บรรยากาศเงียบงันเหมือนป่าช้า จักรพรรดิมารค่อยๆลอยร่างขึ้น ไร้ส่วนใดขยับเคลื่อนไหว ราวกับว่าร่างกายเลื่อนขึ้นเอง เขาจับคันศรด้วยมือซ้าย น้าวสายด้วยมือขวา ศรสีโลหิตปรากฎพาดระหว่างสายอีกครั้ง มันค่อยๆขยายขนาด จากสีแดงจางค่อยๆสว่างขึ้น ทันใดนั้นกระทั่งคันศรยังเจิดจ้าจากแสงโลหิต
“กฎ….โลกนี้ไม่ว่ากฎใดก็ไม่อาจบังคับเราจักรพรรดิ นั่นก็เพราะ….กฎทั้งหมดในโลกนี้….คือเราจักรพรรดิเป็นผู้บัญญัติ และพลังที่อยู่ในมือเราจักรพรรดิคือกฎสูงสุด….”
เสียงแหบพร่าล้ำลึกเปล่งออกพร้อมจักรพรรดิมารที่ลอยร่างขึ้นช้าๆ เมื่อสิ้นเสียงลง เขาก็ลอยอยู่เหนืออากาศกว่าสิบเมตร ในมือนั้นคันศรเป่ยตี้เปล่งแสงโลหิตฉาบทาทั่วบริเวณ แม้จะอยู่ห่างไกล ก็ยังคงได้กลิ่นคาวเลือด
ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ ศรโลหิตที่มีขนาดขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เหล่ายอดฝีมือหัวใจเต้นระส่ำด้วยพลังน่าหวาดหวั่นของมัน
ซวี่~~~~~~
รัศมีแสงโลหิตดับวับในฉับพลัน พร้อมกับศรแดงระยับพุ่งออกจากคันศร ราวกับดาวตกที่ร่วงลงมาจากฟากฟ้า
เวลานี้ ราวกับว่าความรู้สึกจบสิ้นได้มาถึง
เพียงศรแสงถูกปล่อยออกมา สายตาผู้คนกลับดับลงอย่างคาดไม่ถึง กระทั่งสัมผัสการได้ยินยังดับลง รอบร่างไร้สรรพเสียงใด ในสายตามีเพียงแสงโลหิตเจิดจ้า สว่างงามตัดฟ้ามาสู่ปฐพี เส้นทางที่มันพุ่งลงมานั้น ใกล้พวกเขาเข้ามาทุกขณะ….
เปรี้ยง!!!!!
ในพริบตา พวกเขาก็ฟื้นกลับสัมผัสการได้ยิน ทว่าในชั่วขณะที่สัมผัสการได้ยินกลับมานั้น กลับเป็นเสียงดังลั่นดั่งสวรรค์ถล่มจนหูดับไปชั่วครู่ ในรัศมีหลายสิบลี้ล้วนได้ยินเสียงราวอัสนีฟาด
สูญเสียสัมผัสการได้ยินสองครั้ง ครั้งแรกคือพลังเหนือล้ำของศรธนูเป่ยตี้แหวกอากาศ เกิดสุญญากาศกางกั้นเสียง ครั้งที่สองคือเสียงระเบิดสะเทือนลั่นจนพื้นใต้เท้าสั่นไหว ทั่วทั้งที่ราบสั่นไหวไปชั่วขณะ
เมื่อสัมผัสการได้ยินกลับคืนมา จักรพรรดิมารยังคงลอยนนิ่งอยู่กลางอากาศ มีเพียงคันศรโลหิตในมือที่กลับคืนสู่สีปกติ ทว่าเมื่อมองลงไปที่ใต้เท้า สายตาผู้คนก็ต้องหดวูบลงอย่างไม่อาจควบคุม ราวกับว่าพวกเขาเห็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก
ตำแหน่งที่ศรโลหิตนั้นตกลง คือจุดที่นักบวชไร้บุปผายืนอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้ไร้เศษซากใดๆของมันหลงเหลืออยู่ และแทนที่ด้วยหลุมกว้างขนาดสามเมตร และสิ่งที่แทบทำให้ผู้คนหยุดหายใจ นั่นคือมีสองรอยแยกแตกจากปากหลุมลามไปจนจรดสองฝั่งของผาดาวตกที่อยู่ห่างไกล…. หากมองสองรอยแยกนี้จากบนฟ้า จะเห็นน้ำจากทะเลสาบทะลักเข้ามาตามร่อง
ผาดาวตกที่สูงกว่าร้อยจั้ง (333 เมตร) ผืนแผ่นที่เทพประทานพร ในพริบตากลับแตกออกเป็นสองฟาก!!
สายลมหยุดลง อากาศหยุดนิ่ง ลมหายใจเงียบงันด้วยทุกคนรั้งไว้
การต่อสู้ของยอดฝีมือขอบเขตเทวะสี่คน ยังไม่ง่ายนักที่จะทำให้ผืนแผ่นเหนือผาดาวตกเกิดรอยร้าว นั่นทำให้ผู้คนทราบถึงความแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบของมัน แต่ศรที่จักรพรรดิมารปล่อยออกจากมือนั้น กลับเจาะผาดาวตกจนแตกออกเป็นสองฝั่งทันที เทียบกับพลังไร้ต้านของยอดฝีมือขอบเขตเทวะทั้งสี่คนแล้ว นี่เป็นพลังแกร่งกล้าที่เหนือล้ำกว่านับสิบเท่า!!
“น่า….น่ากลัวเกินไปแล้ว….” ชายชราผมขาวใส่ ‘เกราะแขนเหล็ก’ มีนามเลื่องระบือในอาณาจักรชางหลาน ยามนี้แววตาแตกตื่นและกล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว ด้วยความสะเทือนครั้งใหญ่ ผู้ชราอายุราว 70 ปี ผู้นี้ยังต้องตกตะลึงถึงวิญญาณ
“พลังอะไรกัน….”
“จักรพรรดิมาร…. หรือนี่จะเป็นพลังที่คนผู้หนึ่งสามารถปลดปล่อยออกมา….น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้ว….”
“จักรพรรดิมาร สำนักมาร….ไม่แปลกใจเลยที่เทพเซียนเหล่านั้นปรารถนาเป็นข้ารับใช้ของเขา ด้วยพลังเพียงนี้ ใต้หล้ายังจะมีผู้ใดที่สามารถต่อต้าน!”
“จักรพรรดิมาร กลับแกร่งกล้าถึงเพียงนี้…. หรือนี่จะเป็นขอบขั้นในตำนาน….ขอบเขตพลังเหนือเทพ!?”
สุ้มเสียงลอดออกมาจากปากแสดงถึงความแตกตื่นของผู้คนที่ไม่อาจระงับ พลังของเหยียนเทียนเว่ยทำให้พวกเขาเชื่อว่านี่คือพลังสูงสุดของเทวะ ทว่าหนึ่งศรของจักรพรรดิมารกลับทำให้ความเข้าใจของพวกเขาพลิกตลบไปหมดสิ้น
“กฎ….โลกนี้ไม่ว่ากฎใดก็ไม่อาจบังคับเราจักรพรรดิ นั่นก็เพราะ….กฎทั้งหมดในโลกนี้….คือเราจักรพรรดิเป็นผู้บัญญัติ และพลังที่อยู่ในมือเราจักรพรรดิคือกฎสูงสุด….”
ในความเงียบไร้ที่เปรียบ ถ้อยคำหยิ่งผยองของจักรพรรดิมารสะท้อนในแก้วหูของผู้คน หากตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดว่านี่หยิ่งผยองอีกต่อไป ด้วยพลังน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ ยังจะมีผู้ใดกล้าบอกว่าเขาไม่มีคุณสมบัติอีก….เพียงเฉพาะ “ข้ารับใช้” ของเขา ก็เพียงพออาละวาดไปทั่วทวีปเทียนเฉินแล้ว
น่ากลัวเกินไป….เป็นสี่คำที่สะท้อนในสมองและหัวใจของเหล่ายอดฝีมือ เวียนวนดังซ้ำอยู่เป็นเวลานาน
“ว้าว!! ฮี่ ฮี่ พี่นายท่านยอดเยี่ยมยิ่งนัก ท่านรีบลงมานี่เร็วเข้า….” เหยียนกงรั่วตะโกนและวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ จักรพรรดิมารชำเลืองมอง จากนั้นลอยร่างลงมาจากอากาศ เมื่อเท้าแตะสัมผัสพื้น เหยียนกงรั่วก็มาถึงพอดี นางผวาร่างเข้ากอดคอตะโกนและหัวเราะ คนคล้ายปรารถนาโยนร่างทั้งตัวเข้าใส่เขา
ทว่าทันใดนั้นเอง นางพลันสัมผัสถึงเหงื่อ ร่างกายที่ตนกอดไว้ให้ความรู้สึกที่อ่อนแอ เหยียนกงรั่วยังไม่ลดรอยยิ้มลง แต่ลอบสอดแขนประคองเขาไว้อยู่ข้างกาย สีหน้าพึงใจมองยังเหล่ายอดฝีมือผู้หวาดกลัวเพื่อบอกว่า ข้าคือสตรีของเขา
หนึ่งศรทำลายผา พลังนี้กระทั่งเหยียนเทียนเว่ยยังไม่อาจทำได้ง่ายๆ ทว่าหากตอนนี้เอามือแตะจักรพรรดิมาร จะรู้ทันทีว่าเขาแทบไม่เหลือพลังในร่าง บางทีเพียงผลักร่างเขาเบาๆก็อาจล้มลงแล้ว เหยียนกงรั่วแสดงท่าท่างและลอบประคองเขาไว้เงียบๆ
หนึ่งศรสะเทือนฟ้า ทำให้เหล่ายอดฝีมือในฉากไม่กล้าลืมนามและความน่ากลัวของจักรพรรดิมารอีกต่อไป ก่อนหน้านี้ เหล่าผู้คนต่างหยิ่งทรนง ภายในใจไม่เคยรู้สึกต่ำต้อยเช่นนี้มาก่อน เพราะนี่ไม่ใช่เพียงจักรพรรดิมาร แต่วันนี้พวกเขายังได้เข้าใจว่าสำนักมารแข็งแกร่งเพียงใด
จักรพรรดิมารย่อมเป็นคนของสำนักมาร ทว่ายอดฝีมือขอบเขตเทวะทั้งสี่ , เจ้าคนผู้มีเนตรปีศาจสังหารโลหิต , รวมถึงคนที่สามารถยิงศรด้วยปราณ ต่างเรียกขานเขาเป็นเจ้านายอย่างชัดถ้อย ในที่สุดผู้คนก็เข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงใช้คำว่า “เซี๋ย” เป็นแซ่ เพราะเซี๋ยหรือมารคือนามของสำนักมาร!
“พวก….พวกเจ้าทั้งหมด หรือว่าจะเป็นคนของสำนักมาร!” อาวุโสสองแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือกล่าวคำอย่างขลาดกลัว สายตาของเขาตกลงที่รอยแยกของผาดาวตก ไม่อาจระงับความตกใจบนใบหน้า ต่อหน้าพลังนี้ เขาไม่อาจอดที่จะคิดว่าตนเองมีพลังต่ำต้อยราวกับมด
คนผู้หนึ่งสามารถปลดปล่อยพลังได้ถึงเพียงนี้จริงๆหรือ? ไม่….มนุษย์ย่อมไม่อาจมีพลังแกร่งกล้าถึงขั้นนี้ได้ คันศรสะเทือนฟ้าที่อยู่ในมือจักรพรรดิมารนั่นสมควรเป็นของสำนักจักรพรรดิเหนือ!!
เหยียนซีหมิงและสามอาวุโสเชื่อเป็นมั่นเหมาะว่านี่ต้องเป็นเพราะคันศรเป่ยตี้ นอกจากสามศาตราต้องห้ามที่ทรงพลังที่สุดแล้ว ยังจะมีสิ่งใดที่ทำเรื่องสะเทือนฟ้าเช่นนี้ได้
ได้เห็นพลังเหนือล้ำของคันศรเป่ยตี้เป็นคราแรก ความปรารถนาในใจยิ่งท่วมทะลักขึ้นอย่างเงียบเชียบ
“ไม่ผิด” เหยียนเทียนเว่ยเอ่ยตอบ จากนั้นไม่กล่าวคำอีก
แม้ว่านี่ไม่ใช่คำตอบที่น่าประหลาดใจนัก ทว่าเมื่อได้ยินจากปากของยอดฝีมือขอบเขตเทวะขั้นสูงสุด ทุกคนล้วนลอบสูดหายใจเอาอากาศเยียบเย็น
สี่ยอดฝีมือขอบเขตเทวะ ต่อให้ทั้งสำนักมารมีเพียงแค่สี่คนนี้ ก็เพียงพอที่เหยียบย่ำโลกให้สั่นกลัว ไม่ต้องกล่าวถึงสำนักมารที่เป็นขุมกำลังยิ่งใหญ่เพียงใด แค่จำนวนคนในสำนักไม่อาจมีผู้ใดทราบได้ และยอดฝีมือระดับนี้ยังไม่ทราบว่ามีอยู่อีกเท่าใด….ยิ่งรวมจักรพรรดิมารที่น่าหวาดหวั่นเข้าไปอีกคน ทำให้พวกเขาแม้เค้นสมองคิดเพียงใดก็ไม่อาจจินตนาการได้ และไม่อาจคาดคำนวณ ตัวตนยิ่งใหญ่ที่ผงาดค้ำทวีปเทียนเฉิน ราวกับฝ่ามือมหึมาที่ปกคลุมผืนฟ้าไว้
ตอนนี้ไม่มีผู้ใดสงสัยแล้วว่าตัวตนลึกลับนี้แข็งแกร่งเพียงใด เพียงไม่ถึงหนึ่งปีสำนักมารก็มีพลังเข้มแข็งถึงเพียงนี้…. ไม่สิ นี่กระทั่งอาจก้าวข้ามสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือที่รุ่งเรืองมาหลายพันปีให้ถึงจุดจบได้!!
ทุกสายตาจับจ้องที่คนสำนักมารหลายร่าง ทั้งบุรุษ , สตรี , คนชรา และ เยาว์วัย….ทั้งหมดล้วนแต่น่าหวาดหวั่น แม้เหยียนชิวชาและเหยียนกงรั่วจะไม่ได้แสดงฝีมือ แต่พวกเขาก็ไม่อาจหาญกล้าท้าประลองอีก หากภายหลังพวกเขาบังเอิญพบเจอคนของสำนักมาร ต่อให้เป็นบุคคลผู้ต่ำต้อยที่สุดในสำนัก พวกเขาก็ไม่กล้าดูหมิ่นแม้แต่น้อย เสมือนเช่นได้พบคนของสำนักจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ
งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินครั้งนี้ แม้เสวี่ยหนี่และเทพมายาไม่ได้ปรากฎกาย แต่คนกลุ่มนี้ก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงยิ่งกว่า โดยเฉพาะจักรพรรดิมารที่สร้างความตะลึงเทียมฟ้า สร้างเงาประทับฝังไว้ในใจตลอดกาล งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินที่เหล่ายอดฝีมือมารวมกัน กลับกลายเป็นงานสำแดงพลังของจักรพรรดิมารและเหล่ายอดฝีมือใต้บัญชาแห่งสำนักมาร
“สิ่งนี้ คือกฎ….” จักรพรรดิมารมองสามอาวุโสแห่งสำนักจักรพรรดิเหนืออย่างเย็นชา คันศรในมือถูกยกขึ้นช้าๆ
ถูกจ้องมองโดยตรง อาวุโสสองผู้ยิ่งใหญ่ในโลกหล้ากลับถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเขาพลันตระหนักได้ ใบหน้าชราก็บิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังไม่กล้าขยับเดินไปข้างหน้า
ถูกต้อง พลังเบ็ดเสร็จคือกฎที่ยิ่งใหญ่สุด สามอาวุโสคุมกฎแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือไม่อาจกล่าวคำใดๆได้อีก พวกเขาสามารถเป็นพยานและผู้ควบคุม เพราะเบื้องหลังคือสำนักจักรพรรดิเหนือที่มีพลังสูงสุด ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิมารและสำนักมาร พวกเขาได้แต่สั่นกลัวอย่างล้ำลึก ไม่คู่ควรควบคุมงานอีกต่อไป และในทางกลับกัน หากฝ่ายนั้นต้องการเอาชีวิตของพวกตนย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง จักรพรรดิมารไม่เพียงแบกนามอันเหี้ยมโหด แต่เขายังมีสำนักมารที่เห็นได้ชัดว่าไม่เกรงกลัวสำนักจักรพรรดิเหนือแม้แต่น้อย
ยามนี้ ต่อให้พวกเขาเผชิญหน้ากับยอดฝีมือแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือจำนวนมาก พวกเขาก็คงไม่หวั่นกลัวแม้แต่น้อย