เบื้องหลังของประตูศิลา มีสองคนในชุดรัดรูปยืนอยู่ พวกเขาปราดตามองฉุ่ยสื่อ เย่หวูเฉิน และฉุ่ยเหลยอวิ๋นทั้งสามคน จากนั้นเคลื่อนสายตาออกไม่สนใจและไม่ไต่ถาม เมินเฉยต่อเย่หวูเฉินหน้าใหม่โดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทราบข่าวเรื่องฉุ่ยเหลยอวิ๋นจะนำเย่หวูเฉินกลับมา ทว่าประตูหน้าของสำนักจักรพรรดิใต้ผู้เกรียงไกร กลับมีเพียงสองคนยืนเฝ้ายามอยู่เท่านั้น เห็นได้ชัดว่าพวกมันมั่นใจการป้องกันของตัวเองเพียงใด บางทีตั้งแต่พวกมันมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ก็อาจไม่เคยมีใครบุกรุกเข้ามา
“ไปกันเถอะ” ฉุ่ยสื่อเหลือบมองเย่หวูเฉิน ในที่สุดก็เห็นความภาคภูมิเล็กน้อยที่ฉายออกทางสีหน้า นางไม่พูดมากและเดินต่ออย่างรวดเร็ว
เย่หวูเฉินปิดดวงตาทั้งคู่ลง ลอบถอนหายใจอย่างเงียบงัน ยังต้องเข้าไปอีกหรือเนี่ย?….
ผ่านอุโมงค์หินแคบแสงสลัวเป็นทางยาว ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างกระทบเปลือกตาอยู่ด้านหน้า เย่หวูเฉินลืมตาขึ้นและพบว่าเบื้องหลังกำแพงภูเขาสูงนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ภาพตรงหน้าเป็นตำหนักขนาดใหญ่อันน่าตื่นตา มีห้องมากมายในแบบโบราณ ผสานเข้ากับความเรียบง่ายที่เคร่งขรึม
สถานที่แห่งนี้ คือที่ตั้งของสำนักจักรพรรดิใต้
เป็นไปตามที่เย่หวูเฉินคาดการณ์ ที่แห่งนี้มีบรรยากาศโอ่อ่าเป็นอย่างยิ่ง ไร้เสียงจอแจหรือวุ่นวาย เงียบสงบอย่างประหลาด ในสายตาไม่ปรากฎแม้สักคนอย่างคาดไม่ถึง เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนต่างยุ่งไม่คลุกคลีกัน ไม่มีใครมาเอ้อระเหยลอยชาย สาวใช้บางคนที่เดินผ่านก็เพียงคำนับฉุ่ยซื่อเล็กน้อยและจากไปอย่างรวดเร็ว แม้จะเห็นเย่หวูเฉินก็เพียงมองปราดตา แม้จะเป็นเพียงสาวใช้ แต่เย่หวูเฉินก็สัมผัสได้ถึงพลังเข้มแข็งจากตัวพวกนาง
ยิ่งกว่านั้น ในบรรยากาศเงียบสงบ เย่หวูเฉินยังสัมผัสได้ชัดเจนถึงพลังนับสิบสายที่ปราดมองมาที่เขาไม่หยุดหย่อน พลังบางสายทำให้เขาต้องลอบตกใจ แม้นี่จะเป็นสถานที่ตั้งแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ของตัวเอง ผู้อื่นจะบุกเข้ามาย่อมยากดุจปีนสวรรค์ หากความเคยชินที่พวกเขาไม่เคยลืมคือการระวังตัว คอยซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ ตรวจสอบอยู่ในเงามืด ล้อมรอบเตรียมพร้อมกับยามจำเป็น
เย่หวูเฉินกวาดตามอง จดจำผังตำแหน่งไว้ในใจ จากนั้นละสายตาออก ราวกับว่าสำนักจักรพรรดิใต้แห่งนี้ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจอีกต่อไป
ฉุ่ยเหลยอวิ๋นนำเย่หวูเฉินตรงไปยังห้องโถงหลัก เมื่อถึงปากประตูก็หยุดลง มีสองบุคคลท่าทางองอาจยืนคุ้มกันอยู่ พวกเขามองฉุ่ยสื่อและอีกสองคน ฉุ่ยสื่อก้าวออกมาและกล่าว “รบกวนท่านทั้งสองช่วยแจ้งท่านประมุขด้วย เย่หวูเฉินถูกนำตัวมาถึงแล้ว”
“เจ้าเนี่ยเหรอคือเย่หวูเฉิน?” หนึ่งในพวกเขาจ้องมองเย่หวูเฉินที่ยืนยังแทบไม่มั่นคง นามของเย่หวูเฉินเป็นที่รู้จักทั่วสำนักจักรพรรดิใต้ ทว่าเมื่อเขามาถึงยังสำนักจักรพรรดิใต้แล้ว ย่อมไม่อาจกลับออกไปอีก “ท่านประมุขไม่ได้อยู่ที่ห้องโถง ท่านสั่งไว้ก่อนว่าหากเย่หวูเฉินมาถึงแล้ว ให้พาตัวเขาไปที่ห้องหนังสือได้ทันที ท่านประมุขกำลังรออยู่ที่นั่น”
ฉุ่ยสื่อพยักหน้ารับคำ ทั้งสองนำเย่หวูเฉินตรงไปที่ห้องหนังสือของประมุขสำนัก
ฉุ่ยหยุนเทียน…. หรือที่ควรเรียกว่า ฉุ่ยหยุนหลัน กำลังยืนอยู่ในห้องหนังสือ สายตาจับจ้องตัวอักษร ‘ฉุ่ย’ ขนาดใหญ่ที่แขวนไว้บนผนัง แววตาจมจ่อมอยู่ในความคิด สีหน้าเรียบสงบ ไม่ทราบว่ากำลังคิดสิ่งใด ระหว่างที่ใคร่ครวญประตูห้องหนังสือก็ถูกเคาะ มีเสียงสตรีวัยกลางคนดังขึ้น “ท่านประมุข เย่หวูเฉินมาถึงแล้ว”
(โน๊ต : ฉุ่ย แปลว่า น้ำ )
แววตาโศกเศร้าของฉุ่ยหยุนหลันกลับมาไหววับทันที เขายืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้หันกายกลับมา เพียงกล่าวเสียงเบา “พามันเข้ามา”
ประตูถูกเปิดออก เสียงฝีเท้าหลายคู่ก้าวเข้ามาข้างใน ไม่นานก็สงบเสียงลง สัมผัสได้ถึงดวงตาหลายคู่ที่มองมาจากเบื้องหลัง ฉุ่ยหยุนหลันกล่าวเสียงต่ำ “พวกเจ้าออกไปได้”
“เจ้าค่ะ” ฉุ่ยเหลยอวิ๋น และ ฉุ่ยสื่อ รับคำและลอบผ่อนคลาย จากนั้นค่อยๆถอยออกไป อายุของพวกนางรวมกันมากว่าฉุ่ยหยุนหลัน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขสำนัก พวกนางจะมักรู้สึกหายใจไม่ออกโดยไม่รู้ตัว บางทีนี่อาจคือสิ่งที่เรียกว่าแรงกดดัน
ประตูถูกปิดลง ห้องหนังสืออันโดดเดี่ยวกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ฉุ่ยหยุนหลันยังคงมองตัวอักษร ‘ฉุ่ย’ ที่อยู่เบื้องหน้า ไม่ได้หันมามองเย่หวูเฉินแม้สักครั้ง ไม่กล่าวคำหรือเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับว่าทุกความสนใจที่เพ่งพิศกำลังลุ่มหลงอยู่ในตัวอักษร สิ่งอื่นไม่อาจดึงดูดความสนใจหรือรบกวนได้
ก่อนที่ฉุ่ยเมิ่งฉานจะให้ฉุ่ยเหลยอวิ๋น และฉุ่ยสื่อ นำเย่หวูเฉินมาส่ง นางได้ให้คนนำข่าวมาแจ้งแก่ฉุ่ยหยุนหลันด้วยความเร็วสูงสุด เย่หวูเฉินมาถึงที่นี่แทบจะตรงกับที่ฉุ่ยหยุนหลันคาดการณ์เวลาไว้ แม้ว่าเขารักษาความสงบเงียบอยู่ ทว่าความสนใจกำลังจดจ่ออยู่กับเสียงที่อยู่ด้านหลัง
เมื่อคนผู้หนึ่งซึ่งไร้พลังต่อต้าน ถูกจับตัวมาส่งยังสถานที่อันตรายสูงสุด เผชิญหน้ากับบุคคลน่ากลัวซึ่งสงบนิ่งอยู่ ความกดดันล้ำลึกต่อจิตใจย่อมให้ผู้คนไม่อาจทานทนต่อความหวั่นกลัว กระทั่งถึงขั้นหัวใจพังทลาย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉุ่ยหยุนหลันรู้สึกผิดหวังก็คือกระทั่งด้วยตัวตนอย่างเขา เย่หวูเฉินที่อยู่ด้านหลังซึ่งไม่กล่าวคำใดๆกลับมีเสียงขยับตัวเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึง ทำให้ฉุ่ยหยุนหลันลอบขมวดคิ้วอยู่เงียบงัน
ไม่ทราบว่านานเพียงใด ในที่สุดฉุ่ยหยุนหลันก็หันกายมา ทว่าตอนนี้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จิ้งจอกเฒ่าตนนี้จะไม่ทราบได้อย่างไร เมื่อตนเองตั้งใจกดดันด้วยความเงียบงัน หากใครสนใจเป็นฝ่ายแรกย่อมเป็นผู้แพ้ในการประลองกำลังใจ หากพวกเขาเปรียบเทียบพลังยุทธระหว่างกัน เขาเชื่อว่าต่อให้ 1,000 เย่หวูเฉินก็ไม่ใช่คู่มือ ทว่าการประชันกำลังใจในครั้งนี้ เขากลับเป็นฝ่ายแพ้
หลังจากหมุนกายมา ในที่สุดก็ได้เห็นคนที่ปรารถนาจะพบตัวมาตลอด ทว่าตอนนี้ เขาต้องขมวดคิ้วมุ่นขึ้น
เหนือเก้าอี้ใกล้ประตูทางเข้าด้านขวา เย่หวูเฉินกำลังเหยียดกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ แขนขวาวางพาดอยู่บนพนักเก้าอี้ อีกมือหนึ่งถือถ้วยน้ำชาออกจากปากและวางบนโต๊ะน้ำชาอย่างนุ่มนวล ลำคอเคลื่อนเล็กน้อย หลับตาชื่นชมกับกลิ่นน้ำชาในปาก สีหน้าพึงพอใจ กล่าวได้ว่าไร้ความเกรงกลัวแม้เพียงเศษเสี้ยว ตกอยู่ในมือของศัตรูทรงพลังที่พร้อมพรากชีวิตได้ทุกเมื่อ แต่กลับทำตัวราวกับแขกผู้สูงศักดิ์ที่ถูกเชิญมา ตรงข้ามกับภาพที่คิดไว้ห่างไกล
ยิ่งกว่านั้น ด้วยการที่คนหนึ่งนั่งส่วนอีกคนยืน คนหนึ่งยิ้มแย้มส่วนอีกคนหน้าแข็งชา แววตาของเย่หวูเฉินยามนี้ ราวกับมองฉุ่ยหยุนหลันเป็นข้ารับใช้
“เจ้าคือเย่หวูเฉินสินะ?” ฉุ่ยหยุนหลันเริ่มเอ่ยปากก่อน ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเย่หวูเฉินรับมือยากอย่างไร ผู้ที่ทำฉุ่ยเมิ่งฉานท้อแท้ได้ย่อมไม่ธรรมดา ต่อหน้ายามนี้คือวิกฤตการณ์ ทว่าเขากลับมีสีหน้าพอใจอย่างไม่มีมนุษย์คนใดเทียบ ยิ่งกว่านั้น ยังไร้ความหวั่นไหวจนผู้คนไม่อาจมองออก ทั้งผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติ
เย่หวูเฉินเหลือบตามองที่ฉุ่ยหยุนหลัน กล่าวอย่างขบขัน “ท่านคงเป็นประมุขแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ โอ้ คิดไม่ถึงว่าประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ผู้สูงส่งจะชอบนิ่งเงียบอยู่เป็นวัน พอเปิดปากก็ถามไร้สาระทันที ข้าคือเย่หวูเฉินหรือไม่ ท่านจำเป็นต้องถามจริงๆหรือ?”
ฉุ่ยหยุนหลันไม่โกรธ เขาทราบดีว่าหากโกรธจิตใจย่อมเสียความสงบ เป้าหมายที่ฉุ่ยเมิ่งฉานส่งตัวเย่หวูเฉินมาที่นี่คือให้เขาถามที่อยู่ของกระบี่หนานฮวง ไม่ใช่ปลิดชีวิตมัน ไม่เช่นนั้นฉุ่ยหยุนหลันคงเพียงขยับนิ้วเดียวโดยไม่เอ่ยถาม ทว่าการจะหาคำตอบของกระบี่หนานฮวง สิ่งแรกที่ต้องทำคือทลายปราการในจิตใจ เย่หวูเฉินผู้นี้หากถูกทรมานย่อมไม่คายความลับออกมาแน่ พอได้พบกับเย่หวูเฉิน เขาเริ่มเกิดความรู้สึกว่าการบรรลุผลลัพธ์ในครั้งนี้ คงไม่ใช่แค่ยากธรรมดา
กล่าวอีกอย่างก็คือ หากเย่หวูเฉินไม่ใช่ผู้ที่รับมือยาก ไม่ได้มีแผนการน่าตระหนก ไหนเลยฉุ่ยหยุนหลันจะให้ความสนใจ ทั้งยังบอกให้ฉุ่ยเมิ่งฉานใช้ทุกวิธีเพื่อเอาชนะ พลังของสำนักจักรพรรดิใต้ติดค้างที่ระดับเดิมมาหลายยุคสมัย แม้จะเปลี่ยนแปลงบ้างก็เพียงขอบเขตเล็กน้อย กล่าวได้ว่าสำนักจักรพรรดิใต้มีพลังติดตันอยู่ในจุดสูงสุด ยากที่จะหาจุดเปลี่ยนเพื่อพัฒนาขึ้นกว่าเดิม พลังโดยรวมไม่อาจก้าวหน้าขึ้นอีกครั้ง ดังนั้น พวกเขาจึงเริ่มใช้แผนการฉลาดล้ำเพื่อครอบงำโลก โดยไม่อาศัยเพียงเฉพาะพลังยุทธ ทำให้เมื่อเย่หวูเฉินปรากฎต่อสายตา พวกเขาจึงวางแผนต้องการดึงตัวเย่หวูเฉินเข้าสู่สำนักจักรพรรดิใต้
เพราะฉะนั้น หากเย่หวูเฉินต้องการจากไปอย่างปลอดภัย ก็มีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้นให้ก้าวเดิน นั่นคือบอกที่อยู่ของกระบี่หนานฮวง จากนั้นเลือกสตรีสำนักจักรพรรดิใต้เป็นภรรยา และกลายเป็นคนของสำนักจักรพรรดิใต้ อย่างน้อยนี่คือสิ่งที่พวกเขาคิดไว้
ฉุ่ยหยุนหลันไม่โกรธและหัวเราะกลับ “เจ้าพูดถูก ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาพูดจาไร้สาระกับคนผู้ฉลาดล้ำอย่างเจ้า เช่นนั้น เจ้าคงรู้แล้วว่าเหตุใดตนเองถึงได้มาที่นี่ในวันนี้”
เย่หวูเฉินยังคงยิ้มบาง ขยับปรับท่านั่งให้สบายขึ้น และกล่าวออกมาช้าๆ “ข้าย่อมรู้แน่นอน ย่อมเป็นเพราะประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ทราบชื่อเสียงของข้าเย่หวูเฉิน และรู้สึกเสียใจหากไม่ได้พบตัว ดังนั้นท่านจึงไม่ลังเลส่งคนมาแสนไกลเพื่อเชิญข้า ได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ข้าเย่หวูเฉินรู้สึกปลาบปลื้มใจจริงๆ ควรตอบแทนน้ำใจของท่านประมุขสำนักจักรพรรดิใต้อย่างไรนั้น…. ช่างยากจะหาวิธีจริงๆ”
ฉุ่ยหยุนหลันแค่นเสียง น้ำเสียงเยียบเย็นและทะมึนลงเล็กน้อย “เย่หวูเฉิน ข้าได้ยินมานานแล้วว่าในโลกนี้เจ้าฝีปากกล้าเป็นที่สุด วันนี้ได้เห็นกับตานับว่าสมคำร่ำลือ ร่างกายของเจ้าพิการ แต่ปากยังคงใช้งานได้ เจ้าไม่ใช่คนโง่ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ต้องเสียเวลา พวกเราต้องการสิ่งใด เจ้าสมควรรู้ดี เจ้าจะเลือกทางใดก็จงว่ามา”
“โอ้? ไม่ทราบว่าท่านประมุขสำนักจักรพรรดิใต้อยากให้ข้าเลือกสิ่งใด?” เย่หวูเฉินไม่สนใจน้ำเสียงเย็นเยียบของฉุ่ยหยุนหลัน เขายังคงกล่าวอย่างผ่อนคลาย
“ทางแรกคือบอกที่อยู่ของกระบี่หนานฮวง จากนั้น ตาย” สายตาของฉุ่ยหยุนหลันคมกล้าราวกระบี่ น้ำเสียงเย็นเยียบไม่เหมือนมนุษย์ เมื่อคำว่า ‘ตาย’ หลุดออกจากปาก จิตสังหารเย็นเยียบก็แผ่พุ่งตามเสียงออกมา บรรยากาศรอบกายของเย่หวูเฉินมีอุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว เผชิญหน้ากับเย่หวูเฉินที่เจ้าแผนการลึกซึ้ง เขาทราบดีหากตนกล่าวว่า ‘บอกที่อยู่ของกระบี่หนานฮวงแล้วข้าจะไว้ชีวิต’ ย่อมเท่ากับตบหน้าตัวเอง และเป็นได้เพียงตัวตลกต่อหน้าเย่หวูเฉิน ดังนั้นเขาจึงกล่าวตามตรงว่าต้องการสิ่งใด และบอกว่าเขามีทางเลือกเดียวคือตายเท่านั้น