“ฮี่ ฮี่ พี่นายท่าน ร่างกายท่านดีขึ้นหรือยัง? เราจะไปเที่ยวเล่นที่ไหนกันดี? ท่านไม่ได้มาอยู่เป็นเพื่อนข้าตั้งนานแล้ว…. แถมครั้งก่อนยังโยนผู้หญิงที่เรียกว่าฉีฉีลงมาแล้วก็ไป ท่านอยากให้ข้าหึงใช่มั้ย ฮึ่ม….” เหยียนกงรั่วเขย่าร่างของเย่หวูเฉิน ยื่นปากอ่อนนุ่มทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจ
เย่หวูเฉินตบหลังนางเบาๆ จากนั้นกล่าวกับฉู่จิงเทียน “พี่ใหญ่ฉู่ แม้ว่าก่อนนี้ข้าได้เห็นท่านก้าวหน้าขึ้นมาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะบรรลุวิถีกระบี่ในระดับสูงส่งได้ถึงเพียงนี้ ทำให้ข้าต้องแปลกใจนัก”
“ฮี่ ฮี่ โชคดีที่การฝึกฝนกระบี่กับวิชายุทธนั้นต่างกัน แม้ในขณะที่ข้าหลับนอนอยู่ ข้าก็ยังรู้สึกได้ว่ากำลังฝึกฝนกระบี่” ฉู่จิงเทียนยิ้มเรียบง่ายและสัตย์ซื่อ กล่าวคำออกมาโดยไม่ต้องคิด
ขณะที่ข้าหลับนอน…. คำทั้งห้าวนเวียนอยู่ในใจของเย่หวูเฉิน ทำให้หัวคิ้วของเขาเคลื่อน
“ท่านปู่ฉู่เคยบอกกับท่านหรือไม่ ว่าอะไรคือวิถีกระบี่ขั้นสูงสุด?” เย่หวูเฉินเงยศีรษะขึ้นถามฉับพลัน คำถามนี้ทำให้พวกเหยียนที่รายรอบอยู่ ต่างเงี่ยหูรอฟังคำตอบจากฉู่จิงเทียนอย่างใจจดใจจ่อ
“วิถีกระบี่ขั้นสูงสุด…. ข้ารู้ๆ ท่านปู่เคยบอกอยู่เสมอตอนที่ข้ายังเด็ก ว่าวิถีกระบี่ขั้นสูงสุดคือความไม่มี” ฉู่จิงเทียนไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน เขาตอบกลับทันที
“ไม่มี? หมายถึงไร้กระบี่ใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง ไร้กระบี่!”
เย่หวูเฉินคิดเล็กน้อยและขมวดคิ้วกล่าว “พี่ใหญ่ฉู่ ในเมื่อวิถีกระบี่ขั้นสูงสุดคือความไม่มี เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงได้ฝึกฝนกระบี่เล่า ไม่ใช่ว่าต้องเริ่มจากความ ‘ว่างเปล่า’ มิใช่หรือ?”
ฉู่จิงเทียนตกตะลึงเทียมฟ้า สีหน้าพลันชะงักค้าง “อ่า! นี่…. นี่มัน….”
ในเมื่อแสวงหาความไม่มี เช่นนั้นเหตุใดถึงต้องฝึกกระบี่? คำถามเรียบง่ายของเย่หวูเฉินทำให้เขาพลันตระหนักถึงบางสิ่งในวิถีกระบี่ที่เขาทุ่มเทแสวงหาอยู่
“แต่ว่านี่คือสิ่งที่ท่านปู่เคยพูดไว้ จะต้องไม่ผิดแน่” ฉู่จิงเทียนกล่าวอย่างไม่แน่ใจ
“ท่านปู่ฉู่บรรลุถึงขั้นนี้แล้วหรือยัง?” เย่หวูเฉินถอนหายใจ
“ยัง….”
“แล้วท่านปู่ฉู่เคยบอกหรือไม่ ว่ามีคนที่เคยบรรลุถึงขั้นที่เรียกว่า ‘ไม่มี’ นี้มาก่อน?”
“ไม่….ไม่เคย ท่านปู่เคยบอกว่าสิ่งใดๆก็ตาม ล้วนแต่ไร้ขอบเขต วิถีกระบี่เองก็เช่นกัน” ฉู่จิงเทียนกล่าวอย่างตระหนก
เย่หวูเฉินส่ายศีรษะบาง “อย่างที่ข้าเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ สิ่งที่หูได้ยินอาจไม่ใช่ความจริง แม้ว่าท่านปู่ฉู่จะเป็นเทพกระบี่ แต่ก็ไม่จำเป็นว่าเขาจะถูกต้องเสมอไป วิถีกระบี่แห่งความ ‘ไม่มี’ อาจเป็นเพียงภาพลวงตา เป็นจินตนาการของนักกระบี่ที่ส่งทอดมาจนถึงปัจจุบัน”
กระบี่ คือมิตรสนิทที่สุดของฉู่จิงเทียน และวิถีแห่งความ “ไม่มี” คือเป้าหมายสูงสุดที่ปู่ของเขาฉู่ชางหมิงไล่ตาม เวลานี้มันกลับถูกปัดทิ้งด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำของเย่หวูเฉิน ในใจของฉู่จิงเทียนพลันรู้สึกสับสนด้วยสูญเสียเป้าหมายและทิศทาง เขาไม่อยากเชื่อเรื่องนี้ ทว่าเสียงในใจก็กล่าวกับตนเอง ว่าบางทีน้องเย่อาจจะกล่าวได้ถูกต้อง วิถีกระบี่ของเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วก็เพราะความลุ่มหลงในกระบี่ชางหมิง หากวิถีแห่งความ ‘ไม่มี’ มีอยู่จริง นั่นก็หมายความว่าเขาจะต้องละทิ้งกระบี่ชางหมิง….ไหนเลยเขาจะยอมรับได้
“งั้น….ถ้าหากท่านปู่กล่าวผิด เช่นนั้นอะไรคือวิถีกระบี่ขั้นสูงสุด?” ฉู่จิงเทียนถามอย่างโง่งม
เย่หวูเฉินหลับตาลง ค้นสมองหาเศษเสี้ยวความทรงจำ จากนั้นกล่าว “ตอนที่ข้ายังเป็นเด็กเล็กๆอยู่ ข้ารู้จักคนอยู่ผู้หนึ่ง เขาเป็นเช่นเดียวกับพี่ใหญ่ฉู่ นั่นคือลุ่มหลงในวิถีแห่งกระบี่และเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับมัน จนในที่สุดเมื่อเขามีอายุเท่ากับท่าน เขาก็บรรลุวิถีกระบี่ขั้นสูงสุดที่ค้นพบด้วยตัวเอง….”
“มันคืออะไร?” ฉู่จิงเทียนหัวใจโลด ถามออกไปอย่างไม่อาจอดทน เหยียนกงลั่วและคนอื่นๆยังประหลาดใจลึกซึ้ง คนผู้นั้นมีความสามารถปานใด กระทั่งถึงขนาดบรรลุวิถีกระบี่ขั้นสูงสุดในวัยเดียวกันกับฉู่จิงเทียน…. เหตุใดก่อนหน้าจึงไม่เคยได้ยินเจ้านายพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน?
“หัวใจ” เย่หวูเฉินลืมตาขึ้น เปล่งคำสองพยางค์ออกมาช้าๆ
“หัวใจ?” ฉู่จิงเทียนเมื่อได้ยินคำนี้ ในใจก็รู้สึกงุนงง กวัดแกว่งกระบี่ต้องใช้มือ คุมกระบี่ต้องใช้ปราณ กระบี่กับหัวใจ มันเกี่ยวข้องกันตรงไหน?
“ท่านสามารถคุมกระบี่ได้ไกลที่สุดเท่าใด?” เย่หวูเฉินถาม
“ราว 70 เมตร”
“ปราณที่ใส่ลงในกระบี่ สามารถคุมกระบี่ให้เคลื่อนไหว ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า หัวใจและศรัทธาก็สามารถบรรจุลงในกระบี่ได้ หากท่านทำได้ ย่อมสามารถใช้หัวใจคุมกระบี่ หัวใจไปได้ไกลเพียงใด กระบี่ก็จะไปไกลเพียงนั้น จะควบคุมมันได้ตามที่หัวใจปรารถนา”
เย่หวูเฉินหยุดลง เขาไม่รู้จักวิถีแห่งกระบี่ อาศัยเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำ ชี้ร่องรอยของเส้นทางที่ถูกต้องแก่ฉู่จิงเทียน
“หัวใจ….กระบี่ ที่มีหัวใจ….” ฉู่จิงเทียนครุ่นคิดอย่างจริงจังถึงการใช้ใจคุมกระบี่ ปากเอ่ยคำนี้ซ้ำๆเบาๆ ความเศร้าในน้ำเสียงค่อยๆจางลง แววตายิ่งมายิ่งสั่นไหว
ทันใดนั้น เขาพลันคิดได้ถึงบางสิ่ง เขายื่นมือชักกระบี่ชางหมิงออกจากหลัง สองมือกุมกระบี่คมกล้า ด้ามกระบี่ชี้ลง ดวงตาทอแววราวกระจก เขาไม่ได้กล่าวคำใด
“เอ๋? ดูเหมือนเจ้าวัวถึกโง่เง่านั่นจะพบอะไรแล้ว…. คนผู้นั้นที่พี่นายท่านพูดถึงเป็นใครกัน? เขาแข็งแกร่งมากเลยเหรอ?” เหยียนกงรั่วถามด้วยความสงสัย
“เขาไม่ใช่คนของโลกนี้ สำหรับเรื่องที่เขาเป็นใคร” เย่หวูเฉินถอนหายใจบาง นัยน์ตาลึกล้ำสองข้างฉายแววโศกเศร้าเดียวดาย “ข้าเองก็อยากรู้ยิ่งกว่าใคร”
“เอ๋?” เหยียนกงรั่วเมื่อได้ยินคำตอบก็สงสัยหนักขึ้น
เย่หวูเฉินเคลื่อนสายตามองไปทางเล่งหยาผู้เย็นชา เขาถาม “ตอนนี้ เจ้าคลายใจลงแล้วหรือยัง?”
เล่งหยาไม่ตอบคำ ในเมื่อเขาเลือกทางเดินแล้ว เขาจะไม่มีวันเสียใจ เดินตามทางที่ไม่รู้จักด้วยหัวใจที่หนักแน่นราวศิลาและเหล็กกล้า ไม่จำเป็นต้องรู้สึกคลายใจ แม้ว่าเหตุการณ์วันนี้จะทำให้เขารู้สึกประทับใจ ทว่าถึงแม้จะไร้วันนี้ ความตั้งมั่นของเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะนี่คือเกียรติและความภาคภูมิของเขา
เล่งหยาเงียบงันเหมือนที่เย่หวูเฉินคิดไว้ แต่แววตาของเขาได้บ่งบอกทุกสิ่ง นี่คือบุรุษที่ไม่สันทัดในถ้อยคำ ทรนงถึงกระดูกดำ ก่อนนี้เขาถูกซัดร่วงลงผาดาวตก เขากัดฟันข่มกลั่นความเจ็บปวดและโลหิตที่หลั่งไหล อาศัยความคั่งแค้นเปิดเนตรปีศาจสังหารโลหิต บังเกิดพลังบ้าคลั่ง ถือกระบี่คร่าสายลมปักผาและปีนขึ้นไปร้อยจั้ง (333เมตร) ขึ้นไปสู่เบื้องบนของผาดาวตกเพียงเพื่อต้องการเอาชนะและสังหารด้วยตัวเอง
ความภาคภูมิของเขาไม่อาจหมิ่นหยามได้
เย่หวูเฉินจ้องยังนัยน์ตาของเล่งหยา ทว่าไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ เนตรปีศาจสังหารโลหิตเกิดขึ้นและหายไปเพราะเหตุใดไม่มีผู้ใดทราบ ทราบเพียงว่าเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันจะส่งผลต่ออุปนิสัยของคนๆนั้นอย่างเด่นชัด ทำให้คนปรารถนาการฆ่าฟัน พรสวรรค์และความก้าวหน้าจะเร็วรุดเหนือคนทั่วไป เมื่อเนตรปีศาจสังหารโลหิตถูกเปิดออก นั่นจะเป็นเวลาที่น่ากลัวสุด จิตสังหารในหัวใจ และพลังแห่งเนตรปีศาจสังหารโลหิตจะพุ่งพรวดขึ้นฉับพลัน ตราบใดที่ไม่บรรลุเป้าหมาย นัยน์ตาโลหิตนี้จะไม่มีทางสงบลง
ความลับของเนตรโลหิตนี้ยากนักที่จะเข้าใจ แต่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เย่หวูเฉินไม่ได้คิดจะลงลึกในเรื่องนี้ เขาเพียงชื่นชม สมควรแล้วที่เป็นบุตรแห่งเทพสงคราม ผู้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ที่เทพประทาน หลังจากเรื่องราวในวันนี้แพร่ออกไป นามของ ‘เล่งหยา’ รวมถึง ‘เนตรปีศาจสังหารโลหิต’ จะสะพัดลามทั่วอย่างรวดเร็ว ในวันหน้าจะมีน้อยคนนักที่กล้ากระตุ้นโทสะเขา เพราะเมื่อใดที่เขาถูกกดดันจนถึงจุดหนึ่ง เมื่อนั้นความอาฆาตและจิตสังหารจะทำให้เขากลายเป็นปีศาจ “หนึ่งเส้นสวรรค์” ที่สังหารยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ได้ประทับในใจผู้พบเห็นอย่างไม่อาจลบลืม คมกระบี่นั้นราวกับภูติผีที่ไม่อาจระวัง ไม่อาจหลีกเว้นดั่งเช่นอาวุโสใหญ่แห่งสำนักจักรพรรดิเหนือที่ต้องเผชิญผลลัพธ์
ในอดีต ครั้งแรกที่เขาได้พบกับเล่งหยา ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจกับพวกผู้คนต่างโลก ยังไม่เข้าใจถึงความลึกลับของชายหนุ่ม ทว่าเขาเห็นจากแววตาว่าเล่งหยาไม่ธรรมดา หลงหยินเองยังมองออกว่าคนผู้นี้จะเป็นภัยใหญ่หลวงในอนาคต จนถึงขั้นปรารถนาสังหาร ตอนนี้สามปีผ่านไป เล่งหยาไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง ทั้งยังตอบแทนด้วยความประหลาดใจไม่น้อย
แสงน้ำเงินครามเปล่งออกมาบางเบา กระบี่ชางหมิงในมือฉู่จิงเทียนบินกลับเข้าสู่ฝักบนหลังด้วยตัวเอง ฉู่จิงเทียนที่จมจ่อมอยู่ในความคิดเนิ่นนานหันกายมา แววตาเป็นประกายประหลาด “น้องเย่ บางทีเจ้าอาจพูดถูกต้อง คำว่า ‘ไม่มี’ ของท่านปู่นั้นข้าไม่อาจสัมผัสได้ถึงสิ่งใด ทว่าคำ ‘หัวใจ’ ที่เจ้ากล่าวออกมา กลับทำให้ข้าสัมผัสถึงบางสิ่งได้อย่างเลือนลาง บางที….ต่อให้หัวใจไม่ใช่วิถีกระบี่ขั้นสูงสุด แต่มันก็ต้องเป็นอีกวิถีหนึ่งที่ยอดเยี่ยมแน่ๆ”
ภายใต้การชี้นำของเย่หวูเฉิน ฉู่จิงเทียนสามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของอีกวิถีหนึ่ง ทว่ามันไม่ใช่วิถีในตำนานแห่งความ ‘ไม่มี’ หัวใจที่เคยสูญเสียเป้าหมายได้คลายความสับสนลง และแทนที่ด้วยความปิติยินดียิ่ง
เขาไม่รู้เลยว่า เหตุที่เขาสัมผัสได้รวดเร็วเช่นนี้ เป็นเพราะยามที่ฝึกฝนกระบี่เขาได้ใช้หัวใจอยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
เย่หวูเฉินพยักหน้าและยิ้มกล่าว “ในเมื่อคือหัวใจ เช่นนั้นจงทำตามที่หัวใจปรารถนา อย่าได้คาดคั้นรู้สึกถึงมันตลอดเวลา มิเช่นนั้น มันจะกลายเป็นการขัดขวางแทน” เย่หวูเฉินกล่าว
ฉู่จิงเทียนผงกศีรษะอย่างตื่นเต้น ตอนนี้เขาชื่นชมเย่หวูเฉินอย่างสุดใจ ไม่ว่าเขาจะพูดสิ่งใด เขาจะรักษาสัญญาไว้มั่น ในที่สุดฉู่จิงเทียนก็เข้าใจว่าเหตุใดตอนที่เขาเห็นเย่หวูเฉินนั่งพิการบนรถเข็น ตนถึงได้รู้สึกกดดันแปลกประหลาด งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินทำให้เขาได้รู้จักเย่หวูเฉินอีกครั้ง สิ่งที่ทำให้เขาอบอุ่นใจคือไม่ว่าเย่หวูเฉินจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็ยังเรียกหาตนว่า “พี่ใหญ่ฉู่” เหมือนเช่นอดีต ไม่มีสัมผัสถึงความห่างเหินใดๆ เรื่องเรียบง่ายนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจเป็นอย่างมาก
เย่หวูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย ตาทั้งสองปิดลงเบาๆ สงบระงับลมหายใจ สัมผัสพลังบางเบาจากผืนแผ่นดินและอากาศ ที่ค่อยๆซึมซ่านเข้าสู่ร่างกายช้าๆ
เขาคือจักรพรรดิมาร และจักรพรรดิมารก็คือเขา