“….ข้าถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินอันมืดมิด ฉุ่ยหยุนหลันไม่คิดเอาชีวิตข้า ทว่าในวันแรก มันใช้วิชาฝังเข็มนับสิบลงบนศีรษะข้าที่ไม่ทราบว่ามันไปร่ำเรียนมาจากไหน หวังให้ข้ากลายเป็นคนบ้า และมันก็คิดว่าข้าบ้าจริงๆ หากเจ้าพันธุ์ทางผู้นี้ ไฉนเลยจะรู้ว่าผู้สืบทอดแห่งจักรพรรดิใต้ไหนเลยจะบ้าได้ ในเมื่อมันอยากเห็นข้าวิกล ข้าจึงสนองต่อเจตนามัน แสร้งเสียสติเป็นเวลานานสิ้นกว่า 20 ปี….”
“อย่างไรก็ตาม ปู่ของข้า…. หลังจากผ่านไปสามวัน เขาก็ออกจากห้องลับ เวลานั้นท่านปู่เก็บตนจึงไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอก เขาไร้ความสงสัยใดๆและถ่ายทอดพลังหยกวารีให้กับฉุ่ยหยุนหลัน เมื่อส่งพลังให้ไปได้กึ่งหนึ่ง เขาพลันพบว่าความบริสุทธิ์ของพลังหยกวารีนั้นผิดปกติ ทว่าถึงตอนนั้นก็สายเกินไปที่จะหยุด สุดท้าย ฉุ่ยหยุนหลันจึงก้าวขึ้นสู่วิถีเทวะ และท่านปู่ที่พลังเหือดหายจึงได้ถูกฉุ่ยหยุนหลันผนึกลมปราณ ทำให้พลังของเขาตีกลับและตกตายอย่างทรมาน ในตอนนั้น ฉุ่ยหยุนหลันหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเยาะเย้ยต่อหน้าข้า ไม่รู้ว่ามากเพียงใดที่ข้าอยากฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ…. หากแค้นนี้ไม่ได้รับการชำระ ต่อให้ข้าเกิดใหม่ร้อยชาติก็ไม่มีวันลืม!!”
หลังจากผ่านมาหลายปี ในที่สุดเขาก็ได้เล่าความแค้นสุมอกให้คนอื่นฟัง ขณะที่เล่าระบายกับลูกสาว ความชิงชังราวประหนึ่งพวยพุ่งจากทั่วทุกส่วนของร่างกาย กระหายในการแก้แค้นมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“มันไม่หยุดแค่นั้นและขึ้นเป็นประมุขสำนักคนใหม่ ไม่มีสะดุดขัดข้องเพราะการร่วมมือของคนพวกนั้น เพียงไม่นาน มันก็ประกาศว่าหลังจากนี้สำนักจักรพรรดิใต้จะไม่ถอนตัวจากโลกอีกต่อไป เพียงมันพูดคราเดียวก็มีเสียงตอบรับนับร้อย เมื่อประมุขตัดสินใจ เหล่าคนที่ล้วนยืนกรานภักดีต่อสำนักจักรพรรดิใต้จึงเชื่อฟังคำของประมุข หลายปีผ่านไป คนที่เคยยึดมั่นในคำสั่งของพ่อข้าค่อยๆถูกย้ายไปนอกสำนักไปด้วยเหตุผลนานับประการ ศูนย์กลางอำนาจจึงถูกกุมไว้โดยพวกมันทั้ง 30 คน ยังดีที่ไม่มีผู้ใดเป็นอันตราย ไม่มีสงครามภายในเหมือนเช่นสำนักจักรพรรดิเหนือในครั้งอดีต หากมันสามารถกุมอำนาจไว้มั่นในกำมือ ข้าต้องยอมรับว่าแผนการหลายปีที่พวกมันเตรียมการ นับว่าไร้ที่ติจริงๆ”
“หากแค้นนี้ไม่ได้ชำระ ข้าขอสาบานว่าไม่ขอเป็นคน….” ฉุ่ยเมิ่งฉานกุมหยกน้ำไว้ในมือ น้ำเสียงแผ่วเบาหากยังกระจ่าง และยังแฝงความเย็นเยียบที่ไม่เคยเป็น
“ถูกต้อง…. ความแค้นคั่งทะเลเลือดนี้ ต่อให้ยากลำบากเพียงใดก็จะต้องชำระ! ฉานเอ๋อร์ แม่ของเจ้าบอบบางมาตั้งแต่เกิด ด้วยเกรงข้าจะเป็นอันตรายนางจึงไม่บอกเจ้า พ่ออดทนมาตลอด 20 ปีเพื่อรอว่าวันหนึ่งจะได้บอกเจ้าและอู๋เชวด้วยตนเอง…. วันนี้ ความปรารถนาสุดท้ายของพ่อบรรลุผลแล้ว…. ฉานเอ๋อร์ จงบอกอู๋เชวถึงเรื่องราวทั้งหมด บอกให้เขาจดจำให้มั่น เรียนรู้ที่จะอดทนเหมือนพ่อ รอคอยวันที่โอกาสมาถึง พวกเราคือผู้สืบทอดแห่งจักรพรรดิใต้ สวรรค์ย่อมไม่ทอดทิ้งพวกเรา…. อีกอย่าง บอกให้เขาระวังตัวด้วย!” ฉุ่ยหยุนเทียนกล่าวเสียงต่ำ
“….หรือว่า พวกเขาจะ….” ฉุ่ยเมิ่งฉานหัวใจกระตุกวูบ
“เฮอะ!” ฉุ่ยหยุนเทียนแค่นเสียง และกล่าวชิงชังเสียงต่ำ “ไหนเลยพวกมันจะยอมให้อู๋เชวขึ้นเป็นประมุขคนต่อไปของสำนักจักรพรรดิใต้ สิ่งที่พวกมันจะต้องทำอย่างแน่นอนก็คือ ลบ ‘นายน้อย’ ผู้นี้ออกไป”
ฉุ่ยเมิ่งฉานรู้สึกกลัวจับจิต นางรู้ว่าสิ่งที่พ่อนางพูดนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างมาก
นางอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน “คนบ้า” ก็หยุดส่งเสียงมานานแล้วเช่นกัน หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปสถานการณ์จะอันตรายขึ้นมาก ฉุ่ยหยุนเทียนกล่าว “ฉานเอ๋อร์ เจ้ารีบออกไปเถอะ…. จำทุกถ้อยคำที่พ่อพูดไว้ให้ดี และต้องอย่าลืม…. ปกป้องอู๋เชว บอกเขาให้ระวังตัวด้วย….”
ฉุ่ยเมิ่งฉานพยักหน้าหนัก ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จากนั้นกล่าวสำทับ “ท่านพ่อ รอข้าก่อน…. ข้าจะต้องนำกระบี่หนานฮวงมาช่วยท่านออกไป”
“กระบี่หนานฮวง…. ปรากฎขึ้นแล้วจริงๆหรือ?” ฉุ่ยหยุนเทียนลมหายใจชะงักไปชั่วขณะ และถามเสียงเบา
ฉุ่ยเมิ่งฉานพยักหน้า จากนั้นส่ายศีรษะ “คันศรเป่ยตี้ปรากฎขึ้นแล้ว การปรากฎของมันนั้น อย่างน้อยก็ช่วยยืนยันได้ว่ากระบี่หนานฮวงมีตัวตนอยู่จริง แม้ว่ากระบี่หนานฮวงจะยังไม่เคยปรากฎออกมา แต่คนผู้นั้นย่อมทราบว่ามันอยู่ที่ไหน”
“คนผู้นั้น เขาเป็นใคร?” ฉุ่ยหยุนเทียนโน้มกายมาข้างหน้า ทว่าถูกรั้งไว้ด้วยโซ่ตรวน การที่เขาเคลื่อนไหวโดยไม่รู้ตัว แสดงให้เห็นว่าในใจของเขาหวั่นไหวและกระวนกระวายเพียงใด
“เขา….คือคนที่บอกให้ข้ามาพบท่านพ่อ” เมื่อนึกถึงเย่หวูเฉิน ในใจของฉุ่ยเมิ่งฉานก็ซับซ้อนปั่นป่วน หลังจากคืนนั้น ยิ่งทำให้นางรู้สึกถึงความลึกลับและไม่อาจคาดเดาของเขา
“คนที่บอกเจ้าให้มาพบข้า….” ฉุ่ยหยุนเทียนกระซิบ แววตาว่างเปล่า เขานึกย้อนไปตอนที่ฉุ่ยเมิ่งฉานกำลังก้าวเข้ามา นึกถึงคำพูดประหลาดที่นางกล่าวออกมา ทีละคำค่อยๆปรากฎขึ้นในสมองของเขา และเขย่าหัวใจของเขาอย่างบ้าคลั่ง
“คนผู้นั้นเป็นใคร…. เหตุใดถึงคาดเดาได้ถูกต้องว่าข้าถูกขังอยู่ที่นี่?” ฉุ่ยหยุนเทียนไม่อาจอดห้ามความตกใจ ความจริงของเหตุการณ์เมื่อ 23 ปีก่อน กระทั่งคนในสำนักจักรพรรดิใต้ยังไม่ทราบเรื่อง แล้วผู้ที่ไม่ได้เป็นคนของสำนักจักรพรรดิใต้ เหตุใดถึงมองออกได้!
ในสมองของฉุ่ยเมิ่งฉานปรากฎภาพเย่หวูเฉินนั่งอยู่บนรถเข็น ไร้ความขุ่นข้องต่อร่างกายที่พิการของตนเอง ทว่าเขาไปเอาความมั่นใจนั้นมาจากไหน ดวงตานางสั่นไหวและมัว จากนั้นกล่าวอย่างนุ่มนวล “เขาเรียกว่าเย่หวูเฉิน อายุน้อยกว่าสองปีเมื่อเทียบกับอู๋เชว….”
“…..!!” อายุเพียงเท่านี้ ทำให้ฉุ่ยหยุนเทียนตกตะลึง
ตอนนี้ ฉุ่ยเมิ่งฉานเริ่มเล่าเรื่องของเย่หวูเฉินให้เขาฟัง ทั้งสถานะตัวตนและวีรกรรมตะลึงโลกที่เขาสร้างไว้ นางกล่าวสรุปสั้นๆพอเป็นที่เข้าใจ จากนั้นเล่าถึงการติดต่อกับเขาแต่ละครั้งอย่างละเอียด โดยเฉพาะคำพูดที่เขากล่าว นางแทบเล่าออกมาครบถ้วน ฉุ่ยหยุนเทียนเงียบฟังอย่างนิ่งงัน ไม่ส่งเสียงแม้ครึ่งคำ ด้วยไม่อยากพลาดแม้คำเดียว
อย่างไรก็ตาม แม้จะฟังจากฉุ่ยเมิ่งฉานแล้ว เขาก็ยังไม่อาจเข้าใจ ว่าเย่หวูเฉินอาศัยสิ่งใดถึงสรุปได้ว่าเขาคือฉุ่ยหยุนเทียน…. อาศัยแค่เพียงได้ยินว่าในสำนักจักรพรรดิใต้มี “คนบ้า” อยู่เท่านั้น? ต้องมีสิ่งอื่นที่เขายังไม่ได้พูดออกมา…. ทว่าอย่างน้อย ทักษะการอนุมานของเขานั้น นับว่าน่ากลัวนัก
“เขาคือนายแห่งกระบี่หนานฮวง!” ฉุ่ยหยุนเทียนฉับพลันก็เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังถึงขีดสุด
ฉุ่ยเมิ่งฉานแววตาไหววับ ครุ่นคิดเล็กน้อยและกล่าว “ในอดีต ตอนที่ข้าได้ยินข่าวของกระบี่หนานฮวงเป็นครั้งแรก ข้าเองก็เกิดความสงสัย แต่หากเขาเป็นนายของกระบี่หนานฮวงจริงๆ เหตุใดจึงไม่เผยมันออกมา ทั่วทวีปไม่ว่าผู้ใดล้วนแต่ทราบว่า ผู้ใดเป็นนายแห่งกระบี่หนานฮวง ผู้นั้นย่อมเป็นนายแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ และจะภักดีชั่วชีวิต”
“ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่…. ฉานเอ๋อร์ เขาเป็นผู้มีปัญญาฉลาดล้ำอย่างแท้จริง! ตอนนั้น เขาย่อมเห็นสัญญาณบางสิ่งและคาดเดาได้ว่าสำนักจักรพรรดิใต้กำลังเสื่อมโทรมลง ในเมื่อกลายเป็นเสื่อมทราม เหตุใดเขายังจะเชื่ออีก? ฉานเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าด้วยกลุ่มคนทะยานที่ปกครองสำนักจักรพรรดิใต้อยู่ในตอนนี้ หากเขาเผยกระบี่หนานฮวงออกมาผลลัพธ์จะเป็นยังไง?”
“เขาก็จะ….ถูกสังหารและชิงกระบี่” ฉุ่ยเมิ่งฉานแจ่มแจ้งแก่ใจทันที
“ถูกต้อง ฉะนั้นเขาจึงไม่อาจเปิดเผย และใช้วิธีวาดรูปกระบี่หนานฮวงบนกระดาษแผ่นหนึ่ง เพื่อหยั่งเชิงสำนักจักรพรรดิใต้”
“แต่ว่า เพียงเท่านี้ยังไม่อาจยืนยันได้ว่ากระบี่หนานฮวงอยู่ที่เขา” ฉุ่ยเมิ่งฉานกล่าวเสียงเบา แม้นางเองก็เชื่อมั่นว่าเรื่องนี้เป็นไปได้อย่างมาก
“เรื่องนี้เรียบง่ายมาก….” ภายใต้ผมเผ้าที่รุงรัง ดวงตาของฉุ่ยหยุนเทียนยิ่งเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “สามปี…. หากกระบี่หนานฮวงปรากฎออกมาจริงๆ ด้วยศาสตราต้องห้ามในตำนานเพียงนี้ ผู้ใดจะทนเก็บเงียบโดยไม่เผยออกมาได้? ยิ่งกว่านั้น เจ้าบอกว่าสามปีก่อนเขาได้ใช้กระบี่อัคคีสังหารเทพ…. ยังจะมีพลังใดอีกที่สังหารยอดฝีมือขอบเขตเทวะได้? เหนือผิวกระบี่เหตุใดต้องคลุมด้วยอัคคี ภายใต้วิกฤติการณ์เช่นนั้นเขายังคงปิดบังมันไว้ เขาย่อมไม่อยากให้คนอื่นเห็น ว่าในมือเขานั้นถือกระบี่อะไรไว้”
หัวใจของฉุ่ยเมิ่งฉานเต้นกระหน่ำ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ที่นางมองข้ามมาโดยตลอด บัดนี้ได้ถูกฉุ่ยหยุนเทียนกล่าวออกมา คลื่นอารมณ์ถาโถมขึ้นในใจทันที
“หรือว่า เขาคือนายแห่งกระบี่หนานฮวงจริงๆ….”
ฉุ่ยหยุนเทียนเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “ข้าสามารถคิดเรื่องนี้ได้ ฉุ่ยหยุนหลันกับคนอื่นๆในสำนักจักรพรรดิใต้ก็ย่อมคิดได้เช่นกัน สามปีก่อนพวกมันไม่กล้าวู่วาม ยอมรับข้อเสนอสามปีและคลายใจไม่ทำหุนหัน ทว่าตอนนี้ เย่หวูเฉินกลับมาพวกมันย่อมไม่อดทนอีก พวกมันจะต้องลงมืออย่างแน่นอน”
ฉุ่ยเมิ่งฉานขมวดคิ้วบางมุ่น หัวใจบังเกิดความกลัวที่ไม่อาจอธิบายได้ “ข้าควรทำอย่างไร หากเย่หวูเฉินตกอยู่ในมือพวกมัน….”
“แต่ทว่า….ข้าคงไม่จำเป็นต้องกังวล ผู้ที่มีปัญญาลึกล้ำถึงเพียงนั้น ไหนเลยจะไม่คิดถึงเหตุกาณ์ที่อาจปรากฎ บางทีเขาอาจกำลังรอคอยให้พวกมันไปหาอยู่ก็เป็นได้” ฉุ่ยหยุนเทียนกล่าวช้าๆ หลังจากถูกทรมานมาหลายปี สติปัญญาของเขาไม่ได้ถูกทำลาย มีเพียงหัวใจที่แกร่งขึ้นดั่งศิลา
“ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน กระบี่หนานฮวงและคันศรเป่ยตี้ไม่เคยปรากฎ นั่นเป็นเพราะว่า พวกมันไม่อาจหาเจ้านายที่คู่ควรได้ ตอนนี้ เมื่อคนผู้นั้นปรากฎตัวออกมา…. ถูกยอมรับเป็นนายโดยกระบี่หนานฮวง เขาย่อมเป็นสุดยอดพรสวรรค์ผู้ตะลึงฟ้า เมื่อคิดถึงว่าเขามีจิตใจปานนี้ได้ย่อมนับเป็นเรื่องธรรมดา” จากนั้น เขากล่าวสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมาอย่างแผ่วเบา “แต่ว่า ถูกกระบี่หนานฮวงยอมรับเป็นเจ้านาย เขาจะเป็นเพียงคนพิการที่นั่งบนรถเข็นจริงๆหรือ?”
ฉุ่ยเมิ่งฉาน “……”
“ฮี่ ฮี่…. ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ นี่คงเป็นสวรรค์ที่ชดเชยให้กับข้า…. พราก 23 ปีแห่งชีวิตข้าไปเพื่อแลกกับเจ้านายแห่งชะตาที่ข้าปรารถนามาตลอด สวรรค์ย่อมไม่ทอดทิ้งสำนักจักรพรรดิใต้ของข้า บางที….ไม่สิ แน่นอนว่า ตราบใดที่ข้าติดตามเจ้านาย ชั่วชีวิตนี้ข้าย่อมสังหารศัตรูด้วยมือตัวเองได้ และฟื้นฟูสำนักจักรพรรดิใต้ให้กลับคืน!”
หัวใจที่เดิมทีสิ้นหวังราวกับถ่านไฟมอด ฉับพลันก็ลุกโชนโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้ง
ฉุ่ยเมิ่งฉาน “……”
……………..
……………..
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฉุ่ยเมิ่งฉานก็กลับไปยังเมืองเทียนหลง อารมณ์ในใจเปลี่ยนไปมากในเพียงไม่กี่วัน หลังจากกลับมาถึงเมืองเทียนหลงแล้ว นางต้องการพบเย่หวูเฉินเป็นอย่างแรก โลกที่พลิกผันและชีวิตที่เต็มไปด้วยการหลอกลวง ทำให้หัวใจนางเจ็บปวด เกิดความรู้สึกรางเลือนไม่เชื่อมั่นและปฏิเสธผู้คนที่อยู่รอบกาย เรื่องที่นางไปพบกับฉุ่ยหยุนเทียนในวันนั้นนางไม่ได้บอกแก่ผู้ใด และไม่เคยแสดงอาการผิดปกติแม้แต่น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าฉุ่ยหยุนหลัน
นางได้รู้ความจริงแล้ว ทว่านางยังคงเป็นนาง คนที่อยู่รอบกายไม่มีใครมองนางออก และนางไม่มีผู้ใดให้พึ่งพิงหรือหยิบยืมพลัง กระทั่งฉุ่ยหลิงเอ๋อร์ที่นางเชื่อใจที่สุด นางยังไม่กล้าบอก เพราะนางทราบดีว่าหากเรื่องนี้หลุดรั่วออกไปผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นเช่นใด
ความเจ็บปวดและสิ้นหวังในหัวใจ ใครเล่าที่นางจะปรึกษา? ชิงชังศัตรูเต็มหัวใจ จะมีวิธีใดไปชำระแค้น?
นางนึกออกเพียงแค่เย่หวูเฉิน ขณะที่โลกทั้งใบเปลี่ยนไปเป็นแปลกหน้า มีแต่เขาเท่านั้นที่ยังคงเดิม ขณะที่นึกถึงเขาหัวใจนางก็สงบลงอย่างประหลาด