เย่หวูเฉินคาดเดาไว้อย่างน่าหวาดหวั่นทั้งยังกลายเป็นความจริง เป็นความโหดร้ายที่นางต้องเผชิญ ผู้ที่นางเรียกหาว่าพ่อกลับเป็นคนทำร้าย ‘พ่อ’ แท้ๆของนางมาตลอด 20 ปี ด้วยความสามารถไร้ที่ติ เขากลับกระทั่งอยากให้นางแต่งงานกับคนที่แก่กว่าเขาเพื่อกุมอำนาจในอาณาจักรเทียนหลง ใครบ้างจะทนการหลอกลวงเช่นนี้ได้ เมื่อลูกสาวต้องเห็นพ่อตัวเองถูกขังในสถานที่แบบนี้มาตลอด 20 ปี
ตั้งแต่นางยังเด็ก นางรู้เพียงว่าในสำนักได้ขังคนบ้าไว้ผู้หนึ่ง ระหว่างที่เติบโตขึ้น บางครั้งนางเข้าใกล้ที่นี่โดยไม่ทันระวังและมักได้ยินเสียงโหยหวนของคนบ้า ทำให้นางหวาดกลัวและหนีออกไป….ใครจะคิดว่าเขากลับเป็นพ่อของตัวเอง
ความเจ็บปวดชำแรกเข้าสู่หัวใจ รวดร้าวจนแทบไม่อาจหายใจออก นางรีบเคลื่อนกายไปข้างหน้า ไม่สนใจความสกปรกรุงรังที่นางแทบไม่เคยสัมผัส ดึงโซ่สีทองหวังทำลายมัน ทว่าเมื่อนางเคลื่อนพลังหยกวารีไปที่ฝ่ามือทั้งสองข้างจนเปล่งเป็นแสงสีฟ้าเย็น โซ่ทองนี้กลับไร้ความเสียหายทั้งที่หากเป็นโซ่ทั่วไปมันจะขาดทันที ยิ่งกว่านั้น นางยังรู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังหยกวารีกลับสลายไปทันทีที่สัมผัสกับโซ่ทอง
“เปล่าประโยชน์ นี่คือโซ่ตรวนผนึกปีศาจที่จักรพรรดิใต้ทิ้งไว้ให้กับสำนักจักรพรรดิใต้ นอกจากกระบี่หนานฮวง สิ่งอื่นไม่อาจทำลายมันได้ ทว่าสำหรับพวกเราแล้ว เมื่อถูกโซ่ตรวนผนึกปีศาจพันธนาการไว้ พลังที่รับมาจากจักรพรรดิใต้ก็จะถูกผนึกเช่นกัน…. ไม่อย่างนั้น ไหนเลยพวกมันจะปล่อยให้ข้าอยู่ที่นี่ โดยไม่กลัวว่าข้าจะหนีหรือถูกช่วย” เขาส่ายศีรษะ ผมยาวประพื้นแกว่งไกวและยังบดบังใบหน้าไว้อยู่
“พวกเขา….คือใคร?” ฉุ่ยเมิ่งฉานยอมแพ้ นางยืนอย่างอ่อนแรงอยู่ตรงนั้น ทั้งกลิ่นและภาพชวนอึดอัดไม่อาจกระทบจิตใจนาง นางอยากรู้ความจริงทั้งหมดยิ่งกว่าสิ่งใด เหตุใดเรื่องทั้งหมดถึงเป็นแบบนี้ และนางต้องการใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อช่วยพ่อของนาง
กระบี่หนานฮวง….
เย่หวูเฉิน ท่านชนะ…. เป็นอีกครั้งที่ท่านใช้เพียงไม่กี่คำเคลื่อนคลื่นลมที่ท่านต้องการเห็น ข้าควรจะชื่นชมท่าน กล่าวโทษท่าน หรือขอบคุณท่านดี…. ข้าฉุ่ยเมิ่งฉานกลายเป็นเบี้ยหมากที่ท่านใช้บนกระดาน ทว่าตอนนี้ ข้ามีเพียงต้องไปตามทิศทางที่ท่านชี้
ต่อหน้าท่าน ข้าเป็นได้เพียงผู้แพ้
แต่ดีแล้วที่เจียมตัว ดีแล้วที่ได้รู้ความจริง ในชีวิตนี้ ข้าหวังว่าจะไม่ต้องเป็นศัตรูกับท่าน
“พวกมันเป็นใคร…. พวกมันครั้งหนึ่งเคยเป็นสหายและพวกพ้องที่ดีที่สุดของข้า…. เป็นอาวุโสที่น่าเคารพสูงสุด…. ฉุ่ยหยุนหลัน , ฉุ่ยหยุนพ๋อ , ฉุ่ยหยุนซุ่ย….. ฉุ่ยเสวียนฟง , ฉุ่ยเสวียนจ้ง , ฉุ่ยซื่อซ่าย และ ฉุ่ยอู๋เทียน…. คนเหล่านี้ ต่อให้ข้ากลายเป็นเถ้าธุลี ข้าก็ไม่มีวันลืมชื่อพวกมัน!!”
เขากล่าวชื่อต่ออีกกว่า 30 ชื่อ แต่ละชื่อขุดออกจากใจที่เกลียดชังไร้สิ้นสุด ทันใดนั้นอากาศใต้ดินก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความชิงชัง ความเกลียดที่เขามีต่อพวกมันได้ฝังลึกถึงไขกระดูกทุกอณู แต่ละวันผ่านไปใน 23 ปี ต่อให้เขาได้กินเนื้อพวกมัน ,ได้เลาะกระดูก , ได้เถือหนัง , หรือได้ดื่มเลือด ก็ไม่อาจระงับความเกลียดชังนี้ได้
30 คน ตัวเลขนี้ย่อมไม่นับเป็นอันใดต่อสำนักจักรพรรดิใต้ ทว่าแต่ละชื่อที่ฉุ่ยเมิ่งฉานได้ยินนั้น ต้องทำให้หัวใจนางเต้นกระตุกอย่างรุนแรง จนกระทั่งเมื่อเขาพูดจบ หัวใจนางก็อัดแน่นด้วยความตระหนก คนเหล่านี้ คือขุมกำลังของสำนักจักรพรรดิใต้ในปัจจุบัน มีบางคนอยู่ภายนอกแกร่งกล้าเป็นที่จับตา ทุกนามน่าตระหนกไม่มีข้อยกเว้น
“ฉุ่ยหยุนหลัน….เป็นใครกัน?” นี่คือชื่อเดียวที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่านี่เป็นชื่อที่เขาเอ่ยถึงเป็นชื่อแรก เห็นได้ชัดว่าเขามีความเจ็บแค้นต่อคนผู้นี้อย่างรุนแรง หรือว่า….
“ฉุ่ยหยุนหลัน…. ฉุ่ยหยุนหลัน…. มันก็คือคนที่สวมรอยเป็นข้า!!!”
ฉุ่ยเมิ่งฉานร่างกายไหวโงนเงน
ฉุ่ยหยุนหลัน…. คนผู้นั้นที่นางเรียกว่า ‘พ่อ’ มากว่า 20 ปี…. ที่แท้ พวกเขาก็มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน มิน่าล่ะ….
และคนที่อยู่ตรงหน้า บิดานางผู้นี้ คือฉุ่ยหยุนเทียนตัวจริง
“ท่านพ่อ….” ในที่สุดนางก็ร้องเรียกด้วยความโศกเศร้า ร้องไห้ด้วยน้ำตา…. นางจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ร้องไห้คือเมื่อใด บางทีอาจเมื่อไม่กี่ปีก่อน บางทีอาจเมื่อสิบกว่าปีก่อน…. ขณะที่น้ำใสเต็มดวงตา นางก็จำได้ว่ายามยังเด็กนางมักมีรอยยิ้มแห่งความสุข มักหยอกล้อและก่อปัญหา มักอ้อนวอนขอสิ่งที่เป็นไปไม่ได้กับพ่อตัวเอง…. ช่วงเวลาอบอุ่นในวัยเด็กหวนกลับสู่ความทรงจำ หลังจากอายุสองขวบ ‘พ่อ’ นางก็ถูกสับเปลี่ยน พ่อที่เคยชมชอบของนางได้จากไป เขาต้องทนเจ็บปวดอย่างอยุติธรรมโดยอมนุษย์จนไม่เห็นเดือนตะวัน
เสียใจ , เจ็บปวด , เกลียดชัง , ละอายใจ…. นางร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวโยน ร้องไห้ให้กับพ่อตัวเอง ร้องไห้ให้กับชีวิตนางที่ถูกหลอกลวง
ฉุ่ยหยุนเทียนหลับตาลงช้าๆ หัวใจที่ใกล้ตายสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น สิ่งนี้เรียกว่า ‘ครอบครัว’ เขาปรารถนาถึงมันมาตลอดหลายปี อดทนต่อทุกสิ่ง ในที่สุดสวรรค์ก็เปิดตา และมอบสิ่งที่ควรเป็นของเขากลับคืน
“ท่านพ่อ บอกข้า…. ข้าอยากรู้ความจริง…. ท่านแกล้งทำเป็นเสียสติ อดทนไม่ยอมร่วงหล่นอยู่ในนี้ ทุกวันแกล้งส่งเสียงจนทุกคนเข้าใจว่าท่านสติฟั่นเฟือน ท่านรอข้าก่อน…. พวกเราจะแก้แค้นด้วยกัน…. ข้าสามารถเอากระบี่หนานฮวงมาได้ในไม่ช้า ถึงตอนนั้นท่านจะได้ออกไป…. ท่านพ่อ พวกเขาพูดกันว่าท่านถูกตัดลิ้น ไม่อาจกล่าวคำได้อีก ทำได้เพียงส่งเสียงร้องประหลาด แต่เหตุใดท่านจึง….”
ฉุ่ยหยุนเทียนเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาที่ยังคลุมด้วยน้ำใสนั้นไม่ทราบว่าโศกเศร้าหรือดีใจ เขากล่าวคำด้วยเสียงแหบพร่า “ในอดีตข้าเคยถูกตัดลิ้นจริงๆ ข้ายังเคยคิดว่าชีวิตนี้คงไม่อาจเปล่งวาจาได้อีก…. แต่การคาดคิดของมนุษย์ไหนเลยจะเท่าฟ้า ไม่กี่วันต่อมาลิ้นของข้าได้งอกกลับคืน…. และตอนนั้นข้าถึงได้เข้าใจ ว่าโลหิตจักรพรรดิใต้คู่ควรเป็นโลหิตแห่งเทพ ไม่เพียงช่วยให้แผลหายอย่างรวดเร็ว แต่ยังช่วยให้อวัยวะที่สูญเสียงอกกลับคืนมาได้…. ด้วยสายโลหิตบริสุทธิ์แห่งเทพของพวกเรา มนุษย์ธรรมดาทั่วไปจึงไม่อาจเปรียบเทียบ”
“ที่แท้….ก็เป็นเช่นนี้….” ฉุ่ยเมิ่งฉานกล่าวคำอย่างเลื่อนลอย
“แม่ของเจ้า….นางสบายดีไหม? ลูกชายข้า…. น้องของเจ้า เขาเรียกว่าอู๋เชวใช่หรือเปล่า? ปีนี้เขาโตแค่ไหนแล้ว? สูง….” เสียงของฉุ่ยหยุนเทียนพลันขาดห้วงลง เมื่ออรุณรุ่งแห่งความหวังมาถึง ความรวดร้าวก็พลันทิ่มแทง ความหวังและความกังวลทะลักล้นจนแทบจะฉีกหัวใจเขา
เมื่อได้ยินเขาถามถึงมารดาตน หัวใจของฉุ่ยเมิ่งฉานก็ยิ่งเจ็บปวด ตอนนี้ นางรู้แล้วว่าแม่ของตนต้องทนทรมานสาหัสมาตลอดหลายปี แม่ของนางรู้เรื่องทั้งหมดนี้และต้องทนเก็บไว้อย่างเงียบงัน สามีนางอยู่ห่างแค่เอื้อม ทว่ากลับไม่อาจเห็นหน้า ทั้งยังต้องมอบกายให้กับคนที่ทำร้ายครอบครัวตน นี่จะเป็นความทรมานปานไหน
ตลอดชีวิต 20 กว่าปีอันสงบเรียบง่ายของนาง กลับมีความจริงที่แสนโหดร้ายซ่อนเอาไว้
ความเกลียดชังที่ไม่อาจบรรยายแผ่ขยายในหัวใจอีกครั้ง
“ท่านแม่ นางไม่เคยยิ้ม ข้ารู้มาตั้งแต่เด็กว่านางสมควรประสบเรื่องเลวร้ายในอดีต หากได้รู้เหตุผลก็วันนี้ อู๋เชวเขาทำตัวเป็นขบถมาตั้งแต่เด็ก…. เขาไม่เคยฟังคำของคนผู้นั้น จนในที่สุดพวกเขาก็ไม่คุยกันอีกเลย ความสัมพันธ์ของเขากับคนในสำนักยิ่งแย่มาก มีหลายคนที่ต่อต้านเขา เมื่อเขาถึงวัยหนุ่มก็ได้เดินทางไกลออกจากบ้านเพียงลำพัง ยึดมั่นต่อคำสั่งบรรพบุรุษที่ทุกคนในสำนักจักรพรรดิใต้ล้วนลืมเลือน คือตามหากระบี่หนานฮวง หลายปีมานี้เขาติดต่อกับข้าอยู่เป็นประจำ และบางครั้งก็กลับไปพบท่านแม่ แต่เขาไม่เคยคิดจะอยู่ในสำนักจักรพรรดิใต้อีก” ฉุ่ยเมิ่งฉานเล่าอธิบาย
“น้องหญิงฟู๋….”
“อู๋เชว….”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า , ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า…. ประเสริฐ ประเสริฐนัก! อู๋เชว สมแล้วที่เป็นลูกข้า คู่ควรแล้วที่เป็นบุตรข้าฉุ่ยหยุนเทียน เจ้ามีจิตใจถึงเพียงนี้ได้ ต่อให้ข้าตายตอนนี้ก็ไม่เสียใจแล้ว….” เขาเอ่ยชื่อลูกชายที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แย้มยิ้มทั้งน้ำตา เขาพลันรู้สึกว่าความทรมาน 23 ปีนี้เมื่อแลกกับข่าวที่ได้ยิน ต่อให้เขาตายทันทีก็นับว่าพอใจแล้ว
“ท่านพ่อ รีบบอกข้ามาเถอะ เกิดอะไรขึ้นในอดีต….บอกข้ามาเร็ว!” ยิ่งนาน นางยิ่งอยากรู้คำตอบ และยิ่งทำให้นางไม่อาจควบคุมตัวเอง ด้วยทุกสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า ทำให้นางไม่ทราบว่าจะก้าวเดินไปทางใด หลังจากผ่านวันนี้ไป นางไม่รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใดอีก และต่อให้รู้คำตอบ ชีวิตนางก็ยังคงพลิกผันอย่างทารุณ ดังนั้นนางจะต้องรู้เรื่องทั้งหมด
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ฉุ่ยหยุนเทียนระงับน้ำตาที่ไหลร่วง ศีรษะยังคงห้อยลง เรียบเรียงความคิดที่ปั่นป่วนจากแรงกระทบมากมาย ผ่านไปนานเขาจึงเริ่มกล่าวขึ้นช้าๆ “ฝันร้ายนั่น เกิดขึ้นเมื่อ 23 ปีก่อน ตอนที่เจ้าอายุครบสองขวบ”
“สำนักจักรพรรดิใต้ของข้า แม้ว่ามีพลังกล้าแกร่งยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ ทว่าพวกเราไม่เคยต้องการยืนอยู่เหนือโลกและทอดตามอง สิ่งเดียวที่ปรารถนาคือตามหากระบี่หนานฮวงและผู้เป็นนาย หากไม่ว่ากี่ร้อยพันปี สำนักจักรพรรดิใต้กลับมีแต่ผิดหวังรุ่นแล้วรุ่นเล่า ความผิดหวังไร้สิ้นสุดที่สะสมตลอดมา ทำให้เสียงคัดค้านค่อยๆดังขึ้น ภายในสำนักจักรพรรดิใต้เริ่มเกิดการแตกแยก และนำไปสู่ทิศทางที่อันตราย”
“เมื่อมนุษย์ธรรมดาครองพลังที่ผู้อื่นไม่อาจต่อต้าน เป็นพลังที่สามารถครอบงำโลกได้ หากกลับทำได้เพียงตามหาสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะมีอยู่จริงเพียงเพราะคำว่าหน้าที่ จึงไม่ง่ายเลยที่ผู้คนจะยอมรับชีวิตอันสูญเปล่า โดยเฉพาะเมื่อล้มเหลวมามากมาย กระทั่งภารกิจยังกลายเป็นเรื่องหลอกลวง ปีแล้วปีเล่า สัญญาณแตกแยกและคำถามมากมายผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากแต่ละครั้งยังสามารถสงบลง ทว่าเมื่อร้อยปีก่อน สำนักจักรพรรดิเหนือได้เกิดการเปลี่ยนแปลง กระตุ้นให้คนจำนวนมากถูกความปรารถนาครอบงำ ด้วยพลังที่อยู่ในมือ พวกเขาไม่อยากเก็บงำพลังไว้อย่างเปล่าประโยชน์ แต่ต้องการแสดงพลังออกและก้าวขึ้นอยู่เหนือโลก”
“ด้วยเหตุนี้…. อันที่จริง ข้าเองก็พอรู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้….” เมื่อนึกถึง ‘ฉุ่ยหยุนเทียน’ หรือความจริงคือฉุ่ยหยุนหลัน ที่ทำตามความทะยานอยากของตัวเองมาตลอดหลายปี ความชิงชังและเสียใจก็พวยพุ่งขึ้นถึงขีดสุด