“โอ้ ดีจริงที่ได้เห็นพี่สาวใกล้ชิดสนิทแน่น” เหยียนกงรั่วดุนปากสูง ส่งเสียงอิจฉา เหยียนกงเยว่หน้าแดงเรื่อเล็กน้อย ถอนกายออกจากจักรพรรดิมารและถอยครึ่งก้าว เหยียนกงรั่วดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ วิ่งปุปปับไปอยู่ตรงหน้าเย่หวูเฉิน สอดเข้าไปอยู่ตรงตำแหน่งเดิมของเหยียนกงเยว่เมื่อครู่ สองแขนโอบลำคอจักรพรรดิมาร สองขายาวแยกกระโปรงยกคล้องเอวเขาไว้ ราวกับคนห้อยแขวนอยู่บนร่างของเขา
“พี่นายท่าน ข้าอยากอีกแล้ว ช่วยข้าหน่อยสิ….” เหยียนกงรั่วออดอ้อนเสียงบาง น้ำเสียงรัญจวนน่าหลงใหล ร่างอ่อนนุ่มที่แนบชิดเบียดถูขึ้นลง สุมความปรารถนาของเขาให้กระพือ นางรู้ดีว่าเสน่ห์ตน เขายากยิ่งที่จะต่อต้าน
เหยียนกงเยว่เคยขอคำแนะนำน้องสาวถึงวิธีทำเรื่องน่าละอาย ทว่านางกลับไม่พูดอธิบายเฉยๆ ตอนนี้เหยียนกงเยว่สีหน้าแดงก่ำ นางดึงเยว่ซือฉีวิ่งเข้าไปหลบอยู่ในอีกห้องและปิดประตู
เมื่อครู่คือห้องของเหยียนกงรั่ว ห้องนอนเล็กๆเหล่านี้คือเรือนพักของเยว่ซือฉี นางพักถัดจากห้องของเหยียนกงเยว่หนึ่งประตู ดังนั้นจึงไม่ห่วงว่านางจะหนีไป เหยียนกงเยว่ทราบดีว่าเย่หวูเฉินเมื่อถูกสาวน้อยอย่างเหยียนกงรั่วออดอ้อนเช่นนี้จะทำสิ่งใดต่อ ทว่าเยว่ซือฉีสีหน้ายังคงว่างเปล่า
“อ่า…. อ๊ะ อะๆๆ อ๊า อ๊าา….” เพียงครู่เดียว เสียงครางรัญจวนก็ดังแผ่วมาจากข้างนอกกระทบหูของพวกนาง เหยียนกงเยว่ผุดลุกผุดนั่งอยู่ไม่สุข เสียใจที่มาหลบอยู่ในห้องนี้ ตอนนี้จะหนีออกไปก็ไม่ได้แล้ว
เสียงครางประหลาดทำให้เยว่ซือฉีหัวใจเต้นรัวโดยไม่รู้ตัว ใบหน้ายังร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย นางไม่อาจอดห้ามความสงสัย ค่อยๆแง้มประตูและมองออกไป ทันใดนั้นดวงตาต้องเบิกกว้าง ใบหน้ากลายเป็นสีแดง
บนเตียงสี่เสาแกะสลักอย่างดี แขวนม่านสีจางไว้ทุกด้าน มีสองร่างพัวพันกันอยู่ ทั้งคู่อยู่บนเตียงนุ่ม ที่ถูกกดอยู่ด้านล่างเป็นหญิงสาวผมเผ้ากระเซิง ช่วงขาเรียวยาวน่าอัศจรรย์ อกงามกลมกลึงเบียดแน่นกับเตียงจนนูนเป็นรูปไข่ สะโพกโค้งถูกชายหนุ่มใช้มือเกี่ยวไว้ มันกระเพื่อมตามจังหวะการปะทะหนักแน่นของชายหนุ่ม
สะโพกยกสูงกระเพื่อมไหวพร้อมเสียงลมหายใจสั่นของสาวน้อยที่แทบขาดใจ สองมือของชายหนุ่มลูบไล้ไปตามเรียวขางดงามของหญิงสาว เม็ดเหงื่อไหลย้อยจากกล้ามเนื้อหยดลงบนสะโพกและไหลลงตามส่วนโค้งของนาง
เยว่ซือฉีชะงักค้างราวกับว่าหัวใจพลันหยุดเต้น นางรู้แล้วว่าเสียงครวญครางน่าละอายนี้เป็นของเหยียนกงรั่ว ทว่าชายหนุ่มผู้นั้น….ถือได้ว่าเป็นบุรุษที่มีรูปโฉมสมบูรณ์ เขาน่าดึงดูดกว่าบุรุษทุกผู้ที่นางเคยพบมา เขาโน้มกายกดร่างเหยียนกงรั่วจากด้านหลัง มุมปากประดับยิ้มพึงใจ ความสุขสมที่แสดงบนใบหน้ากลับนำพาเสน่ห์ที่ไร้วี่แววหื่นกระหายแม้แต่น้อย
นี่คือ….จักรพรรดิมาร!?
เสียงครางกระเส่าลอยมาอีกระลอก เยว่ซือฉีราวกับตื่นจากฝัน ผวายกมือปิดปากและหันกลับมา ประตูถูกปิดลงพร้อมกัน ทว่าหัวใจยังคงเต้นกระหน่ำราวจะหลุดออกจากอก ภาพฉายซ้ำในสมองไม่อาจปัดออกแม้จะเห็นเพียงชั่วขณะเดียว….
เหยียนกงรั่วยังเยาว์วัยนัก ไม่รู้จักการระงับยับยั้ง จึงมักเกี่ยวกระวัดกับเย่หวูเฉินตามที่นางต้องการ และยิ่งนางเป็นผู้ไม่สนใจสิ่งใด กระทั่งพี่สาวกับเยว่ซือฉีอยู่อีกห้องถัดไป นางยังพัวพันกับเขาอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้เรียวขายาวยกขึ้นรัดเอวเขาไว้ นำร่างตนเองเบียดชิดกับร่างเขา น้ำเสียงครวญครางยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ…. เยว่ซือฉีปิดหูตัวเอง หน้าร้อนราวกับถูกไฟลาม ตอนนี้หน้านางยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ นางเป็นเพียงหญิงสาวที่แทบไม่เคยสัมผัสชายใด น้ำเสียงกระเส่าและฉากเปลือยเปล่ามีผลกระทบต่อนางเพียงใดย่อมพอที่จะจินตนาการได้
หลังจากประตูถูกปิด เย่หวูเฉินเคลื่อนสายตามองยังทิศทางของเยว่ซือฉี ได้แต่ถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อถูกเหยียนกงรั่วปลดหน้ากากและเสื้อผ้าออกแล้ว อย่างไรก็ต้องนัวเนียกัน เขารู้ว่าจะต้องถูกเยว่ซือฉีเห็นใบหน้า แต่เนื่องจากเยว่ซือฉีไม่เคยพบเห็นเขามาก่อน ดังนั้นต่อให้นางเห็นใบหน้าที่แท้จริง นางก็ไม่ทราบอยู่ดีว่าเขาเป็นใคร
เขาไม่คิดเรื่องอื่นอีกและรื่นรมณ์กับเหยียนกงรั่วต่อ นางยังเยาว์แต่เรือนร่างนอกจากอกแล้วทุกสัดส่วนล้วนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ด้วยความใจกล้า ลีลาร้อนเร่า เชื่องเชื่อให้เขาทำตามใจ นางจึงเป็นดั่งมารเสน่ห์น้อยที่แม้เขาอยากหยุดก็ไม่อาจหยุดได้
วันเวลาผ่านไป อากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย คลื่นฝูงชนบนถนนเริ่มบางลง อย่างไรก็ตาม งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินได้แผ่คลื่นสะเทือนทั่วทวีปด้วยความเร็วน่าตระหนก ในโลกแห่งยุทธเวทย์เกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ทุกผู้คนสลักฝังนาม “สำนักมาร” ไว้ลึกในใจ งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินครั้งนี้ปรากฎสี่เทพคนใหม่ และพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นคนของสำนักมาร
และการที่จักรพรรดิมารยิงศรเจาะผาดาวตกให้แตกออกนั้น ได้สร้างความตกตะลึงล้ำลึกในใจของผู้คน มีหลายคนเดินทางไกลมุ่งหน้าไปที่ผาดาวตกเพื่อพิสูจน์เรื่องเหลือเชื่อนี้ และเมื่อพวกเขาเห็นภาพผาดาวตกที่แตกออกเป็นสองซีก หัวใจก็ได้แต่เต้นรัวและแทบไม่อาจหายใจ ด้วยพลังเพียงนี้ ย่อมไม่อาจใช้ระดับพลังในทวีปเทียนเฉินหยั่งวัดได้
เดิมทีสำนักมารและจักรพรรดิมารก็ล้วนแต่ลึกลับน่ากลัว ตอนนี้ความน่ากลัวนั้นยิ่งแผ่ขยายออกไปไม่รู้กี่เท่า เหล่าผู้คนที่แตกตื่นต่างอยากรู้ว่าพวกเขามีจุดกำเนิดมาจากที่ใด ทว่าที่ตั้งแห่งสำนักมารราวกับอยู่ที่เส้นขอบฟ้า มีเพียงพวกเขาปรากฎตัวออกมาด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นก็ไม่อาจมีใครหาร่องรอยพวกเขาพบได้ เฉกเช่นกับที่ไม่ทราบที่ตั้งของสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ
หนึ่งศรสะเทือนฟ้าทำให้จักรพรรดิมารกลายเป็นเทพแท้จริงแห่งทวีปเทียนเฉิน ทว่านี่ไม่ใช่ “เทพ” แห่งความเมตตา หากแต่เป็นเทพแห่งความตาย
ในอีกด้านหนึ่ง เมืองเทียนหลงยังคงสงบเงียบเหมือนแต่ก่อน ทว่าผู้มีจมูกดีย่อมได้กลิ่นบรรยากาศที่เงียบกดดัน ครั้งหนึ่งเมืองเทียนหลงคึกคักด้วยสองตระกูลยิ่งใหญ่คือตระกูลเย่และตระกูลหลิน ตอนนี้ตระกูลหลินปิดประตูหน้าไว้แน่นหนา มีเพียงคนรับใช้ที่ออกมาจับจ่ายเท่านั้น นอกนั้นก็แทบไม่เห็นผู้ใดออกมา สองวันหลังจากข่าวการตายของหลินเสี่ยวและหลินซานแพร่ออกไป ผู้คนก็ได้ยินข่าวลือว่าหลินขวงล้มป่วยหนัก เขาไม่อาจเข้าร่วมประชุมราชสำนักได้จนถึงวันนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว จักรพรรดิหลงหยินได้แวะเวียนไปเยี่ยมตระกูลหลินอยู่หลายครั้ง
เวลาผ่านไป คนภายนอกเริ่มรู้สึกเสียใจกับคราวเคราะห์ของตระกูลหลิน พวกเขาได้แต่ถอนหายใจที่ตระกูลสูงส่งต้องร่วงหล่นจากฟ้า เรื่องของหลินเสี่ยวทำให้ชื่อเสียงตระกูลหลินป่นปี้ลง หลังจากหลินเสี่ยวกับหลินซานตาย ทายาทคนสุดท้ายของหลินขวกก็มีเพียงขยะหลินอวี้ อาจกล่าวได้ว่าตอนนี้ตระกูลหลินไร้ผู้สืบทอด ทายาทตระกูลหลินได้จากโลกทีละคนในเวลาไม่กี่วัน แรงกระทบสาหัสเช่นนี้ หลินขวงล้มป่วยลงย่อมเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง
ทว่าเย่เว่ยแห่งตระกูลเย่เริ่มดูเหมือนจะ “ป่วยไข้” นานเกินไป เขาไม่เข้าร่วมการประชุมราชสำนักแม้จะผ่านมาถึงหนึ่งเดือนแล้ว ทว่าในช่วงเวลาดังกล่าวหลงหยินกลับไม่เคยถามถึง ทั้งไม่เคยแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนที่ตระกูลเย่ ราวกับว่าเขาลืมตัวตนของขุนพลเว่ยหลงผู้เกรียงไกรไปแล้ว ตระกูลเย่และราชตระกูลเทียนหลงไม่ยอมหันหน้าเข้าหากันเป็นเวลานาน บางข่าวลือจึงเริ่มแพร่กระจายไม่หยุดหย่อน มีการคาดเดาหลายทฤษฎี ขุนนางระดับสูงในราชสำนักต่างไปเยี่ยมเยือนเย่เว่ยไม่ขาดสายเพื่อตรวจสอบ ทว่าเมื่อพวกเขาถามถึงเรื่องนี้เย่เว่ยกลับเลือกที่จะเงียบงัน เมื่อพวกขุนนางไปถามกับเย่หนู่ผู้เป็นที่เคารพ เขาก็ทำเพียงโบกมือและหัวเราะ บอกว่าตนแก่เกินไปที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้ว
ด้วยความภักดีของเย่หนู่ต่อราชตระกูลเทียนหลง ไหนเลยการกระทำนี้ของเย่เว่ยเขาจะไม่สอบถาม ทว่าเย่เว่ยเพียงตอบอย่างเรียบง่ายไม่กี่คำ “ทั้งหมดนี้เป็นการจัดการของเฉินเอ๋อร์ ท่านพ่อโปรดวางใจว่าเขาจะไม่คิดร้ายใดๆต่อตระกูลเย่ จะไม่ทำเรื่องใดๆที่ท่านไม่ปรารถนาจะเห็น”
ดังนั้น ภายหลังเขาจึงไม่ไต่ถามอีก ทุกวันออกไปพบปะเหล่าสหายร่วมรบที่อาบชะโลมโลหิตในสงคราม เบิกบานสำราญใจ เพิกเฉยเรื่องราวปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเมืองเทียนหลง อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกภายในจะเหมือนกับที่ปรากฎภายนอกหรือไม่นั้น มีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้
เมืองเทียนหลง ตระกูลเย่
ภายในห้องของเย่หวูเฉิน หนิงเสวี่ยขดร่างอยู่ใต้ผ้าห่มบาง ดวงตาสองข้างปิดอยู่ ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย จมูกหยกบางขยับเล็กน้อยตามจังหวะการหายใจ ทงซินยืนอยู่ข้างเตียง มองดูหนิงเสวี่ยที่หลับอุตุอย่างนิ่งงัน เพราะนอกจากมองหนิงเสวี่ยหลับไหลแล้ว นางก็ไม่รู้จะหาอะไรทำ
ในอีกห้องหนึ่ง
ที่แห่งนี้สมควรเป็นสวนที่สงบที่สุดในตระกูลเย่ ทว่าในเวลานี้ กลับมีเสียงครางเบาๆดังมาจากห้องของเย่ฉุ่ยเหยา แม้ว่าเสียงครางจะบางมาก หากยังคงสั่นสะท้านไปถึงหัวใจและวิญญาณ
สตรีงดงามดุจเทพธิดานางหนึ่งทอดกายอยู่ สะโพกกลมเนียนขาวหิมะยกนูนสูง ข่มระงับเสียงครางและหอบหายใจ แม้ว่าจะอยู่ใต้ร่าง แต่อกขาวน้ำนมนั้นก็ยังนูนโค้งให้เห็นเป็นรูปทรง
นี่คือเรือนร่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติของผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสาวงามน้ำแข็ง ยามนี้นางราวกับลูกแกะเชื่อง โฉมงามเลิศล้ำตามตัวมีรอยแดงบางราวเปลวไฟ ม่านตางามบริสุทธิ์ปิดไว้อย่างเอียงอาย ขนตายาวกระเพื่อมไหวเล็กน้อย ลำคอหยกงามระหว่างสองไหล่ได้รูปทรง อกขาวทรนงเป็นประกายวาวราวหิมะ เรียวขาขาวกระจ่างไล้ถึงเอวบางที่พอโอบรอบด้วยแขนเดียว ใต้หน้าท้องที่เรียบละมุนถึงขีดสุด เป็นสองขาเรียวบางถูกแยกด้วยบุรุษจากเบื้องหลัง เท้าชมพูนุ่มลื่นดุจหยก ทั่วร่างปวกเปียกเหมือนไร้กระดูก ราวกับเทพธิดาที่ทั่วร่างไร้กำลัง พร้อมมอบดินแดนให้ครอบครอง
ฉากนี้ไม่ว่าผู้ใดมาเห็นก็ต้องตะลึงโง่งมด้วยไม่เชื่อสายตา และคิดว่านี่คือคุณหนูตระกูลเย่จริงๆหรือ?
ทว่าบุรุษที่กระทำหื่นหาญสะท้านฟ้ากับโฉมงาม กลับเป็น….น้องชายของนางเอง!