การตายอย่างเหี้ยมโหดของอาวุโสสำนักจักรพรรดิเหนือทำให้เหล่ายอดฝีมือตื่นตะลึงและลอบสะอึก การฆ่าล้างครั้งนี้เป็นความผิดจากใคร? แม้เป็นความจริงที่ว่าสามอาวุโสคุมกฎได้ “ล่วงล้ำ” จักรพรรดิมาร ทว่าที่พวกเขาทำคือเพียงล้อมจักรพรรดิมารไว้และตั้งท่าจะโจมตี กระทั่งชายเสื้อของเขายังไม่ทันได้เสียหาย และห่างไกลกับคำว่าล่วงล้ำที่แท้จริง ยังไม่กล่าวถึงว่าจักรพรรดิมารสังหารนักบวชไร้บุปผา ซึ่งถือเป็นฝ่ายแรกที่ทำผิดกฎของงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน ดังนั้นการกระทำของพวกอาวุโสจึงไม่นับว่าเกินเลย กระทั่งยังนับว่าเป็นการทำตามหน้าที่ และต่อให้ไม่กล่าวยกถึงเรื่องดังกล่าว ระดับการ “ล่วงล้ำ” เพียงเท่านี้กลับนำมาสู่ผลลัพธ์แห่งความตาย การกระทำอันโหดเหี้ยมนี้เพียงอธิบายได้อย่างเดียวว่า “เกินเลย” เท่านั้น
แต่หากอ้างอิงจากคำเล่าลือของจักรพรรดิมารที่ว่า “ใต้น้ำมือไม่เหลือซากศพ” การลงโทษดังกล่าวจะนับว่าเกินเลยได้จริงหรือ? และผู้ที่ทำการ “ลงโทษ” แทนจักรพรรดิมารคือสี่เทวะที่อยู่ข้างกาย การกระทำเหี้ยมโหดนี้ได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาภักดีและเทิดทูนจักรพรรดิมารเพียงใด
ไม่มีใครก้าวออกมาหรือกล่าวโทษ พวกเขารู้แจ่มแจ้งว่าต่อหน้าจักรพรรดิมารผู้ทรงพลังและเหี้ยมโหด ไม่มีใครหน้าไหนที่ต่อต้านแล้วจะจบสวยสักราย ถึงแม้พวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่ต่อหน้าจักรพรรดิมารก็ไม่ต่างจากคนอ่อนแอที่พร้อมถูกริบความชอบธรรมได้ทุกเมื่อ พวกเขาอาจไม่กลัวตาย แต่ไม่มีใครอยากตายอย่างไร้ประโยชน์เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
เหยียนเทียนเว่ยปราดมองสีหน้าของผู้คน จากนั้นก้าวออกมา สีหน้าสงบราบเรียบได้หายไปและแทนที่ด้วยรอยยิ้ม “สหายทั้งหลาย สำหรับสำนักมารของพวกเราแล้ว เจ้านายคือสวรรค์ของพวกเรา พวกเราจะไม่ยอมให้ใครล่วงล้ำเจ้านายได้ มิเช่นนั้น ต่อให้เป็นผู้ใดก็จักต้องตาย และชายชราผู้นี้ทราบดีว่างานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินถูกทำลาย พวกเราทำให้ทุกคนต้องเสียบรรยากาศ ดังนั้นจึงต้องขออภัยต่อทุกคน สำนักมารของพวกเราไม่อาจมีหน้าอยู่ต่อและขอตัวลาเพียงเท่านี้ หวังว่างานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินจะดำเนินต่อได้ เพื่อให้เหล่าผู้กล้าแห่งโลกได้ปรากฎตัว”
จากนั้น เขาคำนับลาทุกคนอย่างสุภาพ
สำหรับเหล่าผู้มีวรยุทธแก่กล้า ผู้แข็งแกร่งย่อมเป็นที่นับถือเสมอมา และยิ่งยอดฝีมือไร้ต้านผู้ยืนอยู่จุดสูงสุดแห่งขอบเขตเทวะมอบคำนับลา ไหนเลยพวกเขาจะอยู่เฉยๆได้ พวกเขารีบคำนับกลับเป็นพัลวัน เหยียนเทียนเว่ยพยักหน้ารับเล็กน้อย เขาไม่รีรอต่อและหยุดยืนอยู่ด้านซ้าย เหยียนชิงหงยืนอยู่ด้านขวา จักรพรรดิมารและเหยียนกงรั่วอยู่ตรงกลาง จากนั้นทั้งหมดลอยขึ้นไปในอากาศ ในมุมมองของผู้คนราวกับว่าจักรพรรดิมารกับเหยียนกงรั่วเหินบินขึ้นไปเอง เหล่ายอดฝีมือต่างมองตาค้าง เพราะจากฉู่จิงเทียน , เหยียนกงลั่ว , เล่งหยา ทำให้พวกเขาไม่กล้าดูแคลนสตรีเยาว์วัยผู้นี้ หากแต่ไม่คิดว่านางกลับสามารถบินลิ่วขึ้นไปได้…. หรือว่าสตรีเยาว์วัยผู้นี้ จะเป็นบุคคลที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทวะอีกคน!?
พวกเขาต้องสั่นกลัวกับพลังล้ำลึกของสำนักมารอีกครั้ง
“เคล็ดเทพกระบี่…. แสงกระบี่ไร้เงา”
ฉู่จิงเทียนคว้าเล่งหยาที่ทำได้เพียงยืนง่อนแง่น จากนั้นย่ำบนกระบี่ชางหมิงแล้วพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าความเร็วของ “แสงกระบี่ไร้เงา” จะเหนือล้ำ แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงตามอยู่เบื้องล่างห่างๆ เขาตะโกนเรียกด้วยกลัวจะถูกทิ้งไว้ เวลานี้เองทุกสิ่งในงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินได้ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เหล่ายอดฝีมือต่างจ้องมองไปที่เขา
พวกเขาไม่ได้บินออกไปไกลนัก หลังจากพ้นออกจากผาดาวตก เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนชิงหงก็ค่อยๆนำจักรพรรดิมารกับเหยียนกงรั่วลอยลงสู่พื้นหญ้าอย่างนุ่มนวล เหยียนชิงปิง , เหยียนต้วนชางกับภรรยา , รวมถึงเหยียนกงลั่วต่างก็ลอยร่างตามลงมา เมื่อจักรพรรดิมารลงถึงพื้นร่างกายก็ไหวเซแทบจะล้มลง เหยียนกงรั่วใช้ร่างอ่อนนุ่มเข้าประคองและกล่าวอย่างห่วงใย “พี่นายท่าน เป็นยังไงบ้าง เร็วเข้า รีบนั่งลงก่อน”
เหยียนกงรั่วประคองเขานั่งลงบนพื้นหญ้า จักรพรรดิมารส่ายศีรษะบาง “วางใจเถอะ ข้าสบายดี เพียงรู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น”
กระบวนท่าแรกของกระบี่ตัดดารา “แยกฟ้าผ่าปฐพี” ทำให้เย่หวูเฉินที่อ่อนด้อยกว่าเทพสงครามอย่างมากสามารถผ่าร่างเขาได้อย่างง่ายดาย จนเกิดเป็นตำนาน “สังหารเทพ” ขึ้นมา ทว่าคันศรบาปวิบัติมีปัญญาที่ด้อยกว่ากระบี่ตัดดารา ดังนั้นจึงไม่มี “วิญญาณ” แบบหนานเอ๋อร์ที่คอยอธิบายพลังทำลายล้างและสังหารที่เหนือกว่ากระบี่ตัดดารา มันมีสามกระบวนท่าเฉพาะตัวเช่นเดียวกัน กระบวนท่าแรกคือ “ศรแยกฟ้าคร่าโลหิต” ที่มีพลังเจาะผาดาวตกจนแตกออกเป็นสองซีก ไม่เพียงพลังทำลายที่เหนือล้ำกว่ากระบวนท่า “แยกฟ้าผ่าปฐพี” แต่การสูบกลืนพลังยังสูงกว่าอย่างมาก เพียงยิงไปศรเดียวก็แทบสูบกลืนพลังทั้งหมดของจักรพรรดิมาร
“….เจ้านาย กระบวนท่าสังหารทั้งสามของคันศรบาปวิบัติ หนึ่งคือ ‘ศรแยกฟ้าคร่าโลหิต’ สองคือ ‘ศรตามจิตโลหิตดำ’ และสุดท้าย ‘ศรสังสารวัฏทะเลเลือด’ แม้ว่าศรแยกฟ้าคร่าโลหิตจะเป็นกระบวนท่าแรก แต่พลังของมันแกร่งกล้าอย่างมาก อาจกล่าวได้ว่ามันสามารถเปิดฟ้าทำลายสวรรค์ สำหรับกระบวนท่าที่สอง ‘ศรตามจิตโลหิตดำ’ แม้ว่าจะมีพลังเทียบเท่า ‘ศรแยกฟ้าคร่าโลหิต’ แต่มันก็น่ากลัวกว่า เพราะเมื่อใดที่ถูก ‘ศรตามจิตโลหิตดำ’ ล็อคตรึงเป้าหมาย ก็มีเพียงต้องใช้พลังเอาชนะมันเท่านั้น มิเช่นนั้น ไม่ว่าจะหนีไปที่ใด มันก็จะติดตามจนกว่าจะสังหารเป้าหมายลง และกระบวนท่าที่สาม ‘ศรสังสารวัฏทะเลเลือด’ ข้าไม่แน่ใจนักในพลังของมัน จำได้เลือนลางเพียงแค่ว่าเมื่อหนึ่งศรถูกยิงออกไป ไม่ว่าอาณาจักรเทพหรือโลกมนุษย์ก็ดี ทั้งหมดจะกลายเป็นผืนทะเลเลือด…. กลายเป็นภาพที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง….”
และนี่คือกระบวนท่าทั้งสามแห่งจักรพรรดิเหนือที่หนานเอ๋อร์เคยอธิบายให้ฟัง
วันนี้ เป็นครั้งที่สองที่เขายิง ‘ศรแยกฟ้าคร่าโลหิต’ ทั้งยังเป็นกระบวนท่าเดียวของจักรพรรดิเหนือที่เขาสามารถใช้ออกได้ ไม่ต้องสงสัยถึงพลังอันไร้ที่เปรียบของมัน กระทั่งสวรรค์ยังสะเทือน มันจึงมีชื่อว่า “แยกฟ้า”
“ดีแล้วที่ไม่เป็นไร” เหยียนกงรั่วทราบดีถึงอาการของจักรพรรดิมาร นางไม่กังวลมากนักนั่งลงตรงหน้าและยิ้มกล่าว “เห็นคนพวกนั้นตกใจกลัวดูน่าตลกดีจริงๆ พี่นายท่าน ข้ารู้ว่าท่านต้องมาแน่ ท่านปู่ คราวนี้ข้าไม่ได้สร้างปัญหานะ”
เหยียนเทียนเว่ยหัวเราะและยิ้มกล่าว “เจ้านาย วันนี้ทุกอย่างที่กำหนดไว้เป็นไปอย่างราบลื่น ทุกสิ่งที่เจ้านายคาดการณ์ไว้ได้เกิดขึ้นจริงๆ”
จักรพรรดิมารพยักหน้าเล็กน้อย
“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป นามของสำนักมารจะดังก้องขึ้นกว่าเดิมนับสิบเท่าในทวีปเทียนเฉิน แผนการครอบฟ้าของเจ้านายก็พร้อมเริ่มต้นได้ทุกเวลา” เหยียนชิงหงลูบหนวดหัวเราะสบาย สีหน้าดูไม่เหมือนคนที่กำลังกล่าวถึงแผนตะลึงโลกอยู่แม้แต่น้อย
จากที่ห่างไกล แสงสีครามใกล้เข้ามาด้วยความเร็วยิ่ง เป็นฉู่จิงเทียนที่เหงื่อท่วมตัวไล่ตามมาพร้อมกับเล่งหยา เหยียนกงรั่วสนใจแต่จักรพรรดิมารไม่แบ่งไปสนใจผู้ใด มือสองข้างที่นวลเนียนไร้ตำหนิยื่นออกลูบใบหน้าจักรพรรดิมาร ส่งเสียงออดอ้อนอ่อนหวาน “พี่นายท่าน ตอนนี้ไม่มีคนนอกแล้ว ก่อนอื่นถอดหน้ากากออกก่อนนะ ข้าไม่ได้เห็นหน้าของพี่นายท่านมาตั้งนานแล้ว”
“แค่สองวันเองไม่ใช่เรอะ?” เหยียนกงลั่วกระซิบเสียงเบา
โดยไม่รอคำตอบของจักรพรรดิมาร เหยียนกงรั่วใช้มือแกะหน้ากากเงินอันเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิมารออก ฉู่จิงเทียนที่กระหืดกระหอบมาถึงเมื่อเห็นใบหน้าของจักรพรรดิมาร แม้ว่าในใจจะยืนยันเกือบเต็มที่ แต่พอเห็นเข้าจริงก็ยังตกใจจนโดดลงจากกระบี่ชางหมิง
“น้อง….น้องเย่ เป็นเจ้าจริงๆ!!” ฉู่จิงเทียนแหกปากตะโกนด้วยน้ำเสียงตกใจ
เมื่อหน้ากากถูกถอดออก ก็เผยให้เห็นใบหน้าที่ขาวซีดเล็กน้อย ทุกสัดส่วนบนใบหน้าอันไร้ตำหนินี้….คือเย่หวูเฉิน
“เฮอะ! นอกจากพี่นายท่านของข้า ยังจะมีผู้ใดเก่งกาจได้ขนาดนี้” เหยียนกงรั่วคล้องแขนขวาของเย่หวูเฉิน อกนุ่มๆเริ่มเบียดแน่นเข้ากับร่างของเขา ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงบ่งบอกถึงความภูมิอกภูมิใจของสตรีน้อย
เย่หวูเฉินที่หลับตาอยู่ก็ลืมตาขึ้น ยิ้มให้ฉู่จิงเทียนที่ยืนโง่งม “พี่ใหญ่ฉู่ ท่านคิดไม่ถึงอย่างนั้นหรือ?”
ตรงกันข้ามกับอีกผู้หนึ่งที่ยืนหน้าขาวซีดถัดจากเขา เล่งหยาไม่มีความแปลกใจใดๆ มีเพียงดวงตาคมกล้าที่มองตรึงอยู่ที่เย่หวูเฉิน ราวกับว่าจะมองทะลุตัวเขา
“คิดไม่ถึงสิ! คิดไม่ถึงมากด้วย…. เจ้าไม่ได้…. เจ้า….” ฉู่จิงเทียนตบหน้าผากตัวเอง ในสมองปั่นป่วน เห็นอยู่ชัดๆว่าเย่หวูเฉินร่างกายพิการ เขายังเคยใช้พลังของตัวเองเข้าตรวจสอบ…. ในร่างของเย่หวูเฉินว่างเปล่า ไร้พลังใดๆหลงเหลืออยู่ พลังชีวิตแทบไม่อาจสัมผัสได้ แต่ว่าตอนนี้…. เขากลับเป็นจักรพรรดิมาร ชื่อเสียงจะโด่งดังเพียงใดเขาไม่รู้ แต่เขาเห็นจักรพรรดิมารลอยอยู่บนอากาศทอดตามองลงมา ยิงหนึ่งศรสะเทือนฟ้า นี่คือสิ่งที่ผู้พิการคนหนึ่งจะสามารถบรรลุได้อย่างนั้นหรือ?
“พี่ใหญ่ฉู่ บางครั้งสิ่งที่ท่านได้ยินก็ไม่อาจเชื่อได้ บางครั้งสิ่งที่ท่านได้เห็นกับตาก็ไม่อาจเชื่อ บางครั้งสิ่งที่ท่านได้สัมผัสเองกับตัวก็ไม่อาจเชื่อเช่นกัน ข้าพูดเช่นนี้ ท่านพอเข้าใจหรือไม่?” เย่หวูเฉินอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ….” หากเขาเข้าใจคำพูดเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ฉู่จิงเทียน พรสวรรค์ของเขามีเฉพาะต่อวิถีกระบี่เท่านั้น สำหรับเรื่องอื่นสมองของเขาคล้ายจะกลายเป็นกล้ามเนื้อแทน หลังจากเค้นสมองอยู่พักหนึ่งจึงกล่าวป้อแป้ออกมา “ถ้างั้น….ก่อนหน้านี้ เจ้าก็จงใจอำพรางตัวเองงั้นเหรอ?”
หากเป็นการอำพราง ก็เป็นการอำพรางที่สมบูรณ์แบบเกินไป เพราะแม้กระทั่งเขาเองก็ยังไม่อาจมองเห็นข้อพิรุธได้แม้แต่น้อย การอำพรางสามารถทำได้ถึงขั้นนี้เชียวหรือ?
“ถูกต้อง มันคือการอำพราง”
“แต่ว่าน้องเย่ ทำไมเจ้าต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ?”
เย่หวูเฉินยิ้มอีกครั้งและกล่าวอย่างล้ำลึก “ในโลกนี้ สิ่งที่น่ากลัวสูงสุดไม่ใช่พลังที่เหนือล้ำกว่าศัตรู แต่เป็นการอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือโดยที่ไม่รู้ว่าเขาน่ากลัวเพียงใด กระทั่งคิดว่าเขาเป็นเพียงขยะ เพราะเหตุนี้ เขาจะสามารถใช้วิธีการหลากหลายชิงลงมือและเข้าควบคุม แม้แต่การต่อสู้ตัวต่อตัว หากศัตรูรู้จักตนเองและอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ยามท่านพลั้งเผลอย่อมถูกกระบี่เสียบแทงได้”
เย่หวูเฉินอำพรางตนหนึ่งคือเพื่อตัวเอง ทว่าสิ่งสำคัญสูงสุดคือเพื่อให้ครอบครัวและผู้คนที่อยู่รอบข้างเขาปลอดภัย
“แต่ว่า….”
“เฮ้ จะอะไรอีกนักหนาเล่า พี่นายท่านเคยบอกว่าเจ้าเรียกว่าต้าหนิว ที่แท้เจ้าก็โง่เหมือนวัวถึกจริงๆ เจ้าก็แค่จำทุกประโยคที่พี่นายท่านพูดไว้ก็พอแล้ว” เหยียนกงรั่วพอได้เบียดอยู่ข้างเย่หวูเฉินก็อารมณ์ดี ทั้งหน้าตาและน้ำเสียงอวดดีเต็มที่
“โอ้” ฉู่จิงเทียนไม่คิดมีปัญหากับสตรี เขาลูบหลังศีรษะ พยักหน้าและไม่ถามอีก…. แม้ว่าเขายังมีเรื่องสงสัยข้อใหญ่ที่อยากถาม อย่างเช่น ใครคือศัตรูที่ทำให้เขาต้อง ‘อำพรางตัว’? พวกปู่ๆสุดยอดฝีมือเหล่านี้มาจากไหน? และเขาทรงพลังถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? ถึงขนาดทำให้ผาดาวตกแตกออกได้….