“ปีนั้นที่ข้ากลับบ้าน ข้าบังเอิญได้ยินท่านพ่อกับท่านลุงคุยกันสั้นๆ ในตอนนั้น ท่านลุงเอ่ยถึงข้าแปลกๆว่า ‘ลูกสาวมัน’ นับแต่นั้นข้าก็เกิดความสงสัยลึกอยู่ในใจ ทว่าข้าอยากเชื่อมากกว่า ว่าทุกสิ่งเป็นข้าเข้าใจผิดเอง หรือไม่ข้าก็ฟังท่านลุงผิดไป ดังนั้น ข้าจึงเก็บเรื่องนี้ในใจไว้ไม่กล้าถามผู้ใด จนกระทั่งวันหนึ่ง คนผู้นั้นที่ข้านับถือได้คุ้ยแคะเรื่องหนักที่ฝังอยู่ในใจข้าขึ้นมา ทำให้ข้าหวนคิดถึงมันอีกครั้งและไม่อาจหลบเลี่ยงได้อีก หากข้าไม่ได้รู้ความจริง ชีวิตนี้ข้าคงไม่อาจสงบใจได้”
“บุรุษผู้สืบสายโลหิตตรงจากจักรพรรดิใต้ ย่อมประทับความภักดีในวิญญาณต่อบรรพบุรุษ ผ่านมาหลายชั่วรุ่นล้วนไม่เคยเปลี่ยนแปลง นี่คือสิ่งที่คนผู้นั้นบอกกับข้า ทว่าพ่อของข้ากลับละทิ้งการตามหากระบี่หนานฮวง หากไม่ใช่เพราะมีข่าวกระบี่หนานฮวงปรากฎขึ้นกะทันหันเมื่อสามปีก่อน เขาคงไม่เชื่อว่ากระบี่หนานฮวงนั้นมีอยู่จริง เขาทะยานล้ำอยากจะครอบครองโลก แต่น้องชายข้าอู๋เชวกลับยืนกรานท่องไปทั่วหล้าเพื่อตามหากระบี่หนานฮวงตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่ยอมทำตามความปรารถนาของท่านพ่อ ด้วยเหตุนี้พ่อกับลูกชายจึงไม่ลงรอยกัน น้อยนักที่เขาจะกลับบ้าน คนผู้นั้นอธิบายว่าเพราะน้องชายข้ามีสายโลหิตตรงของจักรพรรดิใต้ ทว่าพ่อของข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น….เรื่องนี้เป็นความจริงไหม?”
ชายเสียสติยังคงโหยหวนต่อ ไร้สัญญาณว่าจะหยุดลง
“ท่าน….เป็นบ้าจริงๆหรือ? เขายังบอกข้าอีก ว่าท่านไม่ได้บ้า ท่านเพียงอดกลั้นความอัปยศเพื่อรอโอกาสจากฟ้า เพื่อนำพาสำนักจักรพรรดิใต้กลับไปยังทิศทางที่ควร…. บอกข้าสิ ท่านบ้าหรือเปล่า? หากท่านเป็นเพียงคนบ้าจริงๆ ทุกสิ่งที่เขาพูดก็จะไร้ความหมาย ข้าจะได้วางทุกสิ่งลง ไม่ต้องจดจำมันอีก แต่หากท่านไม่ได้บ้า….ก็บอกข้ามาเถอะว่าท่านไม่ได้บ้าจริงๆ”
ฉุ่ยเมิ่งฉานมองชายสติฟั่นเฟือนที่อยู่ตรงหน้า มองยังดวงตาที่ถูกปกคลุมไว้ หัวใจยิ่งมายิ่งเต้นเร็ว ทั่วร่างของเขาสกปรกมอมแมม ทว่าแววตาที่มักตวัดมากลับกระจ่างชัด ไร้วี่แววหม่นมัว นางไม่รู้ว่าคนอื่นเคยเห็นแววตานี้ของเขาหรือไม่ ทว่าหลายปีที่นางได้พบเห็นผู้คนมากมาย ทำให้นางเข้าใจมนุษย์ดีพอ คนบ้าที่ซ่อนอารมณ์ไว้ใต้แววตาย่อมไม่ใช่คนบ้า…. ตอนนี้นางได้คำตอบมาครึ่งหนึ่งแล้ว
และนางจำเป็นต้องได้รับคำตอบยืนยัน
นางเคลื่อนมือไปที่ต้นคอ ค่อยๆถอดหยกรูปหยดน้ำแข็งสีฟ้าออก หยกชิ้นนี้นางสวมไว้ตั้งแต่จำความได้ นางรู้เพียงว่าพ่อกับแม่ช่วยกันสร้างหยกน้ำชิ้นนี้ขึ้นมาตอนที่นางเพิ่งเกิด พลังปราณที่อัดแน่นอยู่ภายในหยกไม่เพียงช่วยให้นางมีผิวพรรณงดงาม แต่ยังช่วยในการฝึกฝนพลังหยกวารีด้วย ผ่านมาแล้ว 25 ปี แต่พลังปราณในหยกน้ำชิ้นนี้ยังไม่หมดไป ในความมืดจะมองเห็นแสงสีฟ้าของมันได้ ในวันเกิดครบสามขวบของนาง ฉุ่ยฟู๋เอ๋อร์แม่ของนางยังบอกว่าห้ามละทิ้งหยกชิ้นนี้เด็ดขาด นางจึงสวมมันไว้ที่คออยู่ตลอด วันนี้นางจึงเข้าใจอย่างกระจ่าง ว่าเหตุใดแม่ของนางถึงไม่เคยยิ้ม และเหตุใดแม่ของนางถึงห้ามไม่ให้ละทิ้งหยกชิ้นนี้
นั่นก็เพราะ มันคือสิ่งผูกโยงพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดนาง หยกที่ห้อยคอนางชิ้นนี้ คือสัญลักษณ์ที่มีเพียงครอบครัวนางเท่านั้นที่รู้
ความสว่างของมุกเรืองแสงไม่อาจบดบังรัศมีสีฟ้าจากหยกน้ำ ทว่ามันกลับยิ่งส่งเสริมให้แสงฟ้าเด่นขึ้นอย่างประหลาด
เสียงร้องของชายเสียสติหยุดลงฉับพลัน ท่าทางบ้าคลั่งก็หยุดลง การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ฉุ่ยเมิ่งฉานหัวใจแทบจะหยุดเต้น เวลาและภาพตรงหน้าเหมือนจะหยุดลง
ความเงียบงันในชั่วเวลานี้ ทำให้ฉุ่ยเมิ่งฉานได้รับคำตอบที่อยากรู้มาตลอด ทั้งยังหวาดกลัวยิ่ง
“ฉาน….เอ๋อร์….”
ดวงตาสองข้างที่ซ่อนอยู่หลังผมยาวเริ่มสั่นไหว ค่อยๆพร่ามัวราวถูกคลุมด้วยชั้นน้ำหนา ในความเงียบสนิท ชายเสียสติเปล่งเสียงแหบพร่าถึงขีดสุด แม้เสียงนั้นยากจะฟังชัดเจน แต่ฉุ่ยเมิ่งฉานก็เชื่อมั่นว่าสองคำที่ทำหัวใจนางให้สั่นไหวนี้คือ “ฉานเอ๋อร์”….
ฉุ่ยเมิ่งฉานตะลึงค้าง ถึงแม้นางจะเตรียมใจมาก่อน ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้าย สตรีแกร่งกล้าผู้นี้ยังย่อกายลงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้น นางสูดหายใจลึกและเปล่งเสียงสั่นเครือ “ท่าน….พูดได้?”
คนบ้า….ที่ตอนนี้ไม่อาจเรียกว่าคนบ้า บางทีอาจเพราะไม่ได้พูดมานาน น้ำเสียงของเขาจึงไม่เพียงแห้งผาก หากยังแปลกแปร่งเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบฉุ่ยเมิ่งฉานแต่เริ่มกล่าวช้าๆ “ตอนที่เจ้าอายุสองขวบ….ข้าเคยถามเจ้าว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด….เจ้าบอกว่าอยากจะเห็นหิมะ….”
ฉุ่ยเมิ่งฉานราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทั่วร่างไหวเอนอย่างรุนแรง
“….พอข้าบอกว่าไม่อาจทำให้ได้ เจ้าก็ร้องไห้เสียอกเสียใจ…. ตอนนั้น ข้าบอกกับเจ้าว่าพอเจ้าโตขึ้น ข้าจะเดินทางไปยังตอนเหนือด้วยตัวเอง ตามหาเสวี่ยหนี่ที่สามารถสร้างหิมะคลุมฟ้า และพานางมาที่นี่….ทว่าสัญญาที่พ่อให้ไว้กับลูกสาวในตอนนั้น ผ่านมาแล้ว 23 ปีกลับไม่ยังไม่อาจบรรลุ….”
น้ำเสียงโศกเศร้าผสมสะอื้นของบุรุษ แฝงน้ำตาที่ไหลเป็นโลหิตอยู่ในใจ พอกล่าวตรงนี้ เขาก็ดูเหมือนคนบ้าจริงๆ
แต่ละคำเหมือนค้อนหนักหน่วงฟาดหัวใจของฉุ่ยเมิ่งฉาน เพียงไม่นานน้ำตาก็ไหลอาบหน้า ความโศกเศร้า , ขมขื่น , ตกใจ , สับสน….อารมณ์ซับซ้อนทุกสิ่งอย่างพรั่งพรูมาพร้อมกัน ของขวัญวันเกิดตอนสองขวบที่นางอยากได้นั้น มีเพียงพ่อกับนางที่รู้เรื่องนี้
และหลังจากนางอายุสองขวบ นางก็ไม่เคยเห็นแม่ยิ้มอีกเลย พ่อของนางยังคงใจดี ทว่านางกลับรู้สึกเหินห่างไม่อาจสัมผัสความอบอุ่นด้วยกายและจิตใจ ทั้งที่ปกตินางจะเพลิดเพลินกับความรักของบิดา
มุกเรืองแสงหลุดร่วงลงจากมือพร้อมกับหยกรูปหยดน้ำ มุกเรืองแสงตกถึงพื้นขณะที่หยกน้ำห้อยอยู่เพราะติดสายเงินในมือ มันทอแสงสีฟ้าบางในอากาศ ฉุ่ยเมิ่งฉานริมฝีปากสั่นเครือ นางส่งเสียงสะอื้นกล่าว “ท่าน….เป็น เป็นพ่อข้าจริงๆ….”
ทำไม….ทำไมถึงเป็นแบบนี้….
ชายเสียสติ….กลับเป็นบิดานาง….เช่นนั้นคนที่นางเรียกหาว่าพ่อที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใคร ทำไมพวกเขาต้องปิดบังไว้!
“ฉานเอ๋อร์ ผ่านมา 23 ปี…. ในที่สุดเจ้าก็โตเพียงนี้แล้ว…. ได้เห็นเจ้าอีกครั้ง ต่อให้พ่อตายในตอนนี้ ก็ไม่เสียใจมากนักแล้ว” ชายเสียสติกล่าวทั้งน้ำตา ความเจ็บปวดทรมานที่เก็บไว้ ของชายที่อดกลั้นความอัปยศมาถึง 23 ปีโดยไม่ยอมแพ้ ในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยด้วยน้ำตา หยดน้ำกระจ่างร่วงอาบใบหน้าอย่างไม่อาจควบคุม….
23 ปี ชีวิตหนึ่งจะเวียนครบ 23 ปีได้กี่ครั้ง เมื่อ 23 ปีก่อนคือช่วงชีวิตที่ดีที่สุด เขามีลูกสาวที่น่ารักและภรรยาที่รักเขา
และยังเป็นว่าที่ประมุขหนึ่งเดียวแห่งสำนักจักรพรรดิใต้
อย่างไรก็ตาม ความพลิกผันครั้งใหญ่เมื่อ 23 ปีก่อนทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปสิ้น ชีวิตเขาราวกับจมอยู่ในฝันร้ายตลอดไป และฝันร้ายนั้นดำเนินมาถึง 23 ปีแล้ว
เวลา 23 ปีย่อมมากเกินพอที่จะทำให้ผู้มีร่างกายและจิตใจธรรมดากลายเป็นบ้า ทุกคนล้วนแต่คิดว่าเขาเสียสติ ทว่าความจริงแล้วเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“อยู่ต่อไป….” ตอนที่ถูกแผนร้ายเขาบอกกับตัวเองว่าจะต้องไม่ตาย เพราะถ้าหากเขาตาย สายโลหิตตรงของจักรพรรดิใต้ย่อมขาดสูญ ดังนั้น ด้วยความซื่อสัตย์ภักดีอย่างลึกล้ำ และความรักที่มีต่อบุตรีและภรรยา เขาจึงทนอดกลั้นตลอด 23 ปีด้วยความคั่งแค้น ตราบใดยังมีชีวิตตราบนั้นก็ยังมีหวัง เขาเชื่อว่าสวรรค์ย่อมไม่ปล่อยให้สายโลหิตของจักรพรรดิใต้ต้องขาดสูญเพียงเท่านี้
ต่อมา เขาทราบจาก ‘ฉุ่ยหยุนเทียน’ ว่าภรรยาตนที่ตั้งท้องได้ให้กำเนิดบุตรชาย เขาร้องไห้โหยหวนอย่างบ้าคลั่ง…. นับแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็บอกกับตัวเองว่าจะต้องอยู่ต่อไป อดกลั้นต่อความเจ็บปวดและอัปยศทุกสิ่ง เพื่อที่วันหนึ่งจะได้บอกความจริงกับบุตรชาย เพราะมีเพียงผู้ที่สืบสายโลหิตบริสุทธิ์ของจักรพรรดิใต้เท่านั้นที่จะภักดีต่อบรรพบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ต่อให้โลกหล้าผันเปลี่ยนไปเพียงใด บุตรชายของเขาย่อมไม่เปลี่ยนความเชื่อและภักดีเพียงเพราะ ‘พ่อ’ ผู้นั้น
ปีแล้วปีเล่า เขาแสร้งทำเป็นบ้าและโง่เขลา เพียงเพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่ต่อ และเพื่อระบายความชิงชังในหัวใจ รอคอยโอกาสที่จะมา เขาอดทนได้สำเร็จตลอด 23 ปี เมื่อความบ้าคลั่งกลายเป็นนิสัย กระทั่งบางคนที่ไม่อยากให้เขาอยู่ต่อยังลืมเลือนตัวตนของเขาจนสิ้น นอกจาก ‘ฉุ่ยหยุนเทียน’ ก็ไม่มีผู้ใดอยากเหยียบเท้าเข้าใกล้สถานที่นี้อีก ไม่ต้องกล่าวถึงสภาพน่ารันทดของเขา เพียงสภาพแวดล้อมก็เพียงพอให้ผู้คนถอยเท้า
23 ปี ความเจ็บปวดที่เขาได้รับย่อมไม่มีคนธรรมดาใดสามารถจินตนาการได้…. ราวกับสวรรค์เห็นใจ ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้พบลูกสาวที่ไม่เห็นหน้ามากว่า 23 ปี หัวใจที่ดิ้นรนมีชีวิตอย่างเจ็บปวดได้ตื่นขึ้น หนุนน้ำตาที่อดกลั้นมานานเกินไป นับแต่ฉุ่ยเมิ่งฉานก้าวเข้ามา ถ้อยคำของนางก็ทำให้หัวใจเขาสั่นไหวบ้าคลั่ง ไหนเลยเขาจะอดกลั้นได้ต่อ ไหนเลยจะอดทนความดีใจที่หายไปถึง 23 ปี เมื่อฉุ่ยเมิ่งฉานนำหยกที่เขาเป็นผู้สวมให้ด้วยตัวเองออกมา เขาจึงรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่การทดสอบ…. ที่เขาเห็นคือลูกสาวตนเอง หัวใจที่เต้นกระหน่ำทำให้เขาอยากกู่ร้อง ทว่าเขาไม่อาจปลุกคนอื่นตื่น จึงต้องระงับความตื่นเต้นที่แทบไม่อาจควบคุม และเขาไม่อาจห้ามน้ำตาได้ ต่อหน้าลูกสาวตน บิดาเข้มแข็งผู้นี้ได้พ่ายแพ้อย่างง่ายดาย
“ทำไม….ไม่จริง….ทำไมถึงเป็นแบบนี้….บอกข้าสิ ทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้….” นางไม่เห็นใบหน้าของเขา ไม่อาจจำเสียงของเขาได้ ทว่าอาการของเขาเมื่อเห็นหยกนี้ รวมถึงคำพูดที่กล่าวออกมา ทำให้นางไม่อาจสงสัยได้อีก
ว่าเขาคือพ่อของนาง