้นกับดวงตาของท่าน?”
แม่ของเล่งหยาฝืนยิ้ม “ข้าตาบอดมาได้สิบปี ตอนนี้ข้าเคยชินกับมันแล้ว ความเจ็บปวดเดียวของข้าคือไม่อาจมองเห็นลูกชายที่อยู่ข้างกาย ไม่รู้ว่ายามนี้เขาเติบโตขึ้นมามีหน้าตาเป็นอย่างไร…”
“ท่านแม่…” เล่งหยาน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ร่างกายของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อย
เย่หวูเฉินยื่นมือออกในฉับพลัน ใช้มือบังดวงตาทั้งสองของนาง ค่อยๆเคลื่อนมือผ่านช้าๆ แสงไร้สีแผ่ไปยังดวงตานาง เมื่อเขาถอนมือออก เขาจากออกไปโดยไม่กล่าวคำใด ไม่แม้กระทั่งปิดประตู
เล่งหยามองการกระทำของเย่หวูเฉินโดยไม่ส่งเสียงหรือพยามขัดขืนใดๆ หลังจากที่สองแม่ลูกอยู่ตามลำพัง เขายังไม่คงไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่เกิดอะไร
แทบจะทันทีที่เย่หวูเฉินออกจากห้อง เมื่อเขาหันกลับมาก็พลันพบว่าดวงตาขุ่นมัวของมารดายามนี้กลับมาแจ่มใส ยิ่งกว่านั้น…เขายังรู้สึกถึงสายตานาง รับรู้ว่านางมองมา
เล่งหยาชะงักค้างในฉับพลัน มองลงไปในดวงตาคู่ที่อยู่เบื้องหน้า แทบไม่อาจเชื่อถ้อยเสียงที่ผุดขึ้นมาในหัวใจ ดวงตาคู่นั้นกระพริบอย่างแปลกใจและงุนงง เสียงในหัวบอกว่าสิ่งนี้คือความจริง
มือเหี่ยวย่นสองข้างยื่นหาใบหน้าเล่งหยาอย่างสั่นสะท้าน ลูบผ่านอย่างทะนุถนอม “เสี่ยวฟง…เจ้าคือเสี่ยวฟง…ตอนนี้แม่เห็นเจ้าแล้ว ในที่สุดแม่ก็เห็นเจ้าแล้ว…”
เล่งหยาราวกับถูกทุบด้วยค้อนหนัก ร่างของเขาสะท้านสั่นไหว อึดใจต่อมาน้ำตาของเขาก็ไหลพรั่งพรู ผ่านเหตุการณ์หล่อหลอมจนเป็นเขามาเนิ่นนาน แต่ตอนนี้ บุรุษเลือดเย็นได้โยนทิ้งทุกสิ่งไป ผวาร่างเข้าหาอ้อมกอดของมารดาแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น ปลดความเจ็บปวดและขุ่นเคืองที่แบกรับมาสิบปี ช่างเป็นช่วงเวลาสิบปีที่นานแสนนาน…
“ถูกคมกระบี่ และดูจากบาดแผลแล้ว ดวงตาทั้งสองสมควรบอดในทันที ดวงตายังคงสมบูรณ์แต่ไม่อาจมองเห็นได้ ความยากลำบากที่นางต้องเผชิญย่อมไม่อาจจินตนาการ ในทวีปเทียนเฉินสมควรมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้”
เขายังคงได้ยินเสียงร้องไห้ของสองแม่ลูก เย่หวูเฉินเดินกลับไปที่ห้องของตนเองขณะครุ่นคิด
เมื่อเข้ามาในห้อง หนิงเสวี่ยยังคงซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม โผล่ออกมาเฉพาะดวงตา นางยื่นแขนงดงามทั้งสองข้างและกล่าวอย่างน่ารัก “ท่านพี่ ช่วยสวมชุดให้ข้าหน่อย”
เย่หวูเฉินหัวเราะ ก้าวไปอยู่ข้างๆเตียงเอาชุดของนางมาให้ “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าชักขี้เกียจขึ้นทุกวันๆแล้วนะ”
“เพราะว่าข้าชอบเวลาท่านพี่แต่งตัวให้” หนิงเสวี่ยเอ่ยเสียงเบา ยังคงทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจ เย่หวูเฉินเอาแขนรวบนางมาทั้งผ้าห่มและช่วยนางแต่งตัว