ดรุณีน้อยเมื่อได้ยินคำตอบก็ยิ่งฉีกยิ้มน่ารัก คิ้วเสี้ยวพระจันทร์บางโค้งขึ้น รอยยิ้มดีใจดุจดอกไม้อ่อนโยนที่เบ่งบาน นำพาความแช่มชื่นมาสู่ใจคน นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายยังจำข้าได้ ดีใจจริงๆ ตอนนั้นพี่ชายช่วยข้าไว้ ทำให้ข้าอยากพบท่านอีกครั้ง โชคดีที่วันนี้ท่านพ่อกับท่านแม่พาข้ามาเที่ยวเล่น….”
“เสี่ยวโม่ นั่นใครเหรอ?” ข้างกายของสาวน้อย เป็นชายหญิงคู่หนึ่งอายุราว 30 กว่าปี สตรีผู้นั้นมองเย่หวูเฉินที่อยู่บนรถเข็น น้ำเสียงฟังดูหดหู่ สีหน้าไม่ได้แปลกใจหรือสงสัย กล่าวได้ว่าแทบจะไร้อารมณ์ บุรุษที่อยู่ถัดจากนางก็เป็นเช่นเดียวกัน แววตาของเขาราวกับคนตาย ทำผู้คนที่มองเห็นให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เขาคือพี่ชายที่เคยช่วยข้าไว้ในปีนั้น” สาวน้อยที่เรียกว่าเสี่ยวโม่กล่าวตอบด้วยเสียงอ่อนหวาน รอยยิ้มสดใสไร้ตำหนิช่างตัดกับใบหน้าแข็งทื่อของพวกเขาสองคน ดรุณีเยาว์วัยผู้นี้ คือคนที่เย่หวูเฉินเคยช่วยไว้ระหว่างการเร่งรุดไปยังเมืองเทียนฟง สิ่งที่ทำให้เย่หวูเฉินอดแปลกใจไม่ได้ก็คือ นอกจากชุดที่สวมใส่แล้วนางไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย…. ทั้งอายุและใบหน้าอ่อนเยาว์ของนาง….กลับเสมือนหนึ่งเมื่อสามปีก่อนไม่มีผิด! ราวกับว่านางไม่เคยเติบโตขึ้นเช่นเดียวกับหนิงเสวี่ยและทงซิน
สตรีผู้นั้นตอบกลับด้วยเสียง “โอ้” คำหนึ่ง จากนั้นไม่มองเย่หวูเฉินอีก นางกล่าวคำไร้อารมณ์เหมือนตอนต้น “ไปกันเถอะ”
“อืม” สาวน้อยดูเหมือนจะเคยชินกับท่าทางไร้อารมณ์ของมารดา ใบหน้าเผยรอยยิ้มไร้เดียงสาอีกครั้ง ชะโงกหน้าน้อยๆกล่าวกับเย่หวูเฉินอย่างน่าฟัง “พี่ชาย….ข้าไปก่อนนะ…. จริงสิ พี่ชายชื่ออะไรเหรอ?”
“ข้าชื่อว่าหวูเฉิน เจ้าเรียกว่าเสี่ยวโม่ ถูกต้องมั้ย?” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยยิ้มบาง
“อื้ม! พี่หวูเฉิน ข้าจะจำชื่อของท่านไว้…. ข้าไปก่อนนะพี่หวูเฉิน”
พ่อแม่ของนางไม่ให้เวลาอีก พวกเขาหันกายแล้วเดินออกไปอย่างไม่สนใจ เสี่ยวโม่กล่าวลาเย่หวูเฉินแล้วตามไปอย่างเร่งรีบ หากเพียงเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็หันกลับมาแล้วยื่นมือน้อยๆ วางของลงบนมือของเย่หวูเฉิน “พี่หวูเฉิน ท่านเอานี่ไว้ทานนะ”
พอวางของเล็กๆลงบนมือของเย่หวูเฉินเสร็จ สาวน้อยก็กระวนกระวายวิ่งออกไป ติดตามบิดามารดาแปลกๆคู่นั้น ก่อนที่ร่างเล็กๆนั้นจะกลืนหายไปกับฝูงชน นางหันศีรษะกลับมา และยิ้มอ่อนหวานให้เขาอีกครั้ง
เมื่อนางหายไปจากครรลองสายตา เย่หวูเฉินก็หันกายกลับ สีหน้าแห่งความสุขกลายเป็นทะมึนลงเล็กน้อย ดวงตาสองข้างค่อยๆหรี่ลง เขายกฝ่ามือขวาขึ้น มีลูกอมห่อไว้อย่างดีวางอยู่ นี่คือของขวัญที่เสี่ยวโม่มอบให้เขาเพื่อเป็นการตอบแทน
ความรู้สึกนี้….
คิ้วของเย่หวูเฉินขมวดมุ่นขึ้น ตอนที่มือของสาวน้อยสัมผัสกับมือเขา เขารู้สึกถึงความเย็นเยียบเสียดถึงไขกระดูก ความเย็นดุจน้ำแข็งนี้ไม่ได้เกิดจากการสัมผัส หากแต่เป็นพลังจิตใจที่พลันพวยพุ่งขึ้นมา หากเขาเป็นเพียงคนทั่วไปธรรมดา ย่อมไม่อาจสัมผัสถึงมันได้
ทงซินขยับมาอยู่ข้างเขาเงียบๆ แววตาของนางยามนี้ ยังคงพร่ามัวด้วยความหลงใหลอย่างไม่อาจแก้ไข เย่หวูเฉินบีบลูกอมในมือ สูดหายใจบางและยิ้มกล่าว “ไปตรงนั้นกันเถอะ”
ทงซินไม่มีปฏิกิริยาใดๆ…. หรือว่านางจะสัมผัสไม่ได้?
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะน่าสนใจมากกว่าที่คิดไว้
บ้านหมอกฝัน
หลังจากผ่านไปสามปี ในที่สุดเขาก็ได้มาเยือนที่นี่อีกครั้ง ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้ายังคงเหมือนเดิม เย่หวูเฉินไม่สนใจสายตาตกใจของผู้คน เขาตรงเข้าไปที่ประตูของบ้านหมอกฝัน พบกับสตรีที่อยู่ตรงทางเข้าที่สีหน้าคล้ายชะงักงัน เขากล่าวเสียงเบา “ข้ามาพบฉุ่ยเมิ่งฉาน”
ขณะเดียวกัน ประตูของห้องที่อยู่ชั้นบนสุดก็ถูกผลักออก ฉุ่ยหลิงเอ๋อร์กระซิบที่ข้างหูของฉุ่ยเมิ่งฉาน “องค์หญิง เย่หวูเฉินมาพบท่าน ตอนนี้เขาอยู่ข้างล่าง”
“พบข้า?” ฉุ่ยเมิ่งฉานประหลาดใจมาก ตั้งแต่คืนนั้นก็นับว่านางพ่ายแพ้การทดสอบกับเย่หวูเฉิน นางไม่เคยติดต่อกับเขาด้วยตัวเองอีกเลย ทว่าหลายวันที่ผ่านมา นางยากนักที่จะสงบใจ ต่อให้นางไม่อยากนึกถึงก็ไม่อาจห้ามได้ เนื่องจากคำพูดสุดท้ายของเย่หวูเฉินเป็นดุจใบมีดที่จ่อลำคอนาง ความเปลี่ยนแปลงนี้ ล้วนอยู่ในสายตาของฉุ่ยหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ร่วมกับนางตลอดวันคืน
เป้าหมายของเย่หวูเฉินที่มาที่นี่ย่อมไม่อาจทราบได้ หากสิ่งหนึ่งที่แน่นอนย่อมไม่ใช่ “เงื่อนไข” ในคืนนั้น ทว่าด้วยอุปนิสัยและสติปัญญาของเขา นางจึงไม่อาจสงบใจลงได้
“ให้เขาขึ้นมา….ช่างเถอะ เขามาถึงแล้ว”
เวลานี้เองประตูถูกผลักออก เย่หวูเฉินยังคงนั่งบนรถเข็นที่ทงซินค่อยๆดันเข้ามา แน่นอนนางย่อมไม่ได้เข็นเขาขึ้นบันไดจากชั้นหนึ่ง หากแต่เป็นพาบินลิ่วขึ้นมาโดยตรง
เมื่อเห็นใบหน้าที่เสมือนไม่แยแสสิ่งใดของเย่หวูเฉินแต่ละครั้ง ทั้งยังยิ้มบางขณะควบคุมกุมทุกสิ่ง ฉุ่ยเมิ่งฉานจะรู้สึกไร้พลังจากก้นบึ้งหัวใจทุกครั้ง นางนั่งอยู่หลังม่านและถอนใจบาง “คุณชายเย่ ไม่ได้พบกันนาน”
“โอ้? เมื่อไม่นานนี้พวกเราเพิ่งร่วมห้องผ่านคืนอัศจรรย์ร่วมกัน ที่ว่า ‘ไม่ได้พบกันนาน’ นี้หมายถึงอะไร?” เย่หวูเฉินเลิกคิ้วขึ้น กล่าวพร้อมกับปั้นสีหน้า
แม้ว่าฉุ่ยหลิงเอ๋อร์จะป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกายฉุ่ยเมิ่งฉานอยู่ตลอดเวลา หากตอนนี้นางยังคงแสดงความตกใจเล็กน้อย ตอนที่ฉุ่ยเมิ่งฉานเข้าห้องนอนของเย่หวูเฉินในคืนนั้น นางไม่ได้บอกกล่าวแก่ผู้ใดรวมทั้งฉุ่ยหลิงเอ๋อร์ ฉุ่ยเมิ่งฉานไม่สนใจและเลี่ยงจะตอบคำ “วันนี้คุณชายเย่มาหาด้วยตัวเอง ไม่ทราบมีสิ่งใดจะบอกกล่าวแก่เมิ่งฉาน?”
“โอ้ หากบอกว่าวันนี้ข้ามาเพื่อคุยเรื่องหัวใจกับท่าน ท่านจะเชื่อหรือไม่?” เขาเคลื่อนสายตาไปที่ฉุ่ยหลิงเอ๋อร์ จากนั้นกล่าว “ด้วยสถานะองค์หญิงแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ โดยรอบนี้ย่อมมีหลายคนซ่อนอยู่ ข้าคงต้องบอกว่าเรื่องที่จะคุยกันต่อไปนี้ มีเพียงข้ากับท่านที่สามารถรับรู้ได้ หากผู้อื่นรู้เข้าย่อมไม่เป็นการดี”
เขาแสดงสีหน้ากำกวม และไม่กล่าวคำอีก
ฉุ่ยเมิ่งฉานกล่าวโดยไม่ลังเล “พวกเจ้าถอยไปก่อน ก่อนที่นายน้อยเย่จะกลับออกไป ห้ามเข้าใกล้ที่นี่ หลิงเอ๋อร์ เจ้าก็ออกไปด้วย”
“แต่….” ฉุ่ยหลิงเอ๋อร์หัวใจบีบรัด หลังจากมองดรุณีงดงามที่ติดตามอยู่ด้านหลังเย่หวูเฉินด้วยสายตาซับซ้อน นางก็หยุดปากไม่กล่าวต่อแม้ครึ่งคำอีก ฝีเท้ากลีบบัวบางก้าวไปยังประตู เมื่อออกไปแล้วก็ปิดกลับอย่างเงียบเชียบ หากเย่หวูเฉินคิดเอาเปรียบฉุ่ยเมิ่งฉานจริงๆ ด้วยพลังของสตรีเทพพิโรธที่อยู่ข้างกายเขา ต่อให้มีพวกนางปกป้องอยู่ข้างกาย ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้
แน่นอนว่าประมุขแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ย่อมไม่ยอมให้ฉุ่ยเมิ่งฉานมีสัมพันธ์กับเย่หวูเฉินเพียงเพราะกระบี่หนานฮวง ประการแรกเพราะไม่อาจยืนยันได้ว่าเขารู้ที่อยู่ของกระบี่หนานฮวงจริงๆ ประการที่สองประมุขแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ย่อมมีจิตคิดเพียงเอาชนะ ด้วยพลังแกร่งกล้าสูงสุด เขากลับเผชิญหน้ากับผู้มีสติปัญญาลึกล้ำ ข้อมูลของเย่หวูเฉินทำให้เขาต้องระวัง ตอนนี้ข้อแลกเปลี่ยนของปีนั้นถูกยกเลิกลง และข้อมูลของกระบี่หนานฮวงถูกเย่หวูเฉินกำไว้มั่นในมือ ยามนี้เมื่อเผชิญหน้ากับเย่หวูเฉินที่พิการ สำนักจักรพรรดิใต้กลับไม่กล้าลงมือกับเขา…. เพราะหนึ่งเหตุผลที่สำคัญยิ่งนั่นก็คือ พวกเขารู้ว่าข้างกายของเย่หวูเฉินคือสตรีเทพพิโรธ คือทงซินที่ยืนอยู่ตรงนั้น
นางเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ทว่ากลับคู่ควรเป็นคู่ต่อกรกับยอดฝีมือขอบเขตเทวะทั้งสี่ ด้วยศัตรูที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ นอกจากว่าจนตรอกถึงขีดสุด พวกนางย่อมไม่กล้ากระตุ้นโทสะทงซิน ต่อให้เป็นสำนักจักรพรรดิใต้ก็ตาม
เหล่าสตรีผละออกไปในเวลาเดียวกัน แอบซ่อนอยู่ในเงามืดตามมุมต่างๆ
เมื่อเหล่าสตรีผละออกไปแล้ว ในที่สุดเย่หวูเฉินก็คลายสีหน้ากำกวมลง เขากล่าวอย่างจริงจัง “วันนี้ ข้าไม่ได้มาเพื่อพูดเรื่องการแลกเปลี่ยนกับท่าน ไม่ได้วางแผนทำอะไรกับท่านแต่อย่างใด เพียงมาบอกความจริงเรื่องหนึ่งที่ปิดซ่อนจากท่านไว้…. ทว่าความจริงเรื่องนี้ ท่านจะต้องเป็นผู้ยืนยันด้วยตัวเอง ข้าจะบอกเพียงเรื่องที่ทราบและคาดเดา”
“โอ้? ไม่ทราบว่าความจริงเรื่องใดที่คุณชายเย่จะบอกแก่เมิ่งฉาน?” ฉุ่ยเมิ่งฉานกล่าวเสียงเบา น้ำเสียงสงบนิ่งราวสระลึก ทว่าหัวใจนางเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง ความจริง…. สองคำนี้ทำให้นางคิดถึงบางประโยคที่เขากล่าวถึงในคืนนั้น
ความจริง….เป็นความจริงแบบใดกันแน่?
เย่หวูเฉินไม่เร่งรีบ เขาค่อยๆกล่าว “อันที่จริง มันอาจไม่ใช่ความจริงก็ได้ แต่ก่อนอื่นข้ามีบางอย่างจะถาม…. เมื่อหลายวันที่ผ่านมาข้าได้รับข่าวน่าสนใจ ได้ยินว่าเมื่อ 20 ปีก่อน สำนักจักรพรรดิใต้ของท่านมีห้องลับที่ไว้ใช้สำหรับคุมขังคนสติฟั่นเฟือนผู้หนึ่ง คนเสียสติผู้นั้นมักร้องโหยหวนไม่ว่าเวลากลางวันหรือกลางคืน ทั้งยังถูกขังต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 20 ปี ไม่ทราบว่าเรื่องนี้มีอยู่จริงหรือไม่?
ฉุ่ยเมิ่งฉานขยับคิ้วงามเล็กน้อย นางกล่าว “มีเรื่องนี้อยู่จริง”
“สถานที่คุมขังคนสติฟั่นเฟือนผู้นั้น ท่านเคยเข้าไปหรือไม่? เพราะดูเหมือนทุกคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป” เย่หวูเฉินถามอย่างสนใจ
“คนผู้นั้นในอดีตเคยทรยศต่อสำนักจักรพรรดิใต้ แต่เนื่องจากเขาสนิทกับท่านพ่อเสมือนเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ถูกสังหารและถูกใช้วิธีคุมขังแทน แต่คิดไม่ถึงเลยว่า หลังผ่านวันคืนอันสับสนเขากลับกลายเป็นเสียสติ” ฉุ่ยเมิ่งฉานไม่ปกปิดสิ่งใด นางบอกทุกอย่างที่นางรู้ เนื่องจากเรื่องนี้ในสำนักจักรพรรดิใต้ไม่ใช่ความลับใดๆ ทั้งยังอาจนับได้ว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่นางสงสัยว่าเหตุใดเย่หวูเฉินจึงถามถึงคนผู้นี้
ที่น่าสงสัยกว่าก็คือ เย่หวูเฉินรู้เรื่องของคนผู้นี้ได้อย่างไร?
“โอ้….” เย่หวูเฉินหรี่ตาทั้งสองลงเล็กน้อย เขายิ้มกล่าวอย่างผ่อนคลาย “คำตอบของท่านทำให้ข้าคลายใจแล้ว หากท่านตอบข้าว่า ‘ไม่’ เช่นนั้นความจริงที่ข้ากำลังจะพูดถึงคงไม่มีอยู่ หากท่านไม่เคยไปพบคนเสียสติผู้นั้น เช่นนั้นจงไปพบเขา เขาจะบอกความจริงที่พลิกความเชื่อของท่านทั้งชีวิต”
คำกล่าวที่เป็นปริศนาทำให้หมอกหนาเคลื่อนคลุมหัวใจของฉุ่ยเมิ่งฉาน นางขมวดคิ้วและเค้นสมองคิด ฉับพลันความกลัวก็ผุดขึ้นในใจ นางพรวดลุกขึ้นยืน “คุณชายเย่ ท่านอยากบอกอะไรกับข้ากันแน่”
“ข้าอยากบอกสิ่งใด ในเมื่อท่านเองก็เดาออกแล้ว เหตุใดยังต้องถามข้าอีก”
“เป็นไปไม่ได้…. และข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่นั่น เพราะที่นั่นสกปรกและไม่มีสิ่งใด มีเพียงคนบ้า….”
“ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใด เพียงข้ารู้ว่าท่านไม่เคยพบเขาก็พอแล้ว” เย่หวูเฉินกล่าวขัดจังหวะนาง “ยิ่งกว่านั้น นี่ยังเป็นเรื่องของตัวท่านเอง ข้าเพียงไม่มีอะไรให้ทำ และข้าเป็นคนมีเมตตา ท่านไม่ใช่สตรีที่โง่เง่า ขนาดข้าไม่ได้อยู่เมืองเทียนหลงมาตลอดสามปี ข้ายังได้กลิ่นเรื่องนี้ ในสามปีนี้ทั่วทั้งเมืองเทียนหลงเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบงันเพราะฝีมือท่าน คนที่สามารถเปลี่ยนหมากกระดานได้ตลอดเวลาเช่นท่าน น่าจะเข้าใจความจริงได้ไม่ยาก บางครั้ง ธรรมชาติที่เรียบง่ายสุดอาจถูกมองข้ามอย่างง่ายดาย ทว่านั่นแหละคือสิ่งที่ซ่อนความลึกลับยิ่งใหญ่ไว้”
— จบเล่มที่ห้า —