ตระกูลหลิน
ตอนนี้หลินขวงผ่ายผอมกว่าสามเดือนก่อน ผมเผ้าและหนวดเคราหงอกขาวราวหิมะ ไร้รอยแซมของผมดำ ชายชราอายุไม่ถึง 70 ปีผู้นี้ กลับดูคล้ายอายุมากกว่า 80 ปี
ผ่านความทุกข์ทรมาน ผ่านทุกความเจ็บปวด ในที่สุดเขาก็รู้ว่าอะไรคือหัวใจที่เย็นเชียบ แห้งผากราวกับถ่านไฟมอด ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ความโศกเศร้าลึกล้ำทำให้เขาคิดฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้ง ทว่าในแต่ละครั้ง เขาจะหยุดลงในชั่วเวลาสุดท้าย
เขาไม่อยากทำ….แต่ไหนเลยจะอดห้ามความคิดได้
ทั้งชีวิตสูญเสียไปเท่าใด? แต่ได้อะไรกลับคืน?
ความมั่งคั่ง? อำนาจ? เกียรติยศ? ทุกสิ่งเหมือนหมอกควันที่พัดผ่าน ความเศร้าโศกในตระกูลหลินที่ประสบในยามนี้ ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะฝีมือใคร?
ใครเป็นผู้จัดฉากต่อเสี่ยวเอ๋อร์? จะเป็นเย่หวูเฉินเหมือนที่จักรพรรดิตรัสไว้จริงๆหรือ?
แต่ความตายของเสี่ยวเอ๋อร์ และซานเอ๋อร์….แท้จริงล้วนเป็นเพราะน้ำมือของจักรพรรดิ
และเพื่อจะกลบเกลื่อนไว้ เขาถึงกับโกหกจนคนต้องหัวใจเย็นเยียบ
ฝ่าบาท สำหรับท่านแล้ว พวกเราเป็นเพียงแค่ขี้ข้า เป็นแค่หมารับใช้ หากไม่เชื่อฟังก็ไม่ต้องการ แอบสังหารให้ตายอย่างเงียบๆ จากนั้นหลอกลวงสุนัขชราผู้นี้ ที่ยังพอใช้งานได้ให้สงบใจลง….
ฝ่าบาท เหตุใดท่านถึงยุติธรรมกับบ่าวชราได้ถึงเพียงนี้
หลายวันที่ผ่านมา เขามักกล่าวคำซ้ำๆอย่างเจ็บปวด ความ ‘ไร้หัวใจ’ และ ‘โหดเหี้ยม’ ของหลงหยิน ทำให้เมื่อเทียบกันแล้ว เย่หวูเฉินที่จัดฉากใส่หลินเสี่ยวกลับกลายเป็นไม่สำคัญ เขาเหนื่อยล้าจิตใจและร่างกายเกินกว่าจะหาคำตอบในเรื่องนี้ เวลาแทบทั้งหมดของเขาคือบ่นพ้อต่อหลงหยิน ด้วยความเกลียดชังซับซ้อน ทำให้กลบฝังเรื่องใครเป็นผู้จัดฉากใส่หลินเสี่ยวจนหมดสิ้น
เวลานี้เอง สายตาหมอกมัวพลันมองเห็นบางสิ่ง เป็นแสงสีขาวผสมสีเงินปรากฎขึ้นต่อหน้าอย่างฉับพลัน หลินขวงที่สิ้นหวังยังคงตื่นตระหนก เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองดูบุคคลที่ปรากฎตัวตรงหน้าอย่างกะทันหัน
“เจ้าเป็นใคร?” น้ำเสียงอ่อนแอเอ่ยออก ม่านตาตายด้านยังหดลีบอย่างรุนแรง ร่างกายขยับถอยโดยสัญชาตญาณไปหนึ่งก้าว “เจ้า….เจ้าคือจักรพรรดิมาร!!”
ตอนนี้ ใต้ฟ้าปฐพีไม่มีผู้ใดไม่รู้จักจักรพรรดิมาร รวมถึงพลังแกร่งกล้าและอาภรณ์ที่มีเพียงเขาที่สวมใส่
แม้หัวใจจะเหมือนน้ำนิ่ง แต่เมื่อฉับพลันได้เห็นจักรพรรดิมาร คนตะลึงเทียมฟ้า หัวใจเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่ง หัวสมองสว่างวาบ อากาศกลายเป็นเย็นเยียบด้วยความกลัว และยิ่งมายิ่งเสียดแทงเข้าหัวใจ
เขาอยากตาย หากยังคงหวาดกลัวความตายอยู่ เพราะเขาไม่อยากตายหลังจากสูญเสียทุกสิ่ง ไม่อยากกลายเป็นคนอนาถน่าสมเพช
“ข้า….ผู้นี้….คือ….จักรพรรดิ….” เสียงที่เปล่งจากปากจักรพรรดิมารช่างน่ากลัว หลินขวงมีชีวิตอยู่มาจนถึงปานนี้ ยังไม่เคยได้ยินเสียงใดที่แหบพร่าขนาดนี้มาก่อน ทันทีที่จักรพรรดิมารเริ่มกล่าวคำ ไม่ทราบว่าตอนไหนที่มือเขาถือคันศรโลหิตอันน่ากลัว ศรแดงประหลาดพาดอยู่หลังสาย ปลายศรชี้ไปที่ลำคอของหลินขวง
นี่คือคันศรในตำนาน…. หลินขวงรู้ดีว่าธนูคันนี้ เคยยิงหนึ่งศรที่สะเทือนฟ้า
“ท่านอยากฆ่าข้า…. แต่ท่านกับข้าไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดต้องฆ่าข้าด้วย?” หลินขวงสืบเท้าถอยหลังออกไปอีก ระหว่างที่หวาดกลัว หัวใจดั่งถ่านไฟมอดก็ยิ่งแห้งผากทรมานมากขึ้น ใต้น้ำมือจักรพรรดิมารไม่เหลือเศษซาก ตระกูลหลินเผชิญหายนะต่อเนื่อง ไหนเลยเขาจะคิดฝันว่าจักรพรรดิมารผู้น่าหวาดหวั่นจะมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้า
“จักรพรรดิผู้นี้ไม่ได้มาฆ่าคน แต่จะฆ่าสุนัข” จักรพรรดิมารยิ้มชั่วร้าย
“สุนัข?” คำๆนี้ทำให้ร่างของหลินขวงแข็งค้าง หลายวันมานี้ ไม่รู้เขากล่าวคำนี้ซ้ำๆมาแล้วกี่ครั้ง
“จักรพรรดิแห่งเทียนหลงสมควรถูกสับเปลี่ยน ในเมื่อเจ้าเป็นสุนัขผู้ภักดีของมัน ก็สมควรตกตายเป็นตัวแรก…. ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ จักรพรรดิผู้นี้ลงมือด้วยตัวเอง นับเป็นของขวัญล้ำค่า เจ้าสมควรรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง จงวางใจ เจ้าจะไม่เดียวดาย หลังจากเจ้าตายแล้ว ทุกคนในตระกูลหลินจะติดตามเจ้าไป” ขณะที่เขากล่าวคำ นัยน์ตาสองข้างก็ฉายประกายเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
หลินขวงม่านตาหดลีบลงอีก ทว่าในที่สุดเขาก็ค่อยๆกลับคืนความสงบ กระทั่งความหวาดกลัวบนใบหน้ายังค่อยๆจางลง เขาพิงร่างกับผนังและกล่าวอย่างอ่อนแรง “ด้วยอำนาจของสำนักมาร ท่านอยากรู้สิ่งใดในตระกูลหลินย่อมแทบไม่ต้องสิ้นเปลืองแรง และข้าหลินขวงเป็นเพียงผู้ต่ำต้อย ไหนเลยจะคู่ควรให้จักรพรรดิมารอย่างท่านต้องลงมือ ท่านมาที่นี่เพื่ออาศัยสถานการณ์ระหว่างข้ากับฝ่าบาท บีบคั้นให้ข้าทรยศ”
จักรพรรดิมารลดคันศรแดงในมือลง หัวเราะอย่างชั่วร้าย “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า หลินขวง เจ้าไม่ได้อยู่นานจนผมหงอกเสียเปล่า ในเมื่อเจ้าทราบเจตนาของจักรพรรดิผู้นี้ เช่นนั้นคงรู้ว่าต้องทำสิ่งใด”
“ด้วยอำนาจของสำนักมาร ท่านคิดกำจัดตระกูลหลงย่อมเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง เหตุใดจึงมาใช้ตระกูลหลินของข้า” หลินขวงกล่าวด้วยแววตาไร้ชีวิต เพียงหนึ่งยอดฝีมือขอบเขตเทวะก็ไม่จำเป็นต้องกลัวตระกูลหลง และยิ่งสำนักมารมีเทวะอยู่ตั้งสี่คน ดังนั้น พวกเขาสมควรมียอดฝีมือระดับรองลงมาอีกนับไม่ถ้วน อย่างที่เขากล่าวไว้ ด้วยอำนาจถึงเพียงนี้ คิดกำจัดตระกูลหลงเหตุใดต้องบังคับตระกูลหลินของเขาให้ก่อกบฎด้วย
“จักรพรรดิผู้นี้ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเจ้า…. เจ้าย่อมเจ็บปวดถึงขีดสุด เกลียดชังจักรพรรดินั่นถึงกระดูกดำ อ่า…. หากเจ้ากลับกลายทรยศ ไม่เพียงจะได้ปลดปล่อยความคั่งแค้นที่สุมอยู่ในอก จักรพรรดิผู้นี้ยังจะไม่เข่นฆ่าผู้ใดในตระกูลหลิน แต่หากเจ้าไม่ตกลง จักรพรรดิผู้นี้จะล้างบางตระกูลหลินของเจ้า ทั้งเบื้องสูงเบื้องต่ำไม่ให้เหลือซาก เจ้าจงเลือกมา”
หลินขวงยิ้มอย่างเจ็บปวด “มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังเหลือทางเลือกใดให้ข้าอีก? ทายาททั้งหมดตกตายอย่างอนาถ ชีวิตที่เหลืออยู่ของคนชราอย่างข้ามีแต่ความทรมาน คงดีกว่าหากกระทำบ้าคลั่งเหมือนที่น้องสองพูดไว้…. และคงมีเพียงต้องทำเช่นนี้เท่านั้น ข้าถึงจะมีหน้าไปยมโลกอยู่ร่วมกับลูกหลาน….”
พอกล่าวคำเหล่านี้ออกมา หลินขวงพลันรู้สึกถึงความผ่อนคลายทั่วร่าง ราวกับความอัดอั้นในอกถูกปลดปล่อยออกมา ความภักดีหลายสิบปีทำให้เขาข่มกลั้นความคิดทรยศ ทว่าด้วยการบีบบังคับของจักรพรรดิมาร หลังจากเขาตัดสินใจเลือกได้แล้ว กลับพบว่าตนเองไม่ได้รู้สึกต่อต้าน หากเหมือนได้ปลดพันธนาการออก
“จักรพรรดิมาร บางทีข้าคงต้องขอบคุณท่าน หากไม่ใช่เพราะท่านบังคับข้า ข้าคงไม่มีวันตัดสินใจเช่นนี้ได้” หลินขวงกล่าวพึมพำ
จักรพรรดิมารยิ้มเงียบงัน “แล้วข้าจะมอบโอกาสที่ดีเยี่ยมสุดให้กับเจ้า”
จากนั้น ร่างของจักรพรรดิมารกลายเป็นแสงขาวหายไปโดยไร้ร่องรอย ราวกับเขาหายไปในอากาศว่าง
เมื่อเย่หวูเฉินกลับมายังห้องของตน หนิงเสวี่ยก็ยังคงหลับไหลอย่างสงบ ทงซินที่จับกลิ่นอายของเขาได้ ก็ขยับออกด้านข้างทันที ไปพิงกายอยู่ที่เขา และแหงนหน้ามองเงียบๆ
เย่หวูเฉินเก็บหน้ากากเงินและชุดสีเงินกลับสู่แหวนเทพกระบี่ จูงมือน้อยๆของทงซินไปที่ข้างเตียง มองดูสาวน้อยที่นอนหลับเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกระซิบ “ทงซิน พวกเราออกไปกันเถอะ”
ทงซินดันรถเข็นของเย่หวูเฉินไปบนท้องถนนของเมืองเทียนหลง เพียงทันใดก็ดึงดูดผู้คนที่ผ่านไปมาไม่ขาดสาย แม้ผู้คนต่างรู้ว่าเขามีร่างกายพิการ แต่ก็ไม่มีใครลืมว่าครั้งหนึ่งเขาได้สร้างปาฏิหาริย์ “สังหารเทพ” เรื่องราวของเขาเลื่องลือในอาณาจักรเทียนหลงตลอดสามปี ตัวตนของเขาแทบจะเป็นตำนาน ตอนนี้ใครบ้างจะกล้าดูหมิ่นเขา ยามที่เขาเคลื่อนไป ผู้คนต่างแหวกออกเป็นทางให้เขาผ่าน
“ท่านป้า ที่ติดผมอันนี้ขายยังไง?” เย่หวูเฉินหยิบที่ติดผมสีดำอันหนึ่งขึ้นมา มองชมอย่างระมัดระวัง มันเป็นรูปผีเสื้อดำมีชีวิตชีวา ทั้งตัวส่องสะท้อนแสงดำระยับ
ป้าที่ขายของสิ่งนั้นกล่าวอย่างเร่งรีบ “ทำให้นายน้อยเย่พอใจได้ นับเป็นเกียรติของข้าแล้ว หากนายน้อยเย่ชอบมัน ก็ขอให้เอาไปได้….”
“นี่จะดีได้อย่างไร?” เย่หวูเฉินยิ้มและกล่าวแย้งนาง “ท่านออกมาตากแดดทุกวันเพื่อหาเลี้องชีพ หากข้าหยิบเอาของท่านไปเฉยๆ ข้าย่อมไม่สบายใจ”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะคิดราคาให้นายน้อยเย่สักหนึ่งหรือสองตำลึง”
“เครื่องประดับงดงามเช่นนี้ เพียงหนึ่งหรือสองตำลึงยังถือว่าถูกไป” เย่หวูเฉินยื่นมือออกมา นำตำลึงเงินจำนวนมากให้กับป้า จากนั้นจับมือทงซินแล้วดึงนางมาอยู่ตรงหน้า แม้อยู่บนท้องถนน เขาก็ช่วยจัดผมนางให้เรียบ จากนั้นเสียบที่ติดผมที่เพิ่งซื้อมาให้กับนาง เรือนผมดำของนางดั่งราตรี สะท้อนตัดกับผีเสื้อที่งดงาม
“ทงซินของข้าเหมาะกับสีดำที่สุด” เย่หวูเฉินสัมผัสใบหน้านางและหัวเราะขณะกล่าว ใบหน้าดั่งหยกสลักละเอียดเหมือนแป้งนั้นน่ารักอย่างเหลือเชื่อ นางได้กลายเป็นเงาของเขา ติดตามตลอดไปอย่างโง่งม ไม่ปรารถนาจะละจาก ตอนนี้เขาไม่กล้าห่างนางแม้แต่เพียงวันเดียว
เย่หวูเฉินลูบใบหน้านางอย่างอ่อนโยน มองดวงตานางที่ค่อยๆพร่ามัว ด้านหลังเขามีสายตาประหลาดจ้องมองมา เย่หวูเฉินสัมผัสได้เลือนลางและหันไปดู เขาพบว่าเป็นสาวน้อยคนหนึ่งที่มองมาอย่างระวัง เขารู้สึกคุ้นหน้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
ทงซินยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวกับว่าหลอมละลายไปในความรู้สึก ในโลกนี้มีเพียงเย่หวูเฉินที่สัมผัสหัวใจนาง และเพียงเย่หวูเฉินเท่านั้นที่สามารถทำหัวใจนางให้แหลกสลายอย่างง่ายดาย
สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเกิดขึ้นจากแรงปะทะทางวิญญาณ พวกเขาสามารถรู้สึกถึงหัวใจของอีกฝ่าย เมื่ออยู่ห่างไกลสามารถสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ เพียงที่ติดผมธรรมดาอันหนึ่ง ก็ปัดเป่าความรู้สึกหวาดกลัวว่าเขาจะเลิกโปรดปราน สำหรับทงซินแล้ว สัมผัสนี้สะเทือนถึงโลกทั้งใบของนาง
นางไม่ได้ไร้อารมณ์ความรู้สึก ทว่าความรู้สึกของนางนั้น มีให้เฉพาะเพียงหนึ่งบุคคลอย่างรุนแรง
ขณะที่เย่หวูเฉินหันมา สาวน้อยคนนั้นก็เห็นใบหน้าของเขาเช่นกัน เป็นดรุณีน้อยในชุดสีสันสดใส ในมือถือเขาแกะสองอัน ทั้งอายุและร่างงามดูใกล้เคียงกับทงซิน ใบหน้าที่ตกใจดูน่ารักไร้เดียงสาอย่างสาวน้อยคนหนึ่ง หลังจากดรุณีน้อยมองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ส่งเสียงดีใจ “พี่ชาย ที่แท้ก็เป็นท่าน! ท่านจำข้าได้รึเปล่า?”
คำพูดของสาวน้อยเป็นอันยืนยันว่าเขาเคยพบนางมาก่อน หลังจากขุดค้นความทรงจำอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเขาก็แปลกใจเพราะจำได้ว่าเคยเห็นนางที่ไหน ทันใดนั้นเขายิ้มกล่าว “แน่นอนว่าจำได้ น้องหญิง ครอบครัวของเจ้าอยู่ทางฝั่งตะวันตก เหตุใดจึงได้มาที่นี่?”