“น้องหญิง ความรักของหญิงชายเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม สำหรับหญิงสาวแล้ว เมื่อใดที่เริ่มชมชอบในเพศตรงข้าม มันก็เปรียบดั่งยาพิษที่แม้อยากหยุดห้ามก็ไม่อาจหยุดได้ อยากลบออกก็ไม่อาจกระทำ จิตใจท่วมท้นด้วยความงมงาย ‘พิษ’ นี้ทำให้กล้ากระทำในสิ่งที่ไม่เคยกล้ามาก่อน เจ้าคิดจริงๆหรือว่าจะสามารถ ‘ระงับจิตใจตัวเองได้ และไม่เกิดความคิดวอกแวกอีก?’ ”
เสียงเฉื่อยชาคล้ายยินดีดังขึ้น เย่หวูเฉินที่นั่งพิงผนังหลับอยู่ไม่ทราบว่าตื่นขึ้นตอนไหน ตอนนี้เขาแหงนศีรษะขึ้นมา คู่ดวงตาแฝงรอยยิ้มเป็นประกอยมองยังฉุ่ยหลิงเอ๋อร์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เขาเพียงประทับใจในสตรีผู้ติดตามฉุ่ยเมิ่งฉานเพียงเล็กน้อย เวลานี้เป็นครั้งแรกที่ได้มองนางอย่างเต็มตา
“เฮอะ จะตายอยู่แล้วยังพูดจาส่งเดช” ฉุ่ยสื่อเมื่อได้ยินเย่หวูเฉินกล่าววาจาไม่สำรวมต่อหน้าองค์หญิง ในใจจึงเกิดความโกรธ ก่อนส่งมือขวาคว้าตรงไปที่ลำคอเขา
“อย่าทำร้ายเขา ร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป จะทำร้ายไม่ได้” ฉุ่ยเมิ่งฉานขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยน้ำเสียงตำหนิ
ฉุ่ยสื่อหยุดมือห่างจากคอของเย่หวูเฉินเพียงหนึ่งนิ้ว แค่นเสียงออกจมูกและถอนมือกลับ ตอนที่นำเย่หวูเฉินกลับมา นางพบว่าร่างกายของเขามีสภาพอ่อนแอเหมือนดังข่าวลือ จะกล่าวว่า ‘เปราะบาง’ ก็คงไม่ผิดนัก เขากุมความลับของกระบี่หนานฮวงไว้กับตัว หากลงมือหนักและเขาเป็นอะไรไป ผลลัพธ์ที่ตามมานางย่อมไม่อาจแบกรับได้
ฉุ่ยเมิ่งฉานพยักหน้าให้ฉุ่ยสื่อ แล้วกล่าวกับฉุ่ยหลิงเอ๋อร์ “หลิงเอ๋อร์ เจ้าลุกขึ้นเถอะ”
ฉุ่ยหลิงเอ๋อร์ลุกขึ้นตามคำสั่ง ยืนอยู่ถัดจากฉุ่ยเมิ่งฉานด้านหลังสองก้าว เวลานี้เมื่อเผชิญกับสายตาของเย่หวูเฉินนางต้องหลบตา ทว่าไร้อาการเขินอายหรือหน้าแดงแม้แต่น้อย นางคือคนของฉุ่ยเมิ่งฉานจึงไม่อาจปล่อยตัวเองเป็นเหมือนลูกสาวชาวบ้านธรรมดาได้
“เทพธิดาฉุ่ย คิดไม่ถึงว่าเพียงไม่นานพวกเราจะได้พบกันอีก หวูเฉินรู้สึกราวกับฝันล่วงลอยอยู่บนก้อนเมฆ อยู่ในดินแดนแห่งเทพธิดา พอเปิดตาก็ได้พบกับสองนางฟ้า หากไม่มีป้าอยู่ตรงนี้สักคน ข้าคงเข้าใจว่าตัวเองกำลังอยู่บนสวรรค์…. ดึกดื่นเช่นนี้ เทพธิดาฉุ่ยคงรู้สึกเหงาที่เฝ้าเตียงเพียงลำพัง ดังนั้นจึงเชิญหวูเฉินมาที่นี่โดยเฉพาะ?” เย่หวูเฉินกล่าวคำในยามนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ฉุ่ยสื่อและฉุ่ยหลิงเอ๋อร์ยังกระทั่งตั้งตัวไม่ถูก
“คุณชายเย่ หากไม่ใช่เพราะเมิ่งฉานปรารถนาในกระบี่หนานฮวง เมิ่งฉานคงไม่ใช้แผนการเลวร้ายเช่นนี้ ทว่าอย่างไร ขอคุณชายเย่โปรดอภัยให้เมิ่งฉาน” ฉุ่ยเมิ่งฉานกล่าวขอภัย จากนั้นหันไปพยักหน้าให้ฉุ่ยสื่อและกล่าว “ยิ่งชักช้าทุกขณะยิ่งอันตราย ท่านกับเหลยอวิ๋นสองคนรีบพาเขากลับไปยังสำนักในคืนนี้ด้วยความเร็วสูงสุด ก่อนพรุ่งนี้เที่ยงก็คงไปถึง ให้คนนำข่าวไปแจ้งท่านพ่อก่อนด้วย รีบไปเร็ว”
ฉุ่ยเมิ่งฉานไม่เสียเวลากับเย่หวูเฉินอีก นางออกคำสั่งเรียบง่ายและชัดถ้อย ฉุ่ยสื่อพยักหน้าและคว้าตัวเย่หวูเฉิน
“จำไว้ว่าห้ามทำร้ายเขา และอย่าพูดกับเขา คนผู้นี้เจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรให้ทำเป็นไม่ได้ยิน” ก่อนฉุ่ยสื่อจะออกไป ฉุ่ยเมิ่งฉานก็ส่งเสียงเตือน
“องค์หญิงโปรดวางใจ บ่าวชราจะทำตามคำสั่งท่านอย่างแต่นอน” ฉุ่ยสื่อตอบกลับเสียงเบา และหิ้วตัวเย่หวูเฉินออกไป
โดยรอบกลายเป็นเงียบสงบ ฉุ่ยเมิ่งฉาน กับ ฉุ่ยหลิงเอ๋อร์ มองยังจุดที่เย่หวูเฉินเพิ่งหายลับตาไปอย่างโง่งม
ดวงตาจระจ่างดุจน้ำใสของฉุ่ยหลิงเอ๋อร์สั่นไหวด้วยความกังวล นางลอบมองยังฉุ่ยเมิ่งฉาน ริมฝีปากบางขยับเล็กน้อยหากต้องกลืนคำพูดกลับลงไป นางมองไม่เห็นว่าม่านตางามของฉุ่ยเมิ่งฉานกำลังแฝงแววกังวลล้ำลึกอยู่เช่นกัน นางไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของเย่หวูเฉินจะเป็นอย่างไร แต่นางรู้ดีว่าเมื่อเข้าไปยังสำนักจักรพรรดิใต้แล้ว….การจะออกมานั้นยากยิ่งดุจปีนสวรรค์
เขาใช้ชีวิตเป็นหมากเดิมพัน ตัดสินใจอย่างสงบโดยไม่ทราบมีจุดประสงค์ใด แต่เมื่อถูกส่งเข้าไปยังสำนักจักรพรรดิใต้แล้วเขาจะออกมาด้วยวิธีใด? ที่แห่งนั้นคือ ‘ถ้ำเสือ’ อย่างแท้จริง
หากขณะกังวลเบื้องลึกก็ยังมีความเชื่อมั่น ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นนานแล้วเมื่อครั้งตั้งแต่ติดต่อกับเขา และยิ่งประทับหนักแน่นอยู่ในใจ นางเชื่อว่าหากเขากล้าใช้ชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน เขาจะต้องมั่นใจว่าชนะอย่างแน่นอน
ท่ามกลางราตรีมืดสนิท มีสองร่างนำเย่หวูเฉินออกจากเมืองเทียนหลงอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นาน พวกนางก็ขึ้นรถม้าและมุ่งหน้าลงใต้
พวกนางไม่รู้ตัวเลยว่า มีร่างงดงามดำทมิฬคอยติดตามอยู่ห่างๆจากเบื้องหลัง ราวคมมีดสีดำตัดผ่านราตรีมืดทมิฬ
……………….
………………
พ้นราตรีไปเป็นยามรุ่งสาง หลังพ้นรุ่งสางแผ่นดินก็สว่างอีกครั้ง เย่หวูเฉินถูกคนทั้งสองพาลงใต้โดยไม่หยุดพัก ฉุ่ยสื่อเปลี่ยนม้าหลายครั้งและคอยตรวจตราหาคนสะกดรอย แม้ว่ายามนี้ไม่มีใครสังเกตหรือติดตามพวกนาง แต่สำนักจักรพรรดิใต้จะตรวจสอบก่อนอยู่เสมอ ยิ่งคนที่นำมาในยามนี้เป็นตัวตนที่สำคัญยิ่งยวด
เย่หวูเฉินไม่กล่าวแม้แต่คำเดียว หลังถูกจับขึ้นรถม้าเขาก็เอาแต่หลับ บางครั้งก็ตื่นขึ้นมา บางช่วงฉุ่ยสื่อก็ส่งอาหารให้เขากิน ท่วงท่าที่พักอยู่ไม่เหมือนเหยื่อที่ถูกจับตัว ทว่าเหมือนนายน้อยผู้ยิ่งใหญ่ที่ออกมาท่องเที่ยว
ฉุ่ยสื่อรู้จักความเจ้าแผนการของเย่หวูเฉิน แม้ว่าเย่หวูเฉินยามนี้เป็นเพียงคนพิการที่ไร้พลังแม้แต่จะหักคอไก่ ทว่านางก็ไม่กล้าประมาทคอยจับจ้องไม่ให้คลาดสายตา เย่หวูเฉินเอาแต่เงียบงันจนนางต้องลอบถอนหายใจ อดไม่ได้ที่จะสงสัย หากไม่อาจนึกหาคำตอบ ได้แต่มุ่งเดินทางไปเบื้องหน้าโดยเร็วเท่าที่สุดเท่าที่จะทำ เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าและปัญหาที่อาจตามมา
ในตอนเที่ยง คนทั้งสามก็ลงจากรถม้าในที่สุด เย่หวูเฉินถูกพาเดินไปด้วยเท้า เบื้องหน้าเป็นดินแดนว่างเปล่า ไร้ร่องรอยของมนุษย์หรือสัตว์ใดๆ มีเพียงที่ราบดินเหลือง ตรงที่ควรปกคลุมด้วยหญ้าเขียวกลับไร้พืชพรรณใดๆ กระทั่งเศษหญ้าก็ยังไม่อาจพบเห็น
เย่หวูเฉินลอบขมวดคิ้ว ที่ราบกว้างขวางเช่นนี้ ต้องมีความลึกลับซ่อนอยู่อย่างแน่นอน
ฉุ่ยสื่อนำคนทั้งสองตรงไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็ปรากฎหมอกขาวหนาทึบขึ้นฉับพลัน ปกคลุมโลกเบื้องหน้าเอาไว้จนไม่อาจมองเห็น ฉุ่ยสื่อและอีกคนลดความเร็วลง พาเย่หวูเฉินตรงไปที่หมอกช้าๆ ก่อนสัมผัสเข้ากับหมอก ฉุ่ยสื่อให้เหลยอวิ๋นถือเย่หวูเฉินไว้ นางยืนอยู่เบื้องหน้าและยื่นแขนออกมา
“ระวังด้วย อย่าให้เขาสัมผัสเข้ากับหมอก ด้วยสภาพยามนี้เพียงถูกหมอกนิดน้อยเขาก็คงตายแล้ว นางยื่นฝ่ามือที่เปล่งแสงสีฟ้าไปตรงหน้า หมอกหน้าทึบที่เบื้องหน้าพลันแยกตัวออก เกิดเป็นช่องว่างขึ้นมาในหมอกขาว
ฉุ่ยสื่อสืบเท้าตรงไป หมอกหนาแยกตัวออกตามการเดินของนาง ราวกับกลายเป็นอุโมงค์ตรงลึกเข้าไปในหมอกหนา
เหลยอวิ๋นจับเย่หวูเฉินเดินตามฉุ่ยสื่ออยู่ข้างหลัง เย่หวูเฉินเหลือบมองที่ด้านหลังก็พบว่ามีหมอกขาวเคลื่อนมาปิดอย่างน่าประหลาด
กลุ่มหมอก….แสงสีฟ้า…. ดูเหมือนม่านปราการหมอกนี้จะเกี่ยวข้องกับวิชาหยกวารีของสำนักจักรพรรดิใต้ มีเพียงผู้มีพลังหยกวารีของสำนักจักรพรรดิใต้ในร่างจึงจะสามารถผ่านเข้ามา หากเป็นคนอื่นย่อมตกตายด้วยพิษของหมอก
แน่นอนว่านี่คือปราการที่ไม่อาจทำลายได้! ไม่เพียงแค่ป้องกัน หมอกพิษกลุ่มใหญ่นี้ยังปกปิดที่ตั้งของสำนักจักรพรรดิใต้ให้ไม่อาจหาพบ
การป้องกันสมบูรณ์แบบนี้ย่อมไม่ได้มีเพียงหนึ่ง สำนักจักรพรรดิใต้สืบทอดมาไม่รู้กี่ยุคสมัย ส่งสมภูมิปัญญามาไม่รู้นับกี่รุ่น จึงสมควรมีปราการที่ไม่อาจทำลาย คนนอกย่อมไม่อาจย่างกราย…. นอกจากถูกพวกเขานำตัวเข้ามาเอง
และนี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่เขาใช้ชีวิตตัวเองเป็นหมากเดิมพัน
หมอกหนาปกคลุมบริเวณกว้างอย่างมาก ใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะเดินพ้นเขตแดนหมอก ยิ่งกว่านั้นเส้นทางที่เดินยังไม่ใช่ทางตรง ไม่มีทางใดที่เป็นปกติ บางครั้งตรงไปข้างหน้า บางครั้งถอยหลัง บางครั้งเลี้ยวซ้ายและขวา เย่หวูเฉินไม่สนใจการอำพรางของพวกเขา ตรงกันข้าม เขาใช้สติที่แจ่มชัดมองสำรวจโดยรอบอย่างเงียบงัน ไม่นานนักเย่หวูเฉินก็สัมผัสถึงม่านพลังที่อยู่ในนั้นได้อย่างบางเบา มันเป็นม่านพลังที่เกี่ยวข้องกับพลังหยกวารีอย่างแน่นอน เย่หวูเฉินรู้สึกทึ่ง หมอกพิษเป็นเพียงด่านแรกของการป้องกัน ส่วนม่านพลังเห็นได้ชัดว่าเกิดจากพลังหยกวารี ทำให้การจะมายังที่นี่ แม้มีพลังสูงส่งก็ต้องเสียเวลากับหมอกพิษและหลงทิศทาง ไม่อาจเข้าไปต่อหรือออกไป หากติดอยู่นานย่อมสิ้นชีวิตลงด้วยหมอกพิษ
เป็นการป้องกันอันไร้ที่ติ เกรงว่าต่อให้เหยียนเทียนเว่ยอยู่ที่นี่ก็ไม่อาจทำลายได้ง่ายๆ ปราการหยกวารีนี้เห็นได้ชัดว่าถูกเสริมพลังมาหลายชั่วรุ่นหรือกระทั่งสิบรุ่น ไม่อาจทำลายและข้ามผ่านเข้ามา ความแข็งแกร่งของมันนั้น ต่อให้เป็นระดับเทวะก็ไม่อาจทำลายลงได้ง่ายๆ
เมื่อออกจากบริเวณพื้นที่หมอก เบื้องหน้ากลับปรากฎกำแพงภูเขาที่สูงเสียดไม่เห็นยอด ปราดตาแรกไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ เพราะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกพิษบริเวณโดยรอบจึงแห้งผากไร้ที่เปรียบ ไร้สีเขียวให้มองเห็น ฉุ่ยสื่อก้าวตรงไป ยื่นมือขึ้นเหนือกำแพงหิน ฝ่ามือเปล่งแสงสีฟ้าและทันใดก็เกิดเสียง ‘ครืน’ กำแพงไร้รอยฉับพลันแยกเปิดออกเป็นทางเข้า ปรากฎเป็นอุโมงค์ทอดตรงไปเบื้องหน้า