เย่หวูเฉินแกะมือซ้ายที่กำไว้แน่นของทงซินออก ในมือน้อยๆมีที่ติดผมสีดำอยู่ ต่อสู้กับสี่ยอดฝีมือเทวะจนแผ่นดินถล่มทลาย กิ๊บติดผมสีดำที่เพียงพลังเล็กน้อยก็ทำลายได้กลับยังมีสภาพสมบูรณ์
เย่หวูเฉินหยิบมันขึ้นและติดกลับคืนให้นางบนศีรษะ วันนี้นางเหนื่อยมากเกินไปจริงๆ การต่อสู้เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอของนาง นอกจากสามปีก่อนที่สู้กับลู่เทียนนางไม่เคยอ่อนล้าถึงขั้นนี้ สี่สุดยอดแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ร่วมมือแทบจะมีพลังไม่ต่างกัน เพื่อที่จะช่วยเขา นางฝืนรั้นกัดฟัน ทำลายขีดจำกัดของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า
ในที่ห่างไกลมีกลิ่นอายอันตรายแผ่พุ่ง เป็นกลิ่นอายของเทวะที่กำลังใกล้เข้ามา เย่หวูเฉินลอยร่างต่ำลง หยุดอยู่ตรงหลังกำแพงหิน เขาปิดตาแล้วกล่าวขึ้น “เซียงเซียง กลับกันเถอะ”
เซียงเซียงปรากฎตัวอยู่บนไหล่ สัมผัสถึงความร้อนใจของเจ้านายได้ นางจึงไม่กล้าชักช้า สองมือน้อยๆยื่นออกมา แสงรัศมีสีขาวขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว ปกคลุมร่างกายของเย่หวูเฉินและทงซินไว้ มีเสียง ‘วิ้ง’ ดังขึ้นบางๆคราหนึ่ง แสงสีขาวหายไปทันที เซียงเซียง , เย่หวูเฉิน , ทงซิน และแสงขาวได้หายไปพร้อมกัน
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ อาวุโสปฐพีและฉุ่ยเสวียนฟงบินตัดอากาศมาถึงด้วยสีหน้าถมึงทึง ทันใดนั้นพวกเขาก็หยุดลง
“….หายไปแล้ว?” อาวุโสปฐพีมองไปที่พื้นรอบๆ กล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ ข้าก็จับสัมผัสไม่ได้เช่นกัน แต่กลิ่นอายของสตรีเทพพิโรธหายไปในบริเวณนี้แน่….เฮอะ พวกมันคงปกปิดกลิ่นอายไว้แล้วซ่อนตัวอยู่แถวนี้ ลองหาดูให้ทั่ว” ฉุ่ยเสวียนฟงมองไปรอบๆ และกล่าวอย่างรอบคอบ
ยอดฝีมือสำนักจักรพรรดิใต้ตามมาถึงอย่างรวดเร็ว จากนั้นแยกย้ายกระจายหาตามบริเวณโดยรอบ ทว่าหลังจากผ่านไปนานก็ยังไม่พบสิ่งใด เวลานี้เอง มีชายชราอายุราว 60 ปีผู้หนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามา พอเห็นอาวุโสปฐพีและฉุ่ยเสวียนฟงก็รีบตะโกนกล่าวขณะที่วิ่งอยู่ “อาวุโสเสวียนฟง รีบกลับไปหาอาวุโสเทียมฟ้าเร็วเข้า อาการของเขาทรุดลงเร็วมาก….รีบมาเร็ว!”
“อะไรนะ?!” ฉุ่ยเสวียนฟงและอาวุโสปฐพีต่างตกใจ หลังจากหันมองกันด้วยสีหน้าว่างเปล่า พวกเขาก็ควบพลังรีบบินกลับไปทันที
ก่อนที่จะกลับถึงบริเวณที่แหลกลานด้วยน้ำมือสตรีเทพพิโรธ เพียงพวกเขาเข้าใกล้ หัวใจก็ต้องตกตะลึง…. พวกเขาสัมผัสกลิ่นอายของอาวุโสเทียมฟ้าได้ ทว่ากลิ่นอายนั้นอ่อนแอถึงขีดสุด ราวกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ดั่งคนชราป่วยหนัก ชีวิตพร้อมดับสิ้นในทุกเวลา
เกิดเรื่องอะไรกันขึ้น!? อำนาจการรักษาของพลังเทวะหยกวารี ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดเข้าใจมากไปกว่าพวกเขา แค่เพียงกริชที่เสียบปักอก…. อย่าว่าแต่กริชเล่มหนึ่งเลย ต่อให้กริชนับร้อยหรือพันเล่ม ตราบใดที่แทงไม่ถูกจุดตายก็ไม่มีวันพรากชีวิตเขาได้ ตรงกันข้าม ด้วยพลังรักษาเขาย่อมฟื้นฟูตัวเองได้เร็วยิ่งจนคนทั่วไปต้องมองโง่งม…. แล้วเหตุใด กลิ่นอายของเขาจึงอ่อนโทรมได้ถึงเพียงนี้!?
พวกเขาเหินร่างลงและหยุดที่ข้างกายอาวุโสเทียมฟ้า ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ถามออกมา ทั้งสองก็ต้องตะลึง เมื่อพบว่าร่างกายของอาวุโสเทียมฟ้าบัดนี้กลายเป็นสีเทาทะมึน ยิ่งกว่านั้น จากความเร็วที่มันแผ่ลาม เพียงมองด้วยตาเปล่าก็ทราบว่ามันลามลึกเพียงใด มันกัดกลืนผิวหนังที่มีเลือดฝาดจนสิ้น ตอนนี้พลังชีวิตของเขาอ่อนโทรมลงเรื่อยๆ ผิวหนังของอาวุโสเทียมฟ้าเหี่ยวแห้งราวกับต้นไม้ชรา เขาอายุราว 70 ปี ทว่ายามนี้กลับดูแก่หงำดุจคนผ่านโลกมานับร้อยปี
“นี่มัน….เรื่องอะไรกัน!” อาวุโสปฐพีแตกตื่น หัวใจตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
ฉุ่ยเสวียนฟงยื่นมือออกจะสัมผัสร่างของอาวุโสเทียมฟ้า ทว่ากลับได้ยินเสียงอ่อนแอของอาวุโสเทียมฟ้าที่กล่าวอย่างแห้งแล้ง “อย่าแตะต้องตัวข้า!”
ฉุ่ยเสวียนฟงหยุดมือกลางอากาศทันที ไม่เคลื่อนมือลงต่ออีก
ผิวของอาวุโสเทียมฟ้ายังคงเปลี่ยนเป็นสีเทาทะมึนไม่หยุด หากมองจากที่ไกลๆ จะเห็นร่างชราที่นอนเหี่ยวแห้งราวกับทำมาจากดินโคลน ริมฝีปากของเขาสั่นเครือ ดวงตาเคลื่อนมองฉุ่ยหยุนหลันอย่างยากลำบาก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแอถึงขีดสุด ทว่ายังคงชัดเจน “ท่าน….ประมุข ผู้ชรา….ไร้สามารถ ไม่อาจ….ที่จะ….”
เสียงของอาวุโสเทียมฟ้าหยุดลง ทุกส่วนในร่างกายกลายเป็นแข็งค้างเวลานี้ ผิวของเขาเป็นสีทะมึนที่ทำผู้คนเย็นเยียบถึงหัวใจ เขายังคงลืมตาค้างอยู่ ริมฝีปากไร้สีสันแห่งโลหิตแม้แต่นิดเดียว…. เขาตายโดยไม่อาจสงบใจ จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่กัดกลืนชีวิตของเขาคือพลังแบบใด
ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งสุดแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ อาวุโสไร้ต้านที่บรรลุขอบเขตพลังเทวะขั้นสูง อาวุโสฉุ่ยผู้กางมือคลุมฟ้า กลับตกตายใต้น้ำมือสตรีเทพพิโรธโดยไร้คำอธิบาย
ในห้วงมิติความมืด ทงซินไม่เพียงเจาะอกอาวุโสเทียมฟ้าด้วยกริชเทพพิโรธเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน นางใช้พลังมรณะทั้งหมดที่โคจรได้ อัดใส่กริชเทพพิโรธและปล่อยเข้าทุกส่วนในร่างกาย ฝังพลังมรณะในร่างเขาดุจเทพแห่งความตาย ให้กัดกลืนพลังและพรากชีวิตเขา
“อาวุโสเทียมฟ้า!!”
“อาวุโสเทียมฟ้า!!”
“อาวุโสเทียมฟ้า~~~~”
เสียงร้องโหยหวนโศกเศร้าของผู้คนดังระงมไปทั่วบริเวณ บรรยากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งธาตุมรณะนำพาความรู้สึกหดหู่ หมู่ตึกขุนเขาจักรพรรดิใต้ปกคลุมไปด้วยความเจ็บปวด อาคารส่วนใหญ่ได้พังทลายลง ตรงกลางปรากฎหลุมลึกขนาดใหญ่ที่คล้ายไม่อาจถมเต็ม ที่ยิ่งน่าตระหนกก็คือ สี่บุคคลผู้แข็งแกร่งสุดแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ คนหนึ่งตกตาย อีกหนึ่งพิการ และอีกสองบาดเจ็บ ยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์และขอบเขตวิญญาณตกตายและบาดเจ็บจำนวนมาก การมาถึงของสตรีเทพพิโรธเป็นประดุจฝันร้าย นำพาหายนะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาสู่สำนักจักรพรรดิใต้ ตัวตนที่ไม่มีใครเคยกล้ายั่วยุ นางทิ้งเงาทะมึนฝังลึกในหัวใจผู้คนสำนักจักรพรรดิใต้ชนิดไม่มีวันลืมเลือน…. พวกเขาย่อมไม่อาจหลับนอนได้สนิทเต็ม เพราะสตรีเทพพิโรธพาเย่หวูเฉินหนีหายไปอย่างปลอดภัย ทั้งไม่ทราบว่าหนีไปที่ใด
ในหูมีเสียงร้องระงมโศกเศร้าต่อการตายของอาวุโสเทียมฟ้า เมื่อมองแขนซ้ายที่ขาดไม่มีวันฟื้นฟูกลับ ฉุ่ยหยุนหลันทุบหมัดลงบนพื้นอย่างรุนแรง…. ทั้งหมดนี้ เพียงเพราะสำนักจักรพรรดิใต้ของเขาจับตัวเย่หวูเฉินมา จนดึงดูดสตรีเทพพิโรธให้ตามมาถึง ตอนนี้คิดสำนึกเสียใจก็สายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องคิดก็คือ จากนี้ไปจะทำอย่างไร จะรับมือกับเย่หวูเฉินด้วยวิธีไหน….
……………..
……………..
เย่ฉุ่ยเหยานั่งเงียบงันอยู่ที่โต๊ะ มองรูปภาพของสตรีงดงามที่อยู่ตรงหน้า นางสงบดุจบัวหิมะที่แย้มบานอย่างเงียบงัน ท่วงท่าที่นั่งอยู่งดงามเป็นอย่างยิ่ง สัดส่วนเรือนโค้งงดงาม ห่างไกลเกินหญิงธรรมดาใดจะเทียบได้ แม้ถูกปิดบังอยู่ใต้อาภรณ์ ก็ยังพอพรากวิญญาณของผู้คน แววตานางคล้ายล่องลอยไม่มั่นคง บางครั้งแน่วแน่ บางครั้งแวววาว ไม่ทราบกำลังคิดสิ่งใด หรือกำลังคิดถึงใคร
หนิงเสวี่ยวางคางบนแขนตนเองที่วางพาดอยู่บนโต๊ะ มืออีกข้างจับแปรงวาดลากไปมาอยู่บนกระดาษ นางกำลังวาดสิ่งใดกระทั่งตัวนางยังไม่รู้ นางแหงนหน้าขึ้นถามด้วยความหวังจริงจัง “พี่หญิง ท่านพี่ยังไม่กลับมาอีกเหรอ?”
ไม่ทราบว่าวันนี้ นางถามแบบนี้มาแล้วกี่ครั้ง
“เดี๋ยวเขาก็กลับมาแล้ว” เย่ฉุ่ยเหยาตื่นจากการเหม่อลอย นางตอบกลับอย่างนุ่มนวล
ราวกับตอบรับคำพูดของนาง ไม่ไกลจากพวกนางนั้น มีแสงขาวอันอบอุ่นสว่างขึ้น เย่หวูเฉินปรากฎกายพร้อมทงซิน พ่นระบายลมด้วยความโล่งใจ เขามองที่เย่ฉุ่ยเหยาและหนิงเสวี่ยด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพี่!” ในคู่ดวงตาของหนิงเสวี่ยเป็นประกายวาววับ นางกระโดดลงจากเก้าอี้ทันที ขยับเท้าน้อยๆวิ่งไปหาเย่หวูเฉิน กระโดดอย่างดีใจและส่งเสียง “ท่านพี่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ออกไปเล่นข้างนอกมีความสุขดีไหม?”
เย่ฉุ่ยเหยาลุกขึ้นยืน เดินมาอยู่ข้างเขา สายตาที่มองนุ่มนวลดุจสายน้ำ
เย่หวูเฉินมองเย่ฉุ่ยเหยาอย่างอ่อนโยน โน้มกายลงกล่าวกับหนิงเสวี่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายเจ้ามีความสุขดี แต่พวกคนที่เล่นกับข้าคงไม่มีความสุขสักเท่าไหร่….”
ที่นั่น ฉุ่ยหยุนหลันที่แสร้งทำตัวเป็นฉุ่ยหยุนเทียนมีสีหน้าโอ่อ่าหาใดเปรียบ จากนั้น ฉุ่ยหยุนหลันด้วยเกรงว่าจะกระตุ้นโทสะของทงซินจึงข่มขู่และหว่านล้อมเขาโดยทุกวิธีการ…. วิธีทำงานของสำนักจักรพรรดิใต้ เหมือนกับที่ผ่านมาในอดีตเป็นอย่างมาก แต่ไม่ว่าจะเหมือนกับอดีตสักเพียงใด ปัจจุบันย่อมมีบางสิ่งที่คลาดเคลื่อน
“อื้ม…. ท่านพี่ต้องไปทำเรื่องอันตรายมาแน่ ไม่อย่างนั้นเขาคงพาข้าไปด้วยแล้ว” หนิงเสวี่ยชูจมูกหยกเล็กๆ ดูคล้ายจะขัดใจอยู่เล็กน้อย กล่าวได้ว่าในโลกนี้ผู้ที่เข้าใจเย่หวูเฉินมากที่สุด นอกจากตัวเขาแล้วก็คือหนิงเสวี่ย นางมีหัวใจที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย ทว่าไม่ได้โง่เขลา
เย่หวูเฉินยิ้มบาง จับมือน้อยๆของหนิงเสวี่ยและบีบไว้เบาๆ เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใด ที่หนิงเสวี่ยต้องการนั้น ไม่ใช่คำอธิบายจากเขา
“เอ๋? พี่ทงซินของข้า นางหลับไปแล้วเหรอ?” หนิงเสวี่ยชะโงกมองทงซินที่หลับใหลไร้เสียงอยู่ในอ้อมอกของเย่หวูเฉิน และถามอย่างสงสัย
“อืม ครั้งนี้นางเหนื่อยมาก ดังนั้นจึงหลับไป และคงจะหลับต่ออีกนาน” เย่หวูเฉินกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม อันที่จริง ด้วยสภาวะที่ทงซินใช้พลังไปจนเกินขีดจำกัด เขาไม่ทราบว่านางต้องใช้เวลาพักฟื้นนานเพียงใด หากเป็นคนธรรมดา บางทีอาจต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนหรือหลายเดือน ทว่าสำหรับทงซินแล้ว นางอาจใช้เพียงไม่กี่วัน พลังของนางนั้นน่ากลัวเกินกว่าจะคาด
เขาหันไปหาเย่ฉุ่ยเหยาและกล่าวอย่างจริงจัง “พี่หญิง ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบลื่น…. แม้ข้าไม่อยากให้ทงซินเสี่ยงอันตราย แต่นางลอบติดตามข้ามาจากเบื้องหลัง จากนั้นปรากฎกายด้วยไม่อยากให้เกิดเหตุขึ้นกับข้า และอย่างที่ข้าคิดไว้ การปรากฎตัวของนางเพียงพอที่จะทำให้สำนักจักรพรรดิใต้ไม่เป็นอันสนใจเรื่องใดในช่วงเวลานี้”
เย่ฉุ่ยเหยาพยักหน้า และจูงเย่หวูเฉินให้นั่งลงบนเก้าอี้ยาว นางกล่าวเสียงเบา “เสี่ยวเฉิน ข้ายังคงไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเจ้าถึงใช้วิธีนี้เพื่อหาที่ตั้งของสำนักจักรพรรดิใต้?”
เย่หวูเฉินเมื่อได้ฟังก็มองกลับเงียบๆ เขาถอนใจบางแหงนศีรษะขึ้นฟ้า จากนั้นกล่าวเสียงแผ่ว “สามปี ถึงเวลาแล้วที่มันจะปรากฎกาย…. ความรู้สึกบอกกับข้าเช่นนั้น บางทีอาจปรากฎขึ้นทันที…. บางทีอาจเป็นวันพรุ่งนี้ บางทีอาจเป็นวันมะรืน หรือบางทีอาจในอีกเจ็ดวัน….”
เย่ฉุ่ยเหยาแววตาสับสน มัน? ใครคือมันงั้นเหรอ?
เห็นสีหน้าเหม่อลอยของเย่หวูเฉิน นางไม่ถามซักไซ้อีก เพียงยืนอยู่ข้างเขาอย่างเงียบงัน
“เมื่อครู่พวกเราอยู่ในสำนักจักรพรรดิใต้ หากถูกรู้ว่าข้าอยู่ที่บ้านแล้ว คนพวกนั้นย่อมคาดเดาบางสิ่งได้ถูกต้อง ในช่วงหลายวันต่อจากนี้ ข้าคงต้องหาที่ซ่อนก่อน หลบจากหูตาของพวกมัน และให้ทงซินได้พักฟื้นอย่างปลอดภัย” เย่หวูเฉินก้มมองทงซินที่หลับลึกอยู่ในอก ขณะกล่าวกับเย่ฉุ่ยเหยา
เย่ฉุ่ยเหยาพยักหน้า “ที่ใดหรือ?”
“ที่นั่น สมควรไม่มีที่ใดเหมาะสมมากกว่าที่แห่งนั้นอีก มันยังเป็นที่แรกแห่งความทรงจำ สถานที่ซึ่งข้าได้พบกับเสวี่ยเอ๋อร์เป็นครั้งแรก” เย่หวูเฉินกุมมือหนิงเสวี่ย ความทรงจำแรกของเขาในทวีปเทียนเฉินได้ฉายกลับมาในพริบตา สำหรับเขาและหนิงเสวี่ยแล้ว นั่นคือสถานที่แห่งความทรงจำที่ไม่อาจลบลืม ทั้งยังเป็นสถานที่ผูกโยงชะตาของพวกเขาเข้าด้วยกัน ผูกพันชีวิตไว้อย่างแนบแน่น
ม่านตางามของเย่ฉุ่ยเหยาฉายแววรักใคร่ นางพยักหน้าบาง “วางใจเถอะ ข้าจะอธิบายกับท่านพ่อและท่านแม่ให้เอง”