📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยาย Heavenly Star สวรรค์มวลดาว – เล่ม 6 ตอนที่ 315

บทที่ 315 - ท่านคือใคร
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

“บางทีสวรรค์คงสงสารถึงได้มอบโอกาสให้กับข้า และโอกาสนี้ยังเป็นเจ้าที่มอบให้ข้าเอง ข้าจึงแย่งน้องหญิงฟู๋จากเจ้าได้ในที่สุด ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ข้าครอบครองตัวนางแต่ไม่มีสักวันที่ได้กุมหัวใจ ข้าไม่เคยเห็นนางหัวเราะ ไม่มีสักครั้งที่นางจะเอื้อนวาจาก่อน กระทั่งเมื่อตั้งครรภ์ นางก็ทำลายเด็กในครรภ์ทิ้ง นางเกลียดข้าเช่นเดียวกับที่ข้าเกลียดเจ้าเมื่อในอดีต….”

“….อ๊า!!…. ฮี่ ฮี่…. ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า….” เสียงโหยหวนโศกเศร้าสะท้อนในถ้ำเป็นเวลานาน ราวกับเสียงเพรียกของภูติผี

“บุตรของนางข้าย่อมไม่ทำร้าย ทั้งยังไม่กล้าทำร้าย บุตรของนางก็เหมือนกับเจ้าในยามหนุ่ม ข้าเห็นมันแต่ละครั้งมีแต่ความหงุดหงิด ดังนั้นมันอยากไปที่ใดก็ให้มันไป ยิ่งข้าเห็นมันน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี ลูกสาวของนางเทียบกับเจ้าแล้วเชื่อฟังกว่ามาก นางไม่เคยขัดขืนคำสั่งข้าแม้แต่น้อย ข้าให้นางแต่งกับคนที่แก่กว่าเจ้าและข้าเพื่ออำนาจของสำนักจักรพรรดิใต้…. บางที นี่คงเป็นการระบายความชิงชังอย่างหนึ่ง แม้ว่าเจ้าจะเป็นคนเสียสติ แต่อย่างไรก็ยังมีทายาท เป็นคนที่กุมหัวใจของน้องหญิงฟู๋ ข้าไม่รู้ว่าควรสมเพชเจ้า ชิงชังเจ้า หรืออิจฉาเจ้า ทว่าอย่างน้อย ต่อให้ข้าเกลียดเพียงใดก็จะไม่ฆ่าเจ้า เพราะความตายมีแต่จะทำให้เจ้าหลุดพ้น มีเพียงให้เจ้ามีชีวิตอยู่เหมือนตายเท่านั้น ที่ข้าอยากเห็นที่สุด”

ถ้อยคำเย็นเยียบไร้หัวใจเปล่งออกมาทีละคำ สีหน้าของฉุ่ยหยุนเทียนดูน่ากลัวขณะที่พูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมา และภูติผีที่อยู่ตรงหน้าไม่มีอาการต่อคำแม้แต่น้อย คำพูดพวกนี้ถูกกล่าวซ้ำๆมาตลอดหลายปี ในอดีตฉุ่ยหยุนเทียนทั้งเกลียดและอิจฉา ดังนั้นเขาจึงทำลายคนผู้นี้ด้วยมือตัวเอง ยามเผชิญหน้ากับชายเสียสติ ความขุ่นข้องในใจกลับถูกแทนที่ด้วยความพอใจประหลาด

“ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตาย ทั้งยังจะภาวนาให้ทุกวัน ดังนั้นเจ้าก็อย่าเพิ่งรีบตายล่ะ”

ฉุ่ยหยุนเทียนหันกายกลับในที่สุด สายลมกรรโชกพัดเปลวเทียนให้ดับลง ในถ้ำกลับมามืดสนิทอีกครั้ง มีเพียงเสียงร้องที่เหมือนดังมาจากขุมนรก ฉุ่ยหยุนเทียนเดินออกมาและลิ่วร่างขึ้นจากคุกใต้ดินที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เขากลับไปด้วยความสงบไร้ที่เปรียบ

…………….

…………….

ไม่กี่วันต่อมา ณ สำนักจักรพรรดิใต้ , ตำหนักเลือกดารา

ฉุ่ยหยุนเทียนร่างสูงสง่า ดวงตาสองข้างปิดไว้แน่น ร่างกายไม่ได้ขยับเขยื้อนใดๆ เพียงยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้นตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน

เวลานี้เอง เขาลืมตาขึ้นในที่สุด ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา จากกลิ่นอายที่สัมผัสได้ เขาเดาได้ถูกต้องทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขามุ่นคิ้วเล็กน้อย

“ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว” ฉุ่ยเมิ่งฉานในชุดสีชมพู ใบหน้าคลุมด้วยผ้าบางละเอียด งดงามราวเซียนฟ้าจุติมาในความฝัน

“มีเรื่องสำคัญใด?” ฉุ่ยหยุนเทียนถามและค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่อยู่ใกล้ๆ

ฉุ่ยเมิ่งฉานสั่นศีรษะ นางนั่งลงตรงที่ตรงข้ามกับฉุ่ยหยุนเทียน “ข้าไม่ได้กลับมานานมากแล้ว หลายวันนี้เป็นช่วงพระจันทร์เต็มดวง ใจรู้สึกคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่ขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่อาจทนได้”

ฉุ่ยหยุนเทียนยิ้มและหัวเราะ “ในเมื่อกลับมาแล้ว ก็อยู่เป็นเพื่อนแม่เจ้าให้มาก หลายปีมานี้คงลำบากเจ้าแล้ว”

ฉุ่ยเมิ่งฉานสั่นศีรษะบาง “เทียบกับท่านลุงแล้ว สิ่งที่ข้าทำถือว่าเล็กน้อยเท่านั้น” นางหยุดเล็กน้อยและเอ่ยถาม “อู๋เชวล่ะ?”

ได้ยินนางถามถึงฉุ่ยอู๋เชว คิ้วของฉุ่ยหยุนเทียนก็ขมวดมุ่น เขาแค่นเสียงเย็นและกล่าว “เฮอะ เจ้าลูกดื้อคนนี้มันอยากไปไหนก็ไป ข้าไม่มีลูกชายแบบนี้”

ฉุ่ยอู๋เชวเป็นน้องชายที่อายุน้อยกว่าฉุ่ยเมิ่งฉานอยู่สองปีครึ่ง มีนิสัยรักความสนุกสนานอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของประมุข แต่เขากลับเข้ากับคนอื่นๆไม่ได้ ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้เขาจึงไม่ได้อยู่ในสำนัก อย่างไรก็ตาม ความพูกพันระหว่างพี่สาวและน้องชายของฉุ่ยเมิ่งฉานนั้นนับว่าดียิ่ง

ฉุ่ยเมิ่งฉานถอนใจบางและกล่าวปลอบ “ท่านพ่ออย่าได้โกรธเลย อู๋เชวยังเป็นเด็กหนุ่ม อยู่ในวัยที่ชอบสนุกสนาน ปล่อยให้เขาทำตามใจเถอะ”

“ฮ่าย” ฉุ่ยหยุนเทียนส่ายศีรษะอย่างผิดหวังและถอนหายใจ “เจ้าเอาแต่ปกป้องมัน ตอนนี้มันอายุตั้ง 20 แล้ว ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป…. ในใจมันกลับไม่เคยคิดถึงบิดาผู้นี้เลยสักนิด อยากไปไหนก็ไปตามใจ ถ้าหากมันได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า บิดาผู้นี้คงพอคลายใจได้บ้าง”

“ข้าขอไปพบท่านแม่ก่อน หลังจากนั้น ข้าจะมาหาท่านพ่อทีหลัง พร้อมกับบอกสถานการณ์ในเมืองเทียนหลง” ฉุ่ยเมิ่งฉานลุกขึ้นยืน ม่านตาเรียบดั่งแผ่นน้ำ น้ำเสียงนุ่มนวลดั่งสายลม

“เจ้าไปเถอะ ใช้เวลาอยู่กับแม่เจ้าให้มาก” ฉุ่ยหยุนเทียนพยักหน้าให้ หลังจากที่ฉุ่ยเมิ่งฉานออกไป เขาก็ค่อยๆหลับตาลงพร้อมรำงับกลิ่นอายจนหายไปหมดสิ้น

เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ในเชิงยุทธที่แท้จริง และยิ่งเขาใช้ความพยายามมากกว่าคนทั่วไปถึงสองเท่า ความสำเร็จในวันหน้าจึงย่อมไม่อาจคาดเดา

ในคืนนั้น

เป็นคืนมืดมิด ไร้แสงจันทร์และดวงดาว พระจันทร์เต็มดวงที่ควรฉายแสงฉาบทาผืนโลกกลับถูกบดบังด้วยกลุ่มเมฆทะมึน ในความมืดนั้น มีร่างงดงามประดุจเซียนฟ้าในชุดชมพู ย่างฝ่าเท้าเหนือผืนดินอย่างเงียบงัน ตรงไปยังพื้นที่ในความทรงจำ นางแต่งกายธรรมดาไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดสำหรับอำพรางในความมืด ไม่อย่างนั้น หากถูกจับได้นางจะน่าสงสัย

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ นางก็ได้ยินเสียงร้องราวสัตว์ป่าในที่สุด ในคืนนี้ คนเสียสติก็ยังคงส่งเสียงโหยหวนน่ากลัวไม่หยุดหย่อน ยิ่งประสมกับบรรยากาศอันมืดสนิทก็ยิ่งบีบรัดหัวใจผู้คน

ฉุ่ยเมิ่งฉานอย่างไรเสียก็ไม่ใช่สตรีธรรมดา บรรยากาศที่ทำบุรุษธรรมดาให้ขนลุกได้ กลับไม่ทำให้นางหวั่นไหวแม้แต่น้อย นางเพิ่มความระวังขึ้นในระดับสูงสุด หากไม่แปลกใจที่บริเวณนี้จะไม่มีผู้ใด นางมาถึงที่นี่โดยไม่ปลุกกระตุ้นใคร เนื่องจากไม่มีใครห่วงว่าคนบ้าผู้นี้จะหนี

ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนปีศาจ ที่สามารถพันธนาการได้แม้กระทั่งสตรีเทพพิโรธ ฉะนั้นต่อให้มีพลังเพียงใดก็ไม่อาจหนีออกไป เมื่อตกยามค่ำคืน ผู้คนจะเริ่มหลีกเลี่ยงบริเวณนี้ เนื่องจากไม่มีใครอยากได้ยินเสียงร้องโหยหวนอันน่ากลัว

ในความมืดมิด นางยืนอยู่หน้าหลุมที่ปกคลุมด้วยหญ้าแห้ง นางยืนนิ่งลังเลอยู่นาน ระหว่างที่สับสนนั้นราวกับว่านางไม่อาจรับรู้ถึงเสียงและกลิ่นอันรุนแรง

นางอยากรู้ความจริง ขณะเดียวกันก็หวาดกลัวลึกอยู่ข้างใน หากทุกอย่างเป็นความจริง ชีวิตของนางจะกลับตาลปัตร และนางไม่ทราบว่าหลังจากนี้จะก้าวต่อไปในเส้นทางใด

นางหวังว่าทุกสิ่งจะเป็นเรื่องโกหก นางมาที่นี่โดยไม่บอกผู้ใด คำพูดของเย่หวูเฉินทำให้นางเชื่อโดยไม่รู้ตัว เขาทำให้นางกลัวในการพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง และจิตใต้สำนึกเกิดความรู้สึกที่คล้ายกับความเชื่อ มั่นใจว่าเขาจะต้องคาดเดาได้ถูกต้อง

นางรู้ว่าเย่หวูเฉินมักใช้เวลาศึกษาข่าว ทว่าการคาดเดานี้ ไม่ทราบว่าเขาต้องใช้แผนการและความคิดเพียงใดจึงสรุปออกมาได้ มันย่อมไม่เรียบง่ายเหมือนที่เย่หวูเฉินพูดไว้ในวันนั้น นางไม่ไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่าเย่หวูเฉินจะช่วยนางโดยไม่หวังสิ่งใด ตรงกันข้าม เขาย่อมไม่มีเจตนาดีแน่ และกำลังใช้อุบายก่อกวนให้เกิดความสับสนในสำนักจักรพรรดิใต้ ทว่า…. อุบายของเย่หวูเฉินกลับเป็นธรรมชาติพื้นฐานที่สำคัญสุดของมนุษย์ แม้รู้อยู่เต็มอกแต่นางก็ยังเต็มใจก้าวสู่หลุมพราง ไม่มีใครอยากให้ตัวเองถูกหลอกลวงอย่างโหดร้ายไปทั้งชีวิต

ดังนั้น เมื่อเทียบกับสำนักมารที่นางไม่เคยสัมผัส นางหวาดกลัวเย่หวูเฉินมากกว่า ฝ่ายแรกมีพลังแกร่งกล้าแต่นางไม่หวาดกลัว ทว่าฝ่ายหลังกลับปักมีดลงกลางหัวใจโดยที่ไม่เปื้อนเลือด ทั้งตัวนางยังไม่มีโอกาสจะหลบเลี่ยง

“หากการคาดเดาของเขากลายเป็นความจริง ถ้าอย่างนั้นข้าควรทำเช่นไร….” ฉุ่ยเมิ่งฉานหัวใจบีบรัด ตอนนี้นางไม่อาจเดินหน้าหรือถอยกลับ หากนางหยุดอยู่เพียงตรงนี้ นางจะสามารถหลีกเลี่ยงความจริงที่โหดร้าย เก็บซ่อนความจริงกับใจตนไว้ตลอดไป ฝังทุกอย่างไว้ให้ลึกและไม่คิดถึงมันอีก

ทว่านางไม่อาจทำได้ โลหิตที่ไหลเวียนในกระดูกตัดสินให้นางไม่อาจเป็นคนขี้ขลาด

นางไหวร่างราวผีเสื้อระบำในความมืด เหินลงอย่างเงียบงันสู่ก้นคุกที่ไม่เคยย่างกราย กลิ่นรุนแรงโชยต้อนรับมาในความมืด เสียงฟั่นเฟือนดังก้องขึ้นหลายเท่าที่ในหู

เมื่อนางเลือกแล้วตอนนี้หัวใจก็พลันสงบ ไม่มีความลังเลหรือหวั่นไหวอีก นางหวังให้การแนะนำของเย่หวูเฉินเป็นเพียงเรื่องตลก แต่หากว่าไม่ นางก็จะไม่หลบเลี่ยงอีก เพราะไม่ว่าอย่างไร….

เผชิญกับเสียงที่ยิ่งมายิ่งดังขึ้น นางค่อยๆลดฝีเท้าลง แขนขวาสอดเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นหยิบเอามุกเรืองแสงขนาดเท่ากำปั้นออกมา ทันใดนั้นแสงสว่างก็แผ่คลุมคุกใต้ดินที่ยาวเป็นเส้นตรงเล็กๆแห่งนี้ รอบกายสว่างไสวราวกับเป็นกลางวัน ฉุ่ยเมิ่งฉานมองเห็นทุกอย่างตรงหน้า ร่างกายรุ่งริ่งสกปรก ผมเผ้ากระเซิง เทียบแล้วน่ากลัวยิ่งกว่าคนบ้าที่นางจินตนาการไว้อยู่หลายเท่า เนื่องจากกว่า 20 ปีที่ไม่ได้เห็นแสงสว่าง ชายเสียสติจึงหลับตาขยับหนีแสงจ้าทันที ดิ้นรนคำรามร้อง พร้อมเสียงโซ่ตรวนสีทองงดงามที่กระทบกันไพเราะ เสียงแหบพร่าของผีบาดเจ็บ คงไม่เกินไปนักที่จะใช้นิยามเสียงร้องของคนบ้าผู้นี้

ฉู่เมิ่งฉานมองคนฟั่นเฟือนที่อยู่ตรงหน้า สำรวจดูเขาอย่างระวัง ผมเผ้าที่ปิดบังทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่อยู่ใต้นั้นได้ชัดเจน ขณะที่แสงมุกสะท้อนร่างงามจนไม่อาจมองเห็นใบหน้านางได้ชัดเช่นกัน ราวกับโฉมสะคราญแห่งฝันที่มิใช่มนุษย์ ตัดตรงข้ามกับบรรยากาศโดยรอบ ราวกับนางฟ้าผู้เงียบงันกับคนบ้าที่เป็นดั่งภูติผี

“ท่านเป็นใคร?” ฉุ่ยเมิ่งฉานรู้ว่าเขาไม่อาจตอบนาง ทว่านางยังคงเต็มใจถาม

คำตอบกลับมีเพียงเสียงโหยหวนของคนเสียสติ มือดำแกว่งคลั่งพร้อมกับเล็บคมยาว ราวผีร้ายที่ปรารถนาจะฉีกร่างคน

“เขาบอกว่า….ท่านอาจเป็นพ่อของข้า…. พ่อแท้ๆที่ถูกพ่อคนปัจจุบันทำร้าย ท่านจะตอบข้าได้ไหม….ว่าท่านคือใคร? ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า….หากไม่ แล้วท่านคือใคร? จริงหรือไม่ที่พวกเขาบอกว่าท่านคือเพื่อนสนิทที่เติบโตมาพร้อมกับพ่อข้า เพราะทรยศจึงถูกคุมขังไว้กว่า 20 ปี….หากจริง งั้นความจริงที่เขาพูดทุกอย่างนั้นจะไม่มีความหมาย….”

ชายเสียสติยังคงร้องโหยหวนไม่หยุดหย่อน ทว่าด้วยสัญชาตญาณ ฉุ่ยเมิ่งฉานสัมผัสได้ว่าใต้ผมเผ้ารุงรังนั้น มีสองสายตาตวัดมองมาที่นาง หัวใจนางสั่นไหวทันที อารมณ์ท่วมท้นด้วยบุคคลที่อยู่ตรงหน้า

ปล.1 น้องของฉุ่ยเมิ่งฉาน ขอเปลี่ยนการสะกดชื่อใหม่จาก ฉุ่ยวูเชวีย เป็น ฉุ่ยอู๋เชว นะครับ
ปล.2 จริงๆชื่อตัวละครมันต้องเอาจีนมาเทียบพินอิน ปกติผมจะโยนใส่กูเกิลแล้วฟังเสียงเอามันเลยเพี้ยนไปหลายตัว แต่ตัวอื่นไม่แก้ละไม่งั้นยาว ถถถ

Facebook Twitter Telegram Pinterest
Heavenly Star สวรรค์มวลดาว (จบ)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Completed ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เด็กหนุ่มลึกลับผู้ลืมเลือนอดีต ตื่นขึ้นมาในทวีปเทียนเฉิน ถูกเข้าใจว่าเป็นบุตรชายตระกูลเย่ เขาจึงใช้สถานะนี้เฝ้าสังเกตโลกอันยุ่งเหยิง รวมทั้งสืบหาอดีตของตน หากแต่โชคชะตาที่ต้องประสบกลับมีเพียงความน่าหวั่นสะพรึง เขาจึงหัวเราะเยาะโชคชะตา และเผยพลังสะท้านแดนดินใต้ผืนสวรรค์.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset