ตั้งแต่เด็กๆ เย่ฉุ่ยเหยามีชื่อเสียงขจรขจายในเมืองเทียนหลงในเรื่องความงามที่มาพร้อมความเย็นชา จากเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อน ทำให้นางยิ่งเป็นที่รู้จักทั่วอาณาจักรเทียนหลง ทุกคนที่เคยเห็นนางต่างรู้สึกเสมือนได้เห็นบัวน้ำแข็งที่เบ่งบานอยู่ในหิมะ ทั้งบุรุษ สตรี และเด็กต่างตราตรึงในความสูงส่งและเย็นชา ไม่กล้าเกิดความคิดน่าละอายต่อนางแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ภายนอกหรือภายใน นางล้วนแตกต่างจากทุกคนในเมืองอย่างสิ้นเชิง กระทั่งไม่ด้อยกว่าเจ้าหญิงแห่งเมืองใด
ทว่าตอนนี้นางกลายเป็นอีกคน ใบหน้างามประดับรอยยิ้มแดงรุ่มดุจไฟ ดวงตาบริสุทธิ์คู่งามปิดไว้เล็กน้อยอย่างเอียงอาย มีเสียงหอบบางแผ่วออกจากปาก ผิวแดงมีเหงื่อผุดพราว เอวหลิวบิดเลื้อยดั่งงู ตอบรับตามแรงกระแทกของบุรุษ ใต้หน้าท้องขาวหิมะเรียบละมุน เป็นสองแถบยาวสีขาวนุ่มลื่นประสานเป็นหนึ่งกับบุรุษ ราวกับไม่อาจหยุดห้ามความปรารถนา….
เย่หวูเฉินกอดร่างของเย่ฉุ่ยเหยาและกระหน่ำรุนแรงเหมือนพายุ ลมหายใจของเย่ฉุ่ยเหยาค่อยๆกระชั้น ร่างกายอ่อนปวกเปียกไร้กำลัง เนื่องจากก่อนหน้านี้ นางถูกเย่หวูเฉินโรมรันไปแล้วหลายกระบวนท่าเป็นเวลานาน
หลังถึงสุดยอดปรารถนาอีกครั้งหนึ่ง เย่หวูเฉินก็หายใจยาวอยู่ชั่วขณะ แนบกายทับบนร่างของเย่ฉุ่ยเหยา มือขวาลูบไล้เอวหลิวบอบบางอันละมุนของนาง ผิวพรรณราวกับมุกน้ำผึ้งละเอียดอ่อน นิ้วคล่องแคล่วสัมผัสผิวนุ่มยิ่งกว่าไหม เย่หวูเฉินใบหน้าประดับรอยยิ้มและกระซิบที่ข้างหู “พี่หญิง พวกเรามีลูกด้วยกันดีไหม?”
“ลูก” เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา ในสมองพลันเกิดความเจ็บเสียด เย่หวูเฉินลมหายใจชะงักทันที ร่างกายนิ่งค้าง หัวใจยังไหววูบ
“อืม….” เย่ฉุ่ยเหยาตอบกลับเสียงเบา นางไม่ทราบว่าบุรุษที่อยู่บนแผ่นหลังของนางถึงจุดยอดปรารถนาไปแล้วกี่ครั้ง ร่างกายนางดั่งแสงตะวันหลังเมฆ ไร้แรงที่จะลุกขึ้น ทว่าหลังจากความสุขสม เสน่ห์ของนางยิ่งเขย่าขวัญ
นางอายุครบ 22 ในปีนี้ อยู่ในวัยที่เรียกว่ายิ่งกว่าพร้อมสำหรับแต่งงาน แต่ตราบใดที่นางไม่ต้องการ ตระกูลเย่จะไม่บังคับนางเหมือนครั้งในอดีต ปีนี้นางถูกเย่หวูเฉินโรมรันตลอดคืนตลอดวัน นางในยามนี้ทั่วร่างแผ่เสน่ห์ของสตรี เสน่ห์นี้จะเผยออกต่อหน้าเย่หวูเฉินเท่านั้น ต่อหน้าผู้อื่นราวกับว่าถูกความเย็นชาห่อหุ้มไว้ตลอดกาล
เย่หวูเฉินมองที่ใบหน้านาง ความหมกมุ่นครอบงำอีกครั้ง เขาสอดมือเข้าใต้ขาและแผ่นหลัง อุ้มนางขึ้นแล้วเดินไปยืนอยู่ข้างเตียง มองกระจกที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ชื่นชมกับฉากสวยงามที่อยู่ในนั้น “พี่หญิง ท่านงดงามมากจริงๆ”
เย่ฉุ่ยเหยาเงยศีรษะเล็กน้อย มองร่างเปลือยเปล่าของตัวเองในกระจกอย่างหมดหวัง สองขาอ้าอยู่บนแขนของเย่หวูเฉิน คนในกระจกตะลึงเหงื่อท่วมตัว เม็ดเหงื่อไหลย้อยตามส่วนโค้ง ดูแล้วช่างยั่วยวน หัวคิ้วเผยให้เห็นปรารถนาที่ยังไม่จางคลาย ผิวงามมีเหงื่อผุดพราว ใบหน้าแดงเรื่ออ่อนๆด้วยความอาย สองเนินหิมะสูงตระหง่าน เผยให้เห็นสองดอกบัวที่เพิ่งแตกยอดชมพู ลมหายใจหอบสั่นน่าชม ระหว่างสองขาที่เปิดออก คือสิ่งงดงามอัศจรรย์ที่ภาษาใดๆในโลกก็ไม่อาจอธิบาย
เย่ฉุ่ยเหยามองเงาในกระจกที่กำลังตะลึงงัน ทำใจเชื่อยากว่านี่ตัวข้าจริงๆเหรอ เย่หวูเฉินลามมากัดหูจากด้านหลังในขณะเดียวกัน เขากระซิบเสียงเบา “นี่คือช่วงเวลาที่พี่หญิงงดงามที่สุด พี่หญิงจะต้องจดจำภาพนี้ตลอดไป”
น้ำเสียงอ่อนโยนนำสติของเย่ฉู่เหยาให้กลับคืนมา นางบิดร่างขัดขืนเล็กน้อย ใบหน้าเริ่มแดงผ่าวขึ้น หลังดิ้นรนเพียงไม่นานนางก็ยอมแพ้ หลับตาลงปล่อยให้เขาชื่นชมในท่วงท่าน่าละอาย
ในที่สุดเย่หวูเฉินก็หยุดกัดใบหู นำนางกลับสู่เตียงและวางลงช้าๆ ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างที่งามสมบูรณ์ราวกับหยกสลัก
“พักผ่อนเถอะพี่หญิง” เย่หวูเฉินโน้มกายลง ลูบริมฝีบางอย่างแผ่วเบา สองกลีบฝีปากเอิบอิ่มงาม เหมือนหยกและมุกอันกระจ่าง ดึงดูดผู้คนให้ไม่อาจอดห้ามความหลงใหล ตั้งแต่เย่หวูเฉินดูดซับพลังวายุจากใต้หุบเหวปลิดวิญญาณ และทำให้พลังหวูเฉินเลื่อนสู่ขั้นที่สี่ เขาก็พบว่าความปรารถนายิ่งรุนแรง บางครั้งทะยานขึ้นจนไม่อาจสงบใจ เหมือนตอนที่เหยียนกงรั่วยั่วยวนเขาก็ไม่อาจต่อต้าน และตอนนี้เขายิ่งลุ่มหลงในร่างของเย่ฉุ่ยเหยา
เขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้ดีหรือแย่ แต่เย่ฉุ่ยเหยาไม่เหมือนกับเหยียนกงรั่ว เหยียนกงรั่วสามารถพริ้วเอวกับเขาได้ตั้งแต่รุ่งเช้าจนถึงเที่ยงคืน กระทั่งเขายังต้องร้องขอชีวิต ทว่าเย่ฉุ่ยเหยาไร้พลังยุทธใดๆ เมื่อต้องโรมรันกับเขา ร่างกายนางจึงไม่อาจทานทนได้
“เจ้าจะไปไหนเหรอ?” เย่ฉุ่ยเหยาคว้าแขนเขาไว้โดยไม่รู้ตัว
“ไปที่ตระกูลหลิน ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว หลายวันที่ผ่านมาย่อมเพียงพอให้ความคั่งแค้นฝังลึกเหนือความภักดี ตอนนี้ขอแค่มีการกระตุ้นเพียงเล็กน้อย ตระกูลหลินจะตัดสินใจทำสิ่งที่ข้าอยากเห็นทันที” เย่หวูเฉินจับมือละมุนของนางไว้และกล่าว
เย่ฉุ่ยเหยาดันกายขึ้นและกอดเย่หวูเฉิน เมื่อลุกขึ้นนั่งผ้าห่มที่คลุมไว้ก็ไหลลงตามเรือนร่างขาวหิมะ นางพิงศีรษะกับกายเขาและกล่าวเสียงเบา “เสี่ยวเฉิน ต้องลำบากเจ้าจริงๆ…. ทุกสิ่งที่เจ้ามีในตอนนี้ ไม่ว่าตระกูลหลินหรือตระกูลหลง เจ้าก็สามารถทำลายได้ง่ายดาย ทว่าเพื่อตระกูลเย่และเพื่อท่านปู่ เจ้ากลับต้องทุ่มเทพยายามทำสิ่งที่ยุ่งยาก….”
เย่หวูเฉินสั่นศีรษะและยิ้ม “สำหรับข้า สิ่งสำคัญที่สุดในโลกนี้คือผู้คนที่อยู่ข้างกาย เพียงเหนื่อยแรงเล็กน้อยก็ทำให้ท่านปู่สงบคลายใจ ทำให้ตระกูลเย่ได้เขย่าโลก ไม่มีสิ่งใดที่ไม่คุ้มความเหนื่อย อีกอย่าง….ข้าคือคนของตระกูลเย่ ไหนเลยจะทำลายชื่อเสียงตระกูลเย่เพียงเพื่อเรื่องของตน”
ตระกูลเย่ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว บางทีในสามปีมานี้ เขาคงนับตัวเองเป็นคนของตระกูลเย่แล้ว
“อืม” เย่ฉุ่ยเหยายิ้มงามดุจร้อยบุปผา เพื่อไม่ให้ท่านปู่มีชีวิตที่เหลืออย่างเจ็บปวด เพื่อไม่ให้ตระกูลเย่เสื่อมเสียชื่อเสียง เพื่อไม่ให้ตระกูลเย่ตกเป็นเป้าของสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ เย่หวูเฉินจึงได้ทำตัวเป็นคนพิการ ทว่าสำหรับทวีปเทียนเฉินแล้ว นี่คือจักรพรรดิมารผู้เป็นเทพแห่งความตาย
ทว่าทั้งสองสถานะนี้กลับถูกแบ่งแยกอย่างเรียบง่าย เพียงเปลี่ยนชุดก็สามารถตบตาผู้คนทั้งโลก
“หากจัดการเรื่องในเมืองแล้ว เจ้าคิดจะลงมือกับสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือจริงๆหรือ?” เย่ฉุ่ยเหยาเงยศีรษะขึ้น ม่านตาดั่งน้ำกระจ่างฉายแววกังวล
เย่หวูเฉินพยักหน้า และยิ้มเหมือนไม่ใส่ใจ “ระหว่างข้ากับสำนักจักรพรรดิใต้ แม้ว่าไม่ได้มีความแค้นเคืองต่อกัน แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์แห่งชีวิตครั้งนั้น ข้าจะไม่ยอมให้โลกนี้มีสิ่งใดที่แข็งแกร่งกว่าข้าอีก ต่อให้ข้าไม่ได้หาเรื่องพวกมัน แต่วันหนึ่งพวกมันย่อมหาเรื่องข้า บางครั้งการต่อสู้ก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยความเกลียดชัง”
เย่หวูเฉินจับไหล่เย่ฉุ่ยเหยา ดันนางให้นอนลงช้าๆ และแม้ว่าจะนอนลงแล้ว แต่เนินหิมะยังคงนูนสูงตระหง่าน เย่หวูเฉินคว้าเนินสูงไว้ลูกหนึ่ง บีบเล่นอย่างเบามือ “พี่หญิง ท่านวางใจเถอะ ถึงแม้พวกมันจะแข็งแกร่งมาก แต่ความแข็งแกร่งก็กลายเป็นจุดอ่อนได้เช่นกัน พวกมันสืบทอดพลังมาหลายปีโดยไร้ศัตรูที่คู่ควร สมควรทำให้พวกมันลำพองตัว และคร้านเตรียมการเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ยิ่งกว่านั้น ข้าไม่ได้คิดจะต่อสู้กับพวกมันโดยตรง ผู้คนที่ติดตามข้ามาจากหุบเหวปลิดวิญญาณคือคนของข้า ข้าไม่อยากเห็นพวกเขาเป็นอะไรไป”
เขาทอดสายตาลง แย้มยิ้มและกระซิบกล่าว “ลากหายนะมาเยือน เปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านและหมอกควัน”
ประโยคที่กล่าวไม่กี่คำนี้ คือชะตาที่เขาได้ตัดสินให้กับสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ
ระหว่างนั้น สายตาของเขาพลันเลื่อนลอยและมองไปไกล เขากล่าวเสียงเบา “ที่ข้ากลัวนั้น ไม่ใช่สำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ….”
เขาต้องการที่จะควบคุมโลกนี้ไว้ ทว่าในที่ไกลออกไปนั้น มีเงาหนักหน่วงแผ่ทับหัวใจเขาและยากที่ลบออก
เมื่อออกมาจากห้องของเย่ฉุ่ยเหยา เย่หวูเฉินยื่นมือออกทั้งสองข้าง มีเสียงลั่นบางดังขึ้นครั้งหนึ่ง ม่านพลังไร้สีแสงก็พลันสลายไป นี่คือม่านพลังที่สร้างขึ้นจากพลังหวูเฉิน มันสามารถกั้นเสียงได้หนึ่งทิศทาง ด้วยพลังหวูเฉินที่เลื่อนระดับขึ้น ทำให้เขาสามารถใช้เวทย์อื่นได้เพิ่มเติม เช่นการอำพรางโดยสมบูรณ์ เมื่อผู้คนตรวจสอบร่างกายของเขาจะพบว่ามันว่างเปล่า หรืออย่างเช่นการใช้พลังหวูเฉินเข้าครอบคลุมพลังเพลิงวิญญาณ จะทำให้สามารถอำพรางลักษณะจำเพาะของมันได้หลายวัน ต่อให้เป็นผู้ที่รู้จักพลังเพลิงวิญญาณดียิ่งก็ไม่อาจดูออก หรืออย่างการใช้พลังหวูเฉินสร้างม่านพลังแกร่งกล้าหลายชั้น
เขาเงยศีรษะขึ้น มองยังท้องฟ้าไร้เมฆ ในสมองหวนนึกถึงความเจ็บปวดที่วาบผ่านเข้ามา พลังแห่งจิตใจนั้นไม่เคยโกหกเขา
หรือว่าพี่หญิงจะท้อง….ไม่น่าใช่ ความรู้สึกนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นความโศกเศร้า
“ข้าละเลยสิ่งใดไป?” เย่หวูเฉินพึมพำออกมา
เย่หวูเฉินนั่งลงบนรถเข็นด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง ล้อรถเข็นค่อยๆหมุนเคลื่อนออกไปเอง