เย่หวูเฉินลุกขึ้นนั่ง กอดนางไว้ในอกและยิ้มถาม “ดีขึ้นหรือยัง?”
พอรู้สึกถึงใบหน้าตัวเองที่เปียกเยิ้ม เขายิ้มและลอบส่ายศีรษะ ทงซินมักจะปลุกเขาให้ลุกขึ้นจากเตียงด้วยวิธีการพิเศษเฉพาะ
ทงซินผงกศีรษะ ก้มลงกัดอกตรงที่มีเสื้อผ้าบางๆกั้นอยู่ ราวกับร่างของเขามีกลิ่นที่นางชื่นชอบ แม้ว่านางจะตื่นแล้ว แต่เย่หวูเฉินสัมผัสได้ว่าพลังของนางฟื้นกลับมาเพียงหนึ่งในสิบส่วน ทว่าด้วยความเร็วเพียงนี้ก็นับว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว
ที่ข้างๆ หนิงเสวี่ยยังคงนอนหลับอุตุ ยังไม่ตื่นขึ้นเพราะพวกเขา ด้านนอกมีแสงสว่างส่องเข้ามา เย่หวูเฉินไม่ได้ปลุกหนิงเสวี่ย เขาลุกออกจากเตียงช้าๆ แล้วจูงมือทงซินเดินออกไป
ทงซินไม่มีอาการนอนมากเหมือนหนิงเสวี่ย ตรงกันข้าม เวลาหลับของนางจะสั้นมาก ทุกครั้งที่เข้านอนพร้อมกันกับเย่หวูเฉินและหนิงเสวี่ย นางจะตื่นเป็นคนแรกอยู่เสมอ จากนั้นจะมองเย่หวูเฉินอยู่เงียบๆ หรือไม่ก็ปลุกเขาด้วยวิธีการเฉพาะตัว และรอดูเขาลืมตาขึ้น
ทางทิศตะวันออกสว่างแล้ว เย่หวูเฉินออกจากกระท่อมมุงหลังเล็ก สูดหายใจเอาอากาศสดชื่นที่ยังมีกลิ่นน้ำค้าง มองไปรอบๆและเดินตรงไปยังที่แห่งความทรงจำช้าๆ
“ทงซินชอบที่นี่มั้ย?” มุมปากของเย่หวูเฉินเป็นรอยยิ้มปราย เขาเดินไปขณะถาม
ทงซินเอียงศีรษะถูไถกับแขนเขาราวกับแมวที่เพิ่งตื่น นางเคลื่อนกายอย่างเกียจคร้าน ทุกๆครั้งในทุกวัน นางจะอิจฉาหนิงเสวี่ยที่ถูกเขากอดอยู่ในอ้อมแขน เวลานี้นางพิงร่างอยู่ในแขนและสัมผัสความอบอุ่นอันปลอดภัยไร้บรรยาย นางคือผู้ทำทวีปเทียนเฉินต้องแตกตื่น จากข่าวของสตรีเทพพิโรธที่สร้างหายนะสาหัสให้กับสำนักจักรพรรดิใต้ พลังของนางเทียบกับเย่หวูเฉินแล้วไม่รู้ทิ้งห่างไปกี่เท่า ทว่านางยังคงรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยอันแสนประหลาด เป็นความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในหัวใจ ความรู้สึกนี้ทั่วหล้ามีเพียงเย่หวูเฉินที่มอบให้นางได้ นางค่อยๆปิดตาลง ปรารถนารื่นรมณ์กับสัมผัสขณะหลับไหลเช่นเดียวกับหนิงเสวี่ย
เบื้องหน้าเป็นลำธาร กระแสน้ำไหลมาจากภูเขา ใสกระจ่างจนเห็นกรวดหินใต้ธารอย่างชัดเจน ปลาเล็กๆแหวกว่ายพ่นฟองอากาศ เขาหยุดลงที่ริมธารและมองอยู่ชั่วขณะ แย้มยิ้มและกล่าว “ตอนนั้น ณ ที่แห่งนี้ ข้ากุมมือเสวี่ยเอ๋อร์และบอกกับนางให้เรียกข้าเป็นพี่ชาย เวลานั้นนางเพิ่งมาถึงที่นี่เช่นเดียวกับข้า นางไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมาโผล่อยู่ที่นี่ นางถูกคนมากมายรังแก ไม่อาจหาสิ่งใดมากินได้ ทุกวันท้องของนางว่างเปล่า หากไม่ใช่เพราะบางครั้งได้ผลไม้จากพี่ใหญ่ฉู่ นางคงหิวตายอยู่ในที่แห่งนี้” นึกถึงคืนที่ได้พบกับหนิงเสวี่ยครั้งแรก หัวใจเขารู้สึกเจ็บปวด ขณะเดียวกันยังผุดความรู้สึกอบอุ่น “พอมานึกดูแล้ว ตอนนั้นคือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตข้า หากไม่ใช่เพราะพบกับเสวี่ยเอ๋อร์ ข้าคงเดินจากมาและมีชีวิตที่ต่างออกไป…. หรือบางที ข้าอาจไม่มีชีวิตอยู่แล้ว”
ทงซินฟังอยู่อย่างนิ่งงัน ดวงตาดำขลับเป็นประกายบางครั้งก็ปิดลง บางครั้งก็ลอบแหงนมองใบหน้าเขา บางครั้งก็กระพริบตาปริบ ที่บ่อยกว่าคือขยับร่างถูไถไปกับกาย อยากแนบร่างให้ชิดขึ้น ไม่ว่าขณะนอนหลับหรือพิงอยู่ในแขนของเย่หวูเฉิน นางไม่เคยนิ่งสงบเหมือนหนิงเสวี่ย
เดินเลาะไปตามลำธาร สายลมเย็นโชยผ่าน กระแสน้ำตรงหน้ากระจ่างใส ดูแล้วมันกว้างขึ้นและลึกขึ้นกว่าเดิม ฝูงปลายังมากขึ้น และตัวโตขึ้นมาก
“รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงตั้งชื่อเสวี่ยเอ๋อร์ว่า ‘หนิงเสวี่ย’?” เย่หวูเฉินหยุดเท้าใกล้ขอบธาร โน้มศีรษะลงและแตะจมูกเล็กๆของทงซินขณะกล่าว
ทงซินขยับจมูกและเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยดวงตาดำขลับเป็นประกาย
เย่หวูเฉินยิ้มและกล่าวตอบเสียงเบา “ทั้งเสื้อผ้า , เส้นผม และผิวพรรณของเสวี่ยเอ๋อร์ ล้วนขาวกระจ่างเช่นเดียวกับหิมะ ครั้งแรกที่ข้าเห็นนาง ข้ายังนึกว่าตัวเองได้พบกับภูติหิมะ ดังนั้นข้าจึงมอบชื่อ ‘หนิงเสวี่ย’ ให้กับนาง…. แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงตั้งชื่อ ‘ทงซิน’ ให้กับเจ้า?”
(โน๊ต : หนิง แปลว่า รวมกัน/แข็งตัว/มั่นคง , เสวี่ย แปลว่า หิมะ)
ทงซินยังคงมองตาแป๋ว หากประกายในแววตาบ่งบอกว่านางอยากรู้คำตอบ
“ทงซิน” เย่หวูเฉินกอดนางไว้ในแขนเดียว จากนั้นยกมือขวาลูบสัมผัสใบหน้านาง สัมผัสความนุ่มละมุนเกินบรรยาย เขามองตานางและกล่าว “รู้หรือไม่ว่าเจ้าคือสตรีที่งดงามมาก หากเจ้าโตขึ้น ข้าเชื่อว่าในโลกนี้ไม่มีผู้ใดที่งดงามเทียบเจ้าได้ และสิ่งที่น่าหลงใหลที่สุดในตัวเจ้าคือดวงตา”
ทงซินฟังอย่างนิ่งงัน เอียงศีรษะนิดหนึ่งและกระพริบตา นางชอบฟังเขาชื่นชมตัวเองว่างดงาม เช่นเดียวกับคำที่เขาเพิ่งพูดออกมาในตอนนี้
“ตอนที่โชคชะตานำพาให้พวกเราพบกันในสถานการณ์ที่แปลกประหลาด ข้าก็สัมผัสถึงหัวใจและความรู้สึกของเจ้าได้จากดวงตา ดังนั้นข้าจึงนึกชื่อของเจ้าขึ้นมาว่า ‘ทงซิน’” เย่หวูเฉินโน้มกายลงและจุมพิตที่ดวงตานาง จากนั้นมองดวงตาที่ดำดุจรัตติกาลและยิ้มเงียบๆ เขาไม่กล้าจินตการถึงวันหนึ่งที่ไม่อาจเห็นดวงตาคู่นี้ ในสายตาของเขา ดวงตาคู่นี้ไม่ใช่ดวงตาแห่งปีศาจที่สร้างซากศพจนเกลื่อนกล่น สำหรับเขา นี่คือคู่ดวงที่งดงามที่สุดในโลก เพราะสีสันแห่งแววตานางแตกต่างจากคนอื่นโดยสิ้นเชิง มันเป็นเฉพาะของนางเท่านั้น
(โน๊ต : ทง แปลว่า ดวงตา , ซิน แปลว่า หัวใจ)
คิ้วบางของทงซินโค้งขึ้นเล็กน้อย…. ปรากฎรอยยิ้มบนใบหน้า
รูปลักษณ์ของนางเห็นได้ชัดว่าเป็นสาวน้อยอายุราว 12-13 ขวบ ทว่าเย่หวูเฉินรู้สึกได้ถึงรอยยิ้มที่มีเสน่ห์รุนแรง เขาเงยศีรษะขึ้นและยิ้มบาง จากที่เขากล่าวว่าหากทงซินเติบโตขึ้น ผู้ใดก็ไม่อาจต้านทานแม้เพียงรอยยิ้มธรรมดาจากนาง นางไม่ใช่คนของทวีปเทียนเฉิน และความสมบูรณ์แบบของดวงหน้านาง ไม่อาจเปรียบเทียบกับชาวทวีปเทียนเฉินได้
“ทงซิน มื้อเช้าวันนี้ พวกเรากินปลากันดีมั้ย?” เห็นธารน้ำไหลเอื่อย พร้อมฝูงปลาที่แหวกว่ายหลายขนาด เย่หวูเฉินก็มองเห็นภาพพวกเขานั่งกินปลาด้วยกัน
สำหรับทงซิน ไม่ว่าเย่หวูเฉินจะพูดสิ่งใดนางจะเชื่อฟัง นางพยักหน้าเงียบงัน จากนั้นรอให้เย่หวูเฉินกล่าวต่อ “เอาละ ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาแข่งกันดีรึเปล่า? มาดูว่าใครจะจับปลาได้เยอะกว่ากัน หากข้าแพ้จะต้องถูกลงโทษโดยการอุ้มทงซินหนึ่งวัน แต่ถ้าทงซินแพ้….”
เย่หวูเฉินหยุดคำไม่กล่าวต่อ ทว่าขณะที่เขาครุ่นคิดทงซินก็หายไปจากแขน นางปรากฎตัวอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นราวกับสายลมพัดโถมมาจากทุกทิศทาง ทั้งเสื้อผ้าเส้นผมโบกพริ้วไปกับสายลม ดวงตานางจับจ้อง ฝ่ามือทั้งสองข้างผลักออก ราวกับถูกพลังเหนือล้ำเข้าห่อหุ้ม กระแสลมพุ่งลงมาจากสองข้างของร่างกายนาง…. ทิศทางที่มันมุ่งไป คือธารน้ำที่อยู่เบื้องล่าง
ซู่ม~~~~
สายลมกระทบน้ำในลำธารจนกระจายขึ้น หยดน้ำกระเซ็นพร่างกลางอากาศ ราวกับแผ่นน้ำถูกม้วนห่อ มันถูกยกขึ้นแล้วแยกออกด้วยสายลม จากนั้นปลาถูกแยกออกจากน้ำอย่างรวดเร็ว โดยไม่ปล่อยให้เหลือรอดเพียงสักตัว
ผ่านไปครู่เดียว กระแสลมสองสายก็ม้วนกลับจากท้องฟ้าลงมาอย่างรวดเร็ว เมื่อสายลมใกล้เข้ามา แสงอาทิตย์ก็ถูกกลุ่มก้อนบางสิ่งบังเป็นเงา เมื่อลงถึงพื้นก็มีเสียง ‘ซ่า’ และ ‘ตุบตับ’ ดังสนั่น เป็นเสียงน้ำที่กลับลงธารและปลาน้อยใหญ่ที่กระโดดดิ้นบนพื้น
ตอนนี้ ปลาน้อยใหญ่กองกันเป็นภูเขาขนาดย่อม เย่หวูเฉินนิ่งค้างขณะหนึ่งก่อนจะคืนสติกลับ เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาละ….ข้าคงต้องยอมแพ้อย่างเดียวสินะ”
หลังจากการต่อสู้ของเมื่อวาน ทงซินฟื้นพลังกลับได้เพียงหนึ่งในสิบส่วน แม้จะเป็นพลังแค่นั้นก็ยังน่าหวั่นกลัว อย่างน้อยก็แกร่งกว่าเย่หวูเฉินนับร้อยเท่า ด้วยพลังของนาง ปลาในละแวกนี้ถูกลมม้วนขึ้นและจับออกมาทั้งหมด ไม่เหลือไว้ให้เย่หวูเฉินจับอีกแม้แต่ตัวเดียว
ทงซินลอยลงจากอากาศ ค่อยๆแตะเท้ากับพื้นอย่างนุ่มนวล จากนั้นกางแขนกว้างและมองหน้าเย่หวูเฉิน ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า
เย่หวูเฉินเผยยิ้มอ่อนโยน อุ้มทงซินขึ้นกอดในอ้อมแขนทันที “เอาละ ข้าแพ้แล้ว ข้าจะอุ้มทงซินไว้ให้แน่น ไม่ปล่อยออก”
ทงซินที่อยู่ในอ้อมแขนขยับกายเล็กน้อย แผ่ความสบายใจรื่นรมณ์
ที่ข้างหู มีเสียงเบาบางอย่างยิ่งลอยมา เห็นได้ชัดว่าอยู่ไกลมาก หากเย่หวูเฉิยยังคงได้ยินอย่างชัดเจน เขาจับปลาขึ้นมาหลายตัว จากนั้นหันกายและเดินกลับ “วันนี้เสวี่ยเอ๋อร์ตื่นแต่เช้า พวกเรากลับไปกินปลาที่นั่นกันเถอะ”
เมื่อกลับมาจนใกล้ถึงกระท่อมมุงหลังเล็ก ก็เห็นหนิงเสวี่ยยืนรอพวกเขาอย่างใจจดใจจ่ออยู่ตรงนั้น พอเห็นพวกเขากลับมา นางก็วิ่งเข้าหาอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่จับปลามาด้วย ข้าไม่ได้กินปลาที่ท่านพี่ย่างมานานแล้ว….เอ๋? พี่ทงซินตื่นแล้วเหรอ?”
ทงซินเงยหน้าและยิ้มนุ่มนวลให้กับนาง
“ดีแล้วล่ะ เมื่อวานนี้ท่านพี่บอกว่าพี่ทงซินเหนื่อยมาก ท่านต้องพักผ่อนให้มากนะ” หนิงเสวี่ยยิ้มอย่างมีความสุข น้ำเสียงอ่อนหวานแฝงความห่วงใย นอกจากเย่หวูเฉินแล้ว ทงซินคือญาติสนิทที่สุดสำหรับนาง ขณะเดียวกัน ในใจลึกๆนางยังยินดีและอิจฉาต่อทงซิน อิจฉาและยินดีที่ทงซินสามารถช่วยเหลือและปกป้องเย่หวูเฉินได้ด้วยพลังตนเอง
เย่หวูเฉินนั่งลงบนพื้นและวางทงซินไว้บนตัก จากนั้นยิ้มกล่าว “หลายวันต่อจากนี้ พวกเขาจะกินของย่างกันทุกวัน เสวี่ยเอ๋อร์อยากกินอะไรมากที่สุด?”
“ฮี่ๆ ท่านพี่ย่างอะไรก็อร่อยที่สุดอยู่แล้ว” หนิงเสวี่ยรวบชายกระโปรงและนั่งลงข้างเย่หวูเฉิน นัยน์ตางามจดจ้องขณะที่เขาเตรียมของต่างๆจากแหวนเทพกระบี่ พื้นบริเวณนี้เปียกชื้นเล็กน้อย หญ้าเขียวขึ้นเป็นผืนบาง อีกทั้งยังเป็นยามเช้า น้ำค้างจึงเกาะอยู่ทั่วบริเวณ ดังนั้นจึงไม่กังวลเรื่องไฟลามหากจะก่อกองไฟขึ้นตรงนี้
เพียงครู่เดียว กองไฟก็ถูกก่อขึ้น มีควันเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มของหนิงเสวี่ย เย่หวูเฉินค่อยๆเสียบปลาด้วยกิ่งไม้สด สัมผัสถึงทงซินที่เบียดร่างอย่างคลั่งไคล้ ฟังเสียงหัวเราะร่าเริงของหนิงเสวี่ยที่ข้างหู หากกล่าวว่านี่คือสวรรค์คงไม่นับว่าเกินเลย
ทว่า หากทุกสิ่งดำเนินเช่นนี้ตลอดไป มันจะเป็นชีวิตที่เขาปรารถนาถึงจริงๆหรือ?