เย่หวูเฉินอยู่ในห้องเย่ฉุ่ยเหยาเป็นเวลานานโดยไม่ไปไหน รอคอยให้พลังของเซียงเซียงฟื้นกลับมา ทงซินยังคงหลับไหลอยู่ในอ้อมแขน ไร้สัญญาณว่าจะตื่น เมื่อถึงเวลาย่ำค่ำ ไม่นานรัตติกาลจะมาย่ำเยือน เย่หวูเฉินจึงปลุกเซียงเซียงในที่สุด เขาปิดตาลงและกล่าวกับนางในความคิด “เซียงเซียง ดูสถานที่ที่ข้านึกในใจให้ดี….แล้วไปที่นั่นกัน”
สาวน้อยตัวเล็กกระพริบตาปริบ ลอบมองไปยังหนิงเสวี่ยและยิ้มให้นาง จากนั้นหลับตาลง สัมผัสความคิดของเย่หวูเฉินด้วยหัวใจ ทันใดนั้น แสงสีขาวก็ขยายวงกว้างจากร่างนางอย่างรวดเร็ว ปกคลุมพวกเขาและนำจากไป
แสงขาวตรงหน้าเริ่มพร่าไหว เพียงพริบตาโลกรอบกายก็เปลี่ยนไป เซียงเซียงหายไปไร้ร่องรอย ที่นี่เป็นสนามหญ้ากว้างรายล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ในหูมีเสียงลมพัดรื่นเริง จมูกสูดกลิ่นสดชื่นของอากาศที่เปี่ยมไปด้วยไอดิน ผ่านไปกว่าสามปี ทุกสิ่งที่แห่งนี้ยังคงเหมือนเดิม ไม่ผิดเพี้ยนจากทรงจำแม้แต่น้อย พอเห็นฉากคุ้นเคยที่อยู่ตรงหน้า ความทรงจำในอดีตก็ผุดขึ้น สำหรับเขาที่นี่คือจุดเริ่มต้นในทวีปเทียนเฉิน ในขณะที่หลายสิ่งเปลี่ยนไป ที่แห่งนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทันทีที่เขาปรากฎกาย หัวใจก็สงบลงอย่างประหลาด ไร้ความรู้สึกถึงภาระใดอีก
“ท่านพี่ ที่นี่ให้ความรู้สึกที่….ดีจริงๆ ข้าเคยหวังว่าจะได้กลับมา บางครั้งยังเก็บเอาไปฝัน ที่แห่งนี้ข้าได้พบกับท่านพี่…. บางทีข้ายังคิด ว่าหากข้าไม่ได้มาปรากฎอยู่ที่นี่ ข้าก็คงไม่ได้พบท่าน และข้าจะทำยังไง….” มองยังสถานที่แห่งความทรงจำ นัยน์ตาของหนิงเสวี่ยก็ครอบคลุมด้วยม่านน้ำใสบาง
“ถูกต้อง ที่แห่งนี้พวกเราไม่อาจลืมได้…. เสวี่ยเอ๋อร์ ไม่เพียงแค่เจ้าหรอกนะ ข้าเองก็คิดอยู่บ่อยๆเช่นกัน ว่าหากข้าไม่ได้พบเสวี่ยเอ๋อร์ ข้าควรจะทำยังไง”
พวกเขาสื่อดวงใจด้วยสายตาที่มองกัน ชายหนุ่มอายุ 20 ปีผู้หนึ่ง กับเด็กหญิงอายุราว 10 ขวบ ทั้งสองต่างเข้าใจหัวใจของอีกฝ่าย ความผูกพันแห่งโชคชะตาที่ไม่อาจตัดขาด ไม่ใช่ผูกพันแบบครอบครัว เพราะยิ่งกว่าครอบครัว ไม่ใช่ความรัก เพราะเหนือกว่าความรัก ไม่เพียงซับซ้อน แต่ยังบริสุทธิ์เหนือสิ่งอื่นใด มีไม่กี่คำที่อธิบายความผูกพันระหว่างพวกเขา มันเป็น….ความปรารนาที่จะพึ่งพิงหัวใจไว้กับอีกฝ่ายตลอดกาล หากสูญเสียอีกฝ่ายไป โลกทั้งใบจะหม่นลงจนไร้สีสัน
บางครั้ง เย่หวูเฉินก็เกิดความคิดที่จะพาหนิงเสวี่ยและผู้คนที่สำคัญรอบกายไปอยู่ในสถานที่ถูกลืม ใช้ชีวิตอย่างสงบตลอดไป…. ทว่า โลหิตที่ไหลเวียนในกระดูกลิขิตให้เขาไม่อาจเป็นเช่นนั้นได้ และต่อให้เขาจะคิดจริงๆ ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะทำแบบนั้นได้
“ท่านปู่ฉู่ ข้ากลับมาแล้ว!” เย่หวูเฉินเปล่งเสียงตะโกนดังไปเบื้องหน้า ราวกับอากาศทั้งปอดถูกปล่อยออก ทุกความรู้สึกอัดอั้นถูกปลดปล่อย เป็นความรู้สึกผ่อนคลายที่ไม่ได้สัมผัสมานาน
หนิงเสวี่ยเลียนแบบแล้วเอาบ้าง ตะโกนสุดเสียงไปเบื้องหน้าอย่างอ่อนหวาน “ท่านปู่ฉู่ เสวี่ยเอ๋อร์กลับมาแล้ว”
“ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ จากกันไปเนิ่นนาน ในที่สุดเจ้าก็อยากกลับมาเยี่ยมชายชราผู้นี้แล้ว”
เหนือตอไม้ที่คุ้นเคย ฉับพลันก็ปรากฎชายชราใบหน้าอ่อนโยน เขานั่งอยู่อย่างเงียบงัน จับไม้เท้าที่คุ้นเคยไว้ในมือ มองมายังพวกเขาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เมื่อครู่ยังไม่มีใครเหนือตอไม้ ราวกับเขาพลันปรากฎกายออกมา ไม่มีใครตรวจพบการปรากฎตัวของเขาได้ ราวกับว่าเขาอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรก แต่ทว่าคนอื่นมองไม่เห็นเขาเอง
“ท่านปู่ฉู่!” หนิงเสวี่ยที่อยู่ข้างกายยิ้มแฉ่ง ตะโกนด้วยความสุขนุ่มนวลเหนือสิ่งเปรียบ เย่หวูเฉินอุ้มทงซินและจูงมือหนิงเสวี่ยก้าวตรงไปหา “ท่านปู่ฉู่ ไม่ได้พบกันเพียงเดือนเดียว พลังยุทธของท่านกลับก้าวหน้าขึ้นมากอย่างคาดไม่ถึง คู่ควรแล้วกับสมญาอันยิ่งใหญ่แห่งเทพกระบี่”
ฉู่ชางหมิงเมื่อได้ยินก็ยิ้มบางและกล่าวตอบ “หากพูดถึงความก้าวหน้า ไหนเลยชายชราผู้นี้จะเทียบกับจักรพรรดิมารได้”
เย่หวูเฉินสั่นศีรษะบาง จากนั้นกล่าวตอบอย่างสงบ “จักรพรรดิมาร….เป็นเพียงตัวตนที่ใช้หลอกลวงผู้คนให้หวาดกลัว หากเทียบตัวข้าในยามนี้กับท่านปู่ฉู่ ยังถือว่าต่างกันมากห่างไกล หรือหากเทียบกับพี่ใหญ่ฉู่แล้ว ก็ยังนับว่ามีช่องว่างที่ห่างกันอยู่” เขายิ้มบางและกล่าวคล้ายเสียใจ “อย่างไรก็ตาม ด้วยพรสวรรค์ล้ำเลิศของพี่ใหญ่ฉู่ ในวันหน้าเขาย่อมเหนือล้ำกว่าท่าน บางที อีกไม่นานเขาอาจบรรลุความปรารถนาแทนท่านที่ค้างคามาทั้งชีวิต”
ฉู่ชางหมิงแววตาขยับไหว ยกมือลูบหนวดเครา เขายิ้มด้วยความยินดี “ตัวข้าก็ชราแล้ว โลกนี้อย่างไรก็เป็นของพวกเจ้าคนหนุ่ม ต้าหนิวบรรลุผลลัพธ์เช่นวันนี้ได้ ล้วนเป็นไปตามที่ข้าคาดการณ์ มีหลานชายถึงปานนี้ ชีวิตข้าไม่มีสิ่งใดให้เสียใจแล้ว”
เย่หวูเฉินจูงหนิงเสวี่ยมานั่งลงข้างๆฉู่ชางหมิง สายตามองไปที่ห่างไกลขณะกล่าว “ท่านปู่ฉู่ มีบางสิ่งที่ท่านทำผิดพลาดมาตั้งแต่แรก พี่ใหญ่ฉู่มาที่นี่ตอนอายุห้าขวบ ถูกปิดกั้นสันโดษจากโลกภายนอก ไม่มีคนอื่นที่ฝึกฝนกระบี่อีก เขาไม่มีสหายคนใดให้เปิดใจ ด้วยสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ เขาจึงงมงายในกระบี่ชางหมิงมาตั้งแต่เด็ก ใฝ่ฝันจะได้ถือกระบี่ท่องหล้า ทว่าท่านปู่ฉู่หวั่นเกรงพลังกระบี่ชางหมิงในมือ ให้เขาอาศัยพลังตนเพิกเฉยการฝึก ‘ปราณ’ มุ่งความสนใจไปที่ ‘กระบวนท่า’ และไม่ได้ส่งทอดกระบี่ในมือให้ สามปีที่แล้วเมื่อพี่ใหญ่ฉู่ได้รับกระบี่ชางหมิงเขาพัฒนาขึ้นเพียงใด หากท่านปู่ฉู่มอบกระบี่ชางหมิงให้เขาตั้งแต่เด็ก เขาจะลุ่มหลงกระบี่สุดหัวใจ และต่อให้เขาไม่ต้องการ ผลลัพธ์ที่เขาบรรลุจะต้องเหนือล้ำกว่าทุกวันนี้”
ฉู่ชางหมิงเงียบงันเป็นเวลานาน เขาถอนหายใจลึก “หนึ่งเดือนก่อน ข้าถึงได้รู้ว่านั่นคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ข้ากระทำมาตั้งแต่แรก ทุกคนมีวิถีกระบี่เป็นของตัวเอง วิถีกระบี่ของข้าไม่ได้เหมาะกับเขา…. หากไม่ใช่เพราะเล่งหยาปรากฎตัว ข้าคงทำลายพรสวรรค์ของเขาไปแล้ว”
“ชั่วชีวิตนี้ของข้า น้อยนักที่จะผิดพลาดครั้งใหญ่ คิดไม่ถึงว่าข้าจะอ่านครอบครัวที่เหลือเพียงคนเดียวผิดไป ทว่าคนที่ข้าอ่านไม่ผิดพลาดเลยก็คือเจ้า” ฉู่ชางหมิงหรี่ตาลงและกล่าวช้าๆ “เมื่อข้าเก็บเจ้ามาในครั้งอดีต ข้าก็รู้ว่าเจ้าถูกลิขิตให้ไม่ธรรมดา สามปีก่อนที่เจ้าจากไปในครานั้น ข้าก็คาดการณ์ว่าทวีปเทียนเฉินจะถูกเคลื่อนลมฟ้าด้วยมือเจ้า ตอนนี้….เป็นอันแน่นอน ในปีนั้น ผู้คนทั่วหล้าต่างคิดว่าเจ้าตกตาย หากข้ายังคงเชื่อมั่นว่าเจ้ายังมีชีวิต แม้ตลอดสามปีจะไร้ข่าวคราวของเจ้าใดๆ ทว่าข้ายังคงคาดหวังว่าเจ้าจะปรากฎตัวขึ้นสักวัน ดังนั้น ตลอดสามปีข้าจึงไม่บอกข่าวการตายของเจ้าที่ใต้หุบเหวปลิดวิญญาณให้กับต้าหนิวและเล่งหยาฟัง อย่างไรก็ตาม หากไม่ใช่เพราะเจ้าเชิญข้าไปงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ข้าคงคิดไม่ถึงว่าสำนักมารจะเป็นของเจ้า ฮี่ ฮี่ ดูเหมือนว่าข้ายังคงประเมินเจ้าต่ำเกินไป”
เขาหันศีรษะมา ใช้ดวงตาชรามองทงซินที่กำลังหลับไหลอย่างเงียบงัน “นางคือสตรีเทพพิโรธ”
“นางไม่ใช่สตรีเทพพิโรธคนเก่า” เย่หวูเฉิบลูบมือสัมผัสใบหน้าทงซิน แล้วกล่าวอย่างจริงจัง “นางเรียกว่าทงซิน เป็นเงาติดตามข้าเช่นเดียวกับเสวี่ยเอ๋อร์ เป็นน้องสาวที่ข้าจะไม่มีวันทอดทิ้ง คือผู้ที่จะปกป้องข้าตลอดไป เช่นเดียวกับที่ข้าจะปกป้องนางตลอดไปเช่นกัน”
ฉู่ชางหมิงหัวเราะ พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นไม่กล่าวคำอีก บางเรื่องเขารู้ดีว่าไม่จำเป็นต้องรู้มากเกินไป
“ท่านปู่ฉู่ ตอนนี้ที่นี่มีแต่ท่านเหรอ? แล้วคนอื่นๆล่ะ?” หนิงเสวี่ยชะโงกหน้าออกมาถาม นางเพิ่งมองสำรวจไปรอบๆ ที่นี่นอกจากเสียงพูดคุยของพวกเขาก็ไร้เสียงของผู้ใด มันเงียบสงบเป็นอย่างมาก
“ฮี่ ฮี่ สามปีก่อนหลังจากที่ม่านปราการถูกทำลาย พวกเขาก็ได้จากไปทีละคน ไม่มีผู้ใดที่กลับมา เวลาผ่านไป จนข้าไม่อาจจดจำชื่อของคนเหล่านั้นได้อีก แต่เป็นเช่นนี้ก็นับว่าดีแล้ว ทั้งดีต่อข้าและดีต่อเจ้า ไม่ต้องพะวงว่าจะถูกรบกวนจากคนนอก” ฉู่ชางหมิงยิ้มกล่าวอย่างอ่อนโยน
เย่หวูเฉินพยักหน้า ทันทีที่หนิงเสวี่ยถามเขาก็รู้คำตอบ พวกเขามีสภาพเหมือนคนสกุลเหยียนที่ติดอยู่ใต้หุบเหวปลิดวิญญาณมาทั้งชีวิต ทุกเวลาคือโหยหาถึงโลกภายนอก ฉู่จิงเทียนก็เป็นหนึ่งในนั้น เย่หวูเฉินกล่าว “ท่านปู่ฉู่ พวกเรามาในครั้งนี้ เพื่อลี้ภัยชั่วคราว”
“ด้วยพลังแกร่งกล้าของสตรีเทพพิโรธ เวลานี้กลับเหือดแห้งจนใกล้หมด คิดได้เพียงนางไปออกศึกมา ทว่าสามารถบีบคั้นนางได้ถึงระดับนี้ คงมีเพียงสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือเท่านั้น….ฮี่ ฮี่ ในเมื่อมาแล้วก็วางเรื่องอื่นไว้เบื้องหลังเถอะ พักผ่อนให้สบาย วันหน้าข้ายังรอเจ้ากับต้าหนิวให้เคลื่อนลมฟ้าของโลกใบนี้อยู่”
ฉู่ชางหมิงยิ้มลึกลับ เขายืนขึ้นจากตอไม้และก้าวเท้าอย่างเงียบงัน ปล่อยเย่หวูเฉินทิ้งไว้ เย่หวูเฉินมองแผ่นหลังที่แม้ชรา แต่ยังคงทรนงดุจขุนเขา
เย่หวูเฉินรอจนกระทั่งแผ่นหลังของเขาหายลับไปจากสายตา จากนั้นหันศีรษะและกล่าวพึมพำ “เคลื่อนลมฟ้าของโลกใบนี้….ข้าเองไม่ได้ต้องการแบบนั้น ทว่าข้าถูกบังคับให้ต้องทำ….หากสามารถควบคุมโลกนี้ได้ทุกสิ่งก็จบลง และนั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น”
เขากระซิบเสียงเบา กอดหนิงเสวี่ยและทงซินไว้ในอ้อมแขน ฟ้าได้มอบของขวัญล้ำค่าให้เขามากมาย ทว่ายังลิขิตให้ชีวิตเขายุ่งยาก และความยุ่งยากเหล่านี้ ยังยากที่จะผ่านพ้น
ม่านรัตติกาลมาเยือน ทุกเสียงแห่งธรรมชาติดังระงมขึ้น สภาพอากาศเห็นได้ชัดว่าเป็นฤดูใบไม้ร่วง เขานอนบนเตียงแข็งเปล่าๆ นอกจากไม่เพียงเขาไร้ความรู้สึกไม่สบาย กลับกันมันให้สัมผัสอบอุ่นที่น่าพึงใจ
เตียงไม้เปล่าในกระท่อมมุงหลังเล็กๆนี้ คือที่ๆเขาหลับไหลมากว่าสิบปี สำหรับหนิงเสวี่ยนี่คือเตียงหลังแรกของนาง เป็นครั้งแรกที่นางนอนหลับในอ้อมแขนของพี่ชาย เป็นครั้งแรกที่นอนหลับอย่างสุขสงบ เป็นที่ๆนางได้มีชื่อเป็นของตัวเอง แผ่นเตียงแข็งเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังรู้สึกเย็นเกินไป ทว่าเพราะพิงอยู่กับเย่หวูเฉิน นางจึงหลับไหลไปอย่างรวดเร็ว มุมปากยังฉายรอยยิ้มแห่งความสุข ดูเหมือนนางจะหลับฝันหวานอยู่
เย่หวูเฉินปิดตาลงและหลับอย่างรวดเร็ว
คืนนี้เขาไม่จำเป็นต้องกังวลถึงสิ่งใด เขาหลับลึกเป็นตาย กระทั่งรุ่งเช้าก็ยังไม่ตื่นขึ้น เมื่อแสงตะวันทอแสงกระทบหลังคากระท่อม เย่หวูเฉินก็ยังอยู่ในความฝัน ในความงัวเงียเขารู้สึกมีบางอย่างสัมผัสใบหน้า มันนุ่มนวลราวกับไหม เมื่อเขาตื่นจากภวังค์และค่อยๆลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือคู่ดวงตาของทงซิน
นางนอนทับอยู่บนร่างเขา ทิ้งน้ำหนักตัวน้อยๆลงบนนั้น มองเขาด้วยตาดำเป็นประกายเงียบงัน จากนั้นใช้ลิ้นนุ่มดุจไหมเลียหน้าเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆที่ประจบเจ้านาย ขณะที่เย่หวูเฉินลืมตานางกำลังใช้ฟันขาวดุจไข่มุกกัดริมฝีปากของเขาเบาๆ พอเห็นเขาตื่นขึ้นนางก็มองตาและยิ้มอย่างอ่อนหวาน