นางแอบออกไปอย่างเงียบงัน หลบเลี่ยงสายตาของผู้คน เข้าไปในห้องของเย่หวูเฉินอย่างเงียบเชียบ นางมาไม่ผิดเวลา เย่หวูเฉินกำลังอยู่ในห้อง ยิ่งกว่านั้นยังอยู่เพียงลำพัง หนิงเสวี่ยและทงซินที่มักติดตามยามนี้ไม่อยู่กับเขา มองจากประตูที่ปิดแน่น ฉุ่ยเมิ่งฉานหัวใจสั่นไหวเบาๆ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรอนางอยู่
“เทพธิดาฉุ่ยให้เกียรติมาเยือนด้วยตัวเอง หวูเฉินไม่ได้เตรียมการต้อนรับ ขอท่านโปรดอย่าได้ถือสา แต่ที่น่าชื่นชมก็คือ เทพธิดาฉุ่ยเหินผ่านหน้าต่างได้สง่างามนัก ราวกับเซียนฟ้าผู้ทำให้โลกจืดจาง อย่างไรก็ตาม องค์หญิงสำนักจักรพรรดิใต้ผู้สูงส่งกลับหลงใหลการเข้าห้องผู้อื่นทางหน้าต่าง ความชมชอบของเทพธิดา คนธรรมดาไม่อาจหยั่งถึงจริงๆ” เย่หวูเฉินนั่งอยู่ตรงนั้น ยิ้มมองนางอย่างเจ้าเล่ห์
เจอเย่หวูเฉินหยอกเล่น หัวใจหนักอึ้งของฉุ่ยเมิ่งฉานพลันผ่อนคลายลง ความสับสนตลอดหลายวันยังค่อยๆสงบ เห็นได้ชัดว่านางเชื่อมั่นในตัวเขาเต็มที่ เรื่องใหญ่เพียงใดก็ไร้ความหมายให้กังวล นางกับเขาพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง ทว่าความเชื่อมั่นกลับเพิ่มขึ้นเร็วรุดถึงขีดสุด ตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับเขา ความรู้สึกนี้ยิ่งประทับฝังแน่น
“ท่านเดาถูกอีกครั้งว่าข้าจะมา?” ฉุ่ยเมิ่งฉานเอ่ยปากพูด วันนี้นางสวมชุดเนื้อละเอียด ชายกระโปรงยังคงยาวเกือบถึงพื้นเหมือนครั้งก่อน บดบังคู่รองเท้าปักลายดอกบัวทอง เหนือเรือนผมงามปักไว้ด้วยปิ่นหยก ต่างหูที่สวมอยู่ทำมาจากไข่มุก ลำคอขาวละเอียดสวมสร้อยมุกอัญมณี ผิวหิมะขาวเด่นเป็นประกาย แทบกระจ่างจนใสถึงกระดูก ใบหน้างดงามปิดไว้ด้วยผ้าไหมบาง เห็นจมูกหยกและกลีบฝีปากเพียงเลือนลาง ราวภาพมายาในเงาหมอกที่ทำผู้คนไม่อาจอดยั้งหัวใจ นัยน์ตาสองข้างกระจ่างสดใส ไหมคลุมหน้ายิ่งขับส่งความงามให้โดดเด่น ลำคอขาวระหงดุจหยกตั้งตรง ทำให้นางดูงดงามและสูงส่ง เหนือล้ำกว่าเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ใด เพียงยังไม่เผยใบหน้า ก็เปล่งประกายเจิดจ้าได้ถึงเพียงนี้ เพียงเยื้องร่างให้คนเห็นเพียงปราดตา ก็เพียงพอจะกุมหัวใจผู้คนให้หลงใหล
เย่หวูเฉินยิ้มสบาย “เพราะข้าได้ยินว่าท่านกลับมา จึงปิดประตูรอไว้ให้ท่านลงจากฟ้ามาเยือน หากท่านไม่มา แสดงว่าทุกสิ่งที่ข้าคาดเดาไว้เป็นการเข้าใจผิด แต่หากท่านไม่อาจอดทนรอได้ และมาที่นี่ นั่นก็หมายความว่า….”
“ท่านชนะ” เมื่อคิดถึงบิดาที่ได้หวนกลับมาพบกันในคืนนั้น นึกถึงความขมขื่นทรมานที่เขาต้องประสบมาตลอดหลายปี หัวใจที่สงบลงของนางก็พลันถูกบางสิ่งกดทับไว้อีกครั้ง ทรวงอกยกขึ้นลงเมื่อนางสูดลมเพื่อระงับหัวใจ
“ดูเหมือนข้าโชคดีที่ทายถูก อย่างไรก็ตาม ข้าคิดว่าตอนแรกท่านหวังให้ข้าเดาผิดใช่หรือไม่? ตั้งแต่เล็กจนโต คนรอบกายกลับกลายเป็นศัตรูทำร้ายครอบครัวตัวเอง เป็นคู่อาฆาตที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า ท่านทำงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อพวกมัน กระทั่งถึงขั้นเสียสละตนเอง ทว่าครอบครัวที่แท้จริงกลับต้องทนเจ็บปวดอยู่ในขุมนรก แรงกระทบเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งใดที่สตรีสามารถทานทน ทว่าท่านยังคงมาที่นี่ สมแล้วที่เป็นฉุ่ยเมิ่งฉาน” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยความรู้สึกชื่นชม
ฉุ่ยเมิ่งฉานเงียบงัน เป็นความจริงที่นางหวังให้การคาดการณ์ของเย่หวูเฉินเป็นแค่เรื่องตลก หากเป็นเช่นนั้น นางจะยังเป็นฉุ่ยเมิ่งฉานคนเดิม เป็นองค์หญิงแห่งสำนักจักรพรรดิใต้
“ในเมื่อวันนี้ท่านมาแล้ว เช่นนั้นขอให้เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตให้ข้าฟัง จากสีหน้าของท่าน ท่านคงรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว เหตุผลของเหตุการณ์ในอดีต ข้าได้คาดเดาไว้บ้างแล้ว แต่ข้าอยากให้ท่านเล่าออกมามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” น้ำเสียงที่เย่หวูเฉินกล่าวออกมาในครานี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เป็นการขอร้องต่อฉุ่ยเมิ่งฉาน ทว่าราวกับเขามั่นใจว่านางพร้อมจะเล่าอยู่แล้ว
ราวกับว่าเขาเข้าใจความรู้สึกทั้งหมดของฉุ่ยเมิ่งฉานทุกครั้งที่นางอยู่ต่อหน้า เท้าดอกบัวสืบก้าวเข้ามาเบาแผ่ว นางเข้ามาใกล้เย่หวูเฉินเล็กน้อย จากนั้นถามเสียงเบา “ข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง ข้าไม่อาจหาคนอื่นที่จะคุยเรื่องนี้ได้อีก แต่ว่าก่อนหน้านั้น ข้าอยากรู้ว่าท่านสรุปได้อย่างไรว่าคนผู้นั้นไม่ใช่พ่อของข้า เหตุใดท่านถึงเดาได้ว่าพ่อของข้าคือชายเสียสติ? ข้าไม่เชื่อว่าทุกอย่างจะเรียบง่ายเหมือนที่ท่านบอก”
เย่หวูเฉินเลิกคิ้วขึ้นและยิ้มเล็กน้อย “อันที่จริง มันมาจากสองคำที่เรียบง่าย”
ฉุ่ยเมิ่งฉาน “??”
“ธรรมชาติของมนุษย์”
“ธรรมชาติของมนุษย์?” ฉุ่ยเมิ่งฉานสีหน้าว่างเปล่า
“ถูกต้อง ธรรมชาติของมนุษย์” เย่หวูเฉินทอดสายตาไปไกล ราวกับจะมองดวงดาวในความมืด ราวกับว่าทุกสิ่งในโลกนี้ไม่อาจหลุดรอดสายตา เขาเริ่มกล่าว “ในอดีต สำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือร่วมมือกันแสดงละครลวงโลก ทั้งยังกล่าวได้ว่าการแสดงครานั้นประสบผลสำเร็จ อย่างน้อย หลังจากนั้นท่านสามารถมายังเมืองเทียนหลงในนามสำนักจักรพรรดิใต้ได้โดยตรง และค่อยๆผสานแทรกซึมสำนักจักรพรรดิใต้เข้ากับเมืองเทียนหลง ด้วยพลังของสำนักจักรพรรดิใต้ นี่ไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่หลายปีมานี้ ท่านบรรลุผลได้อย่างดียิ่ง ต่อให้ข้าใช้เวลาสามปี ก็ยังยากที่จะทำได้เท่าท่าน”
“…..”ฉุ่ยเมิ่งฉานเลิกคิ้วงามขึ้นเล็กน้อย สามปี? นางใช้เวลาจัดการสิ่งต่างๆในเมืองเทียนหลงมาเกือบสิบปี ‘สามปี’ ที่เขาเอ่ยออกมาย่อมถือเป็นการดูหมิ่นสำหรับคนอื่น ทว่านี่กลับเป็นการชื่นชมอย่างหนึ่งสำหรับเขา
“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ข้าสงสัยที่สุดก็คือ หลังจากสามปีที่ข้าตกลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณ หลงหยินกลับยังไม่ตกตาย ทุกสิ่งกลับบ่งชี้ว่าท่านจะต้องแต่งงานกับหลงหยินจริงๆ ด้วยวิธีนี้….สำนักจักรพรรดิใต้ของท่าน จะสามารถใช้เวลาอันลัดสั้นที่สุดในการควบคุมเมืองเทียนหลง และครอบงำอาณาจักรเทียนหลงทั้งหมดไว้ในกำมือ ทว่าต่อให้ไม่ใช้วิธีนี้ ด้วยพลังของสำนักจักรพรรดิใต้ที่สั่งสมมาตลอดหลายปี ก็ย่อมบรรลุผลได้ เพียงขึ้นอยู่กับเวลาและความพยายามเท่านั้น ทว่าพวกท่านยังคงเลือกใช้วิธีเดิมคือแต่งงานกับหลงหยิน ซึ่งผิดไปจากที่ข้าคาดการณ์ไว้ในอดีต ประมุขสำนักจักรพรรดิใต้เพื่อต้องการแผ่ขยายอำนาจของตัวเอง กลับไม่ลังเลส่งลูกสาวตัวเองให้แต่งงานกับคนที่อายุรุ่นพ่อ?”
ฉุ่ยเมิ่งฉาน “…..”
“และบิดาผู้นี้ ยังหมั้นหมายงานแต่งยกลูกสาวให้กับหลงหยิน ตอนที่นางยังอายุเพียงไม่กี่ขวบ เพียงเพื่อสนองความทะยานของสำนักจักรพรรดิใต้ และไม่กี่ปีต่อมา เขายังส่งท่านมายังเมืองเทียนหลง นับแต่นั้นก็น้อยครั้งที่ท่านจะได้กลับบ้าน นี่มันเรื่องปกติอย่างนั้นหรือ?”
ฉุ่ยเมิ่งฉาน “……”
“หากท่านเป็นลูกสาวคนเดียวของคนผู้นี้จริงๆ แล้วเขาทำแบบนี้ได้อย่างไร? อย่างน้อย คนเป็นพ่อย่อมไม่ส่งลูกสาวที่ยังไม่ทันเติบโตให้ห่างกายถึงพันลี้ ยากนักที่จะพบพ่อแบบนี้ นั่นคือครั้งแรกที่ข้าสงสัย หากว่าท่านไม่ใช่ลูกสาวของเขา ก็จะอธิบายได้หลายสิ่ง…. เพราะหากเป็นข้า ข้าก็คงไม่อยากเห็นลูกสาวที่ไม่ใช่ ‘ลูกสาว’ ของตัวเอง และคงส่งให้ไปอยู่ห่างไกล ให้เห็นน้อยได้เท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น” มุมปากของเย่หวูเฉินโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มลึกลับ
“และหลังจากนั้น ข้าบังเอิญรู้จักกับผู้ที่สืบสายโลหิตตรงของจักรพรรดิเหนือ ภักดีต่อบรรพบุรุษตลอดกาล เชื่อฟังคำสั่งบรรพชนทำภารกิจไม่มีวันทอดทิ้ง ข้าจึงเริ่มคาดเดาบางอย่างขึ้นได้ในใจ” เย่หวูเฉินกล่าวถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็หยุดลง หันมาชื่นชมกับเรือนร่างของฉุ่ยเมิ่งฉานด้วยความพอใจ “ข้าได้อธิบายแล้ว ตอนนี้ถึงตาท่านเล่าทุกอย่างให้ข้าฟัง บางเรื่องอาจไม่เพียงช่วยแค่ท่าน แต่ยังจะช่วยข้าด้วย”
เย่หวูเฉินปรับท่าทางให้สบาย เตรียมฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ธรรมชาติของมนุษย์…. กลายเป็นว่าความจริงมากมายถูกซ่อนไว้ด้วยธรรมชาติสามัญสุดที่ถูกมองข้าม” มองย้อนกลับไปตั้งแต่วัยเด็กจนเจริญเติบโต นางเพิกเฉยต่อสิ่งนี้อย่างคาดไม่ถึงจริงๆ หากนางมีหัวใจแบบเดียวกับเย่หวูเฉิน บางทีนางอาจค้นพบมาตั้งแต่เด็ก ว่าระหว่างแม่กับ ‘พ่อ’ ของนางนั้น มีหลายอย่างที่ผิดปกติ
เพียงเพราะพวกเขาคือ “ญาติ” ของนาง นางจึงไว้ใจเสมอไม่เคยสงสัย และใช้ชีวิตอยู่ในโลกจอมปลอมมาโดยตลอด
นางเริ่มเล่าตั้งแต่ ตอนกลับไปสู่สำนักจักรพรรดิใต้ ได้พบกับฉุ่ยหยุนเทียน ใช้วิธีเฉพาะยืนยันตัวตนของแต่ละฝ่าย จากนั้นเล่าทุกสิ่งที่ฉุ่ยหยุนเทียนได้บอกแก่นาง แทบไม่มีขาดตกแม้ประโยคเดียว หลายวันมานี้ หัวใจของฉุ่ยเมิ่งฉานวนเวียนอยู่แต่เรื่องดังกล่าว กระทั่งในความฝัน ยังเห็นภาพของฉุ่ยหยุนเทียนผมเผ้ารุงรัง กล่าววาจาด้วยความเกลียดชัง ฉะนั้น ต่อให้นางอยากลืมก็ไม่อาจลืมได้
ระหว่างที่นางเล่าสาธยาย สีหน้าของเย่หวูเฉินก็ค่อยๆเปลี่ยนตามอย่างเงียบเชียบ เขายิ้มบางในตอนต้น สงบนิ่งในตอนกลาง จากนั้นมุ่นคิ้วครุ่นคิด เสาะหาข้อมูลที่สามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้
เมื่อฉุ่ยเมิ่งฉานเล่าทั้งหมดจบลง เย่หวูเฉินก็มีสีหน้ากลับมาสงบเช่นกัน สีหน้าผ่อนคลายในคราแรกได้หายไป เขาถอนหายใจบางและเอ่ยเสียงเบา “หัวใจที่ผุกร่อนของผู้คนมักน่ากลัวอยู่เสมอ” เขาหยุดเสียงลงและเคลื่อนสายตาไปทางซ้าย “ตอนนี้เจ้าเชื่อข้ารึยัง?”
ฉุ่ยเมิ่งฉานประหลาดใจเล็กน้อย ทันใดนั้นก็พบว่าเย่หวูเฉินไม่ได้พูดกับนาง ฉากกั้นไม้ที่สายตาเขากำลังมองอยู่ถูกเปิดออก คนผู้หนึ่งถลาร่างออกมา เขาเป็นชายหนุ่มอายุใกล้เคียงกับเย่หวูเฉิน ขนาดส่วนสูงพอๆกัน ใบหน้าหล่อเหลาขาวสะอาดคล้ายสตรี ครั้งแรกที่มองเห็นผู้คนย่อมนึกถึงนายน้อยแห่งตระกูลใหญ่สักตระกูล อย่างไรก็ตาม ดวงตาของเขาในยามนี้กำลังเขม็งตึง ริมฝีปากกัดไว้จนช้ำม่วง ใต้ความโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด เห็นได้ชัดว่าเขาใกล้จะหลุดการควบคุม
“พี่ใหญ่ ทุกอย่างเป็นความจริงรึเปล่า? เป็นความจริงใช่มั้ย….” เขาถามฉุ่ยเมิ่งฉายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและตื่นตระหนก แม้ว่าที่จริงเขาจะหายสงสัยแล้วก็ตาม….
“อู๋เชว เจ้าอยู่ที่นี่ได้ยังไง!?” ฉุ่ยเมิ่งฉานร้องด้วยความตกใจ เขาคือน้องชายของนาง ฉุ่ยอู๋เชวที่วันๆ ‘เตร็ดเตร่’ อยู่ข้างนอก! ทว่าเขากลับซ่อนอยู่หลังฉากใกล้ๆนาง โดยที่นางไม่รู้ตัว
สิ่งที่เย่หวูเฉินเล่าให้ฉุ่ยอู๋เชวฟังก่อนหน้า เขายังไม่เชื่อทุกอย่าง ทว่าเมื่อฉุ่ยเมิ่งฉานเล่าอีกครั้ง ต่อให้เขาไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อทั้งหมด เพราะพี่สาวของเขาเป็นผู้กล่าวด้วยตัวเอง สิ่งที่ต่างจากฉุ่ยเมิ่งฉานคือเขารู้สึกเจ็บแค้นอย่างลึกล้ำ ส่วนความรู้สึกว่าถูกหลอกลวงมีอยู่เพียงเบาบาง…. เพราะระหว่างเขากับฉุ่ยหยุนหลันนั้น “ความรัก” เลือนลางเหลือเกิน เขาไม่อยากเรียกคนผู้นั้นว่าพ่อมาแต่เดิม สำหรับเขาแล้ว คนในครอบครัวมีเฉพาะพี่สาวและมารดา พวกลุงและอาวุโสเหล่านี้…. เป็นเพียงขบถที่เขาแทบไม่อยากปราดตามอง เขาไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของคนพวกนั้น สหายในสำนัก มีเพียงผู้ที่ปรารถนาท่องออกไปข้างนอกพร้อมกับเขา
“ข้าเป็นคนพาเขามาเอง แต่พอลองคิดดู ข้าขอเดาว่าหากท่านไม่ได้ห้ามปรามน้องชายเอาไว้ก่อน อู๋เชวคงมาหาข้าตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้ว” เย่หวูเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม