“นั่นใคร!!”
นักบวชไร้บุปผาตะโกนอย่างโกรธขึ้ง ศรปราณร่วงจากฟ้าตรงใส่ศีรษะเขาอีกครั้ง หากครั้งนี้เขาไม่ได้ต้านรับแต่เบี่ยงร่างหลบ สายตาเกรี้ยวกราดจับจ้องบนฟ้า
เหยียนกงรั่วกำลังจะส่งเสียงตะโกนตื่นเต้น ทว่ากลับถูกเหยียนชิวชาส่งสายตาปรามไว้ เหยียนกงรั่วจึงได้แต่ข่มอารมณ์อย่างยากลำบาก หากแววตาสองข้างยังคงเป็นประกาย
เวลานี้ ในห้วงคำนึงของผู้คนมีแต่ภาพตรงหน้า ด้วยพลันมีร่างสีเงินปรากฎต่อสายตา ลอยต่ำอยู่เหนือพื้นดิน เส้นผมสีดำ , หน้ากากเงิน , และชุดสีเงิน
ร่างที่ปรากฎตรงหน้า ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปฉับพลัน เครื่องแต่งกายนี้คือสัญลักษณ์ของบุคคลผู้น่าหวาดหวั่น
“จักร….จักรพรรดิมาร!!”
“หน้ากากเงิน , ชุดสีเงิน คนผู้นี้คือจักรพรรดิมารในตำนานไม่ผิดแน่ แต่ว่าธนูนั่น….”
ธนูยักษ์สีเพลิงปรากฎอยู่ในมือจักรพรรดิมาร มันมีสีแดงก่ำ เป็นสีของโลหิตที่สว่างจ้า ราวกับคันธนูนั้นอาบชะโลมด้วยโลหิต พร้อมที่จะหยดลงทุกเวลา และขนาดใหญ่โตของมันทำให้ผู้คนไม่อาจอดคิดได้ว่า นั่นคือปากปีศาจที่พร้อมจะกัดกลืนผู้คน….
น่ากลัว! ลักษณะที่ปรากฎทำให้พวกเขาขนลุกไปทั่วร่าง
เป็นจักรพรรดิมาร อย่างไม่ต้องสงสัย!
จักรพรรดิมารหยุดยืนอยู่บนพื้นสูงและทอดตามอง ด้วยธนูสีเลือดที่ถืออยู่ในมือ ศรแดงที่ยิงออกมาเมื่อครู่ การปรากฎตัวที่ราวกับภูติผี…. ผู้คนที่พบจักรพรรดิมารล้วนตกตะลึงหน้าถอดสี ผู้ที่เพิ่งพบเห็นเป็นครั้งแรกเกิดเงาทะมึนฝังใจ
พลังของจักรพรรดิมาร บางผู้คนกล่าวว่าพลังของเขาไม่อาจหยั่งทราบ เปรียบเทียบไม่ต่างจากเหล่าคนที่เหยียบย่างเข้าสู่วิถีเทวะ พลังแท้จริงของเขาไม่อาจอ้างคำเล่าลือใดมาเปรียบเทียบได้ เพราะทุกคนที่เคยต่อสู้กับจักรพรรดิมารล้วนตกตายหมดสิ้น กระทั่งซากศพยังไม่เหลือ ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ นามอันน่ากลัวนี้กระจายฝังอยู่ในสายเลือดอย่างรวดเร็ว
หากจักรพรรดิมารเป็นเพียงปีศาจกระหายเลือดที่ทรงพลัง นั่นคงไม่พอสร้างความหวาดหวั่นแก่ผู้คน แต่สองตระกูลเวทย์อันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรต้าฟงถูกทำลายราบสิ้น นำพาความหวาดกลัวอย่างสูงสุด เหล่ายอดฝีมือชื่อดังต่างไม่กล้าล่วงล้ำจักรพรรดิมาร นายน้อยตระกูลชางกวนแห่งต้าฟงตกตายด้วยน้ำมือจักรพรรดิมาร ทว่าตระกูลชางกวนไม่เคลื่อนไหวเอาความใดๆแม้แต่น้อย ทั้งไม่กล้าคิดและไม่กล้าทำ เพราะหากไม่อาจอดทนกับเรื่องนี้ ตระกูลชางกวนคงได้เผชิญหน้ากับการล้างบางสิ้นตระกูล กระทั่งตระกูลเวทย์อันยิ่งใหญ่ของต้าฟงยังเป็นถึงเพียงนี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องกล่าวถึงคนทั่วไป จักรพรรดิมารไม่เพียงเป็นคนผู้หนึ่งเท่านั้น แต่เบื้องหลังยังมีขุมกำลังลึกลับ จากตำนานที่กล่าวไว้ นอกเหนือจากสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ ก็มีอีกหนึ่งสำนักมารที่ไม่มีผู้ใดกล้ากระตุ้นยั่ว
หากจะว่าไปแล้ว…. ผู้คนที่อาศัยอยู่นอกอาณาจักรพรรดิต้าฟง คงไม่อาจเข้าใจความน่ากลัวของจักรพรรดิมารได้เทียบเท่าผู้คนของต้าฟง บางขุมกำลังที่สั่งสมอำนาจมานับพันปียังไม่อาจน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้
เขามาในวันนี้ เห็นได้ชัดว่าเพื่อชิงตำแหน่งผู้แกร่งกล้าที่สุดในโลก…. ทว่าผู้ใดจะกล้าสู้กับเขา? หากชนะเขาได้ก็นับว่าดี แต่หากแพ้ก็อาจตายไม่เหลือซาก! และยิ่งเมื่อครู่เขาลอยสูงลิ่วอยู่บนฟ้า ผู้คนก็ยิ่งไม่กล้าสู้กับเขา
ทันใดนั้นอากาศเย็นเยียบลงเล็กน้อย ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายทิ่มแทง จักรพรรดิมารเป็นเพียงคนผู้หนึ่ง ทว่าบรรดายอดฝีมือชั้นสูงนับร้อยกลับไม่กล้าท้าเขา พลังที่เขาแผ่ออกมาปกคลุมทั่วบริเวณ กลิ่นอายเย็นเชียบเบาบางที่แผ่ออกมานั้น เพียงพอแล้วที่จะบอกพวกเขาว่านี่คือตัวตนแบบไหน
ในอีกฝั่งหนึ่ง เหยียนซีหมิงหยัดร่างอ่อนแอนั่งพิงผนังหิน เขาบาดเจ็บหนักด้วยสองศรปราณของเหยียนกงลั่ว ยังดีที่ตอนนี้เขาปลอดภัย ทว่าความเจ็บปวดบนร่างกายและจิตใจยังคงไม่ลดลง เขาเกิดในสำนักจักรพรรดิเหนือ ตั้งแต่เด็กจนโตคุ้นชินกับความยิ่งใหญ่ รู้ว่าตนเองคู่ควรที่เรียกว่า “ราชัน” แห่งโลกหล้า เขาปรากฎตัวต่อหน้าผู้คนเพียงน้อยครั้ง และในวันนี้ เขากับสี่อาวุโสเดินทางมางานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินเพื่อแสดงฝีมือ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงต่อสู้ครั้งแรกก็ต้องพ่ายแพ้หมดสภาพ ทั้งคนผู้นั้นยังอายุไม่มากไปกว่าเขา
จิตใจถูกทำลายอย่างหนัก ไหนเลยเขาจะยอมรับได้
เมื่อจักรพรรดิมารปรากฎตัว เหยียนซีหมิงลืมตาสองข้างขึ้นทันที มองสำรวจจักรพรรดิมารไม่ละตา แววตาสั่นไหวไม่หยุดเมื่อพลันตระหนักถึงคันศรที่อยู่ในมือจักรพรรดิมาร เพราะนั่นคือสิ่งที่สำนักจักรพรรดิเหนือตามหามานับพันปี และมีเพียงไม่กี่คนในสำนักจักรพรรดิเหนือที่รู้จักลักษณะของมัน เพราะมันคือคันศรบาปวิบัติของสำนักจักรพรรดิเหนือ!
“จับมัน…. ใช้ทุกอย่างที่มีอย่าได้ลังเล! สิ่งที่อยู่ในมือมัน….คือคันศรเป่ยตี้!” พลังเพลิงวิญญาณในร่างปั่นป่วน เหยียนซีหมิงข่มกลั้นความเจ็บปวดที่แผ่ร้าว ส่งน้ำเสียงอ่อนแอให้แก่สามอาวุโส สามอาวุโสคุมกฎร่างกายสั่นสะท้าน แววตาสั่นไหวต่อเนื่องตามกัน
จักรพรรดิมารยกคันศรในมือขึ้น มือขวาน้าวสายธนูที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น ระหว่างที่น้าวสายธนู ศรแดงที่ไม่ทราบที่มาก็พลันปรากฎพาดคันธนู มันส่งแสงประกายบาง และชี้เล็งไปที่นักบวชไร้บุปผา
นักบวชไร้บุปผาเค้นศีรษะแทบแตกก็ไม่อาจคิดออกว่าไปล่วงเกินจักรพรรดิมารตอนไหน ทว่าเขาพลันนึกออกถึงสิ่งหนึ่ง คือข่าวลือที่ว่าสำนักมารมักกำจัดบุคคลที่ทำเรื่องชั่วช้า สีหน้าของเขาจึงทะมึนลง ไม่คิดพูดมากหรือหลบหนี ตรงกันข้ามเขาเริ่มขยับตรงเข้าหาจักรพรรดิมาร การคิดคลี่คลายด้วยถ้อยคำหรือหลบหนีล้วนเป็นเรื่องน่าขัน พลังของศรแดงสองลูกที่ยิงออกมาเมื่อครู่ ทำให้เขาพอเข้าใจถึงพลังของจักรพรรดิมาร ความกลัวในใจจึงลดลงหลายส่วน
“ช้าก่อน!!”
มีเสียงตะโกนดังขึ้นสามสาย สามอาวุโสทะยานร่างออกมาพร้อมกัน พวกเขาล้อมร่างจักรพรรดิมารไว้ อาวุโสสองก้าวออกมา “เจ้าคือจักรพรรดิมาร? ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร นี่คืองานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน ที่ซึ่งยอดฝีมือแห่งโลกหล้ามารวมกัน ทุกคนต้องทำตามกฎของที่นี่ มิเช่นนั้นจะถือเป็นศัตรูของโลก ที่นี่ทำได้เพียงท้าประลองเปรียบฝีมือ ไม่อาจใช้ฉกฉวยโอกาสแก้แค้น เจ้ากลับลอบโจมตีจากฟ้าทำลายกฎของงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน ในฐานะพยานและผู้ควบคุมของงานชุมนุมครั้งนี้ พวกเราจะจัดการกับเจ้าเอง”
เกิดสนามพลังเย็นเยียบเมื่อกระบี่ถูกดึงออกมา ภายใต้ความสงบจริงจังของอาวุโสทั้งสามกลับเป็นหัวใจที่เต้นกระหน่ำ สายตาติดตรึงบนคันศรเป่ยตี้ เป้าหมายของสำนักจักรพรรดิเหนือคือตามหาคันศรเป่ยตี้และเจ้านายของมัน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปสำนักจักรพรรดิเหนือก็ไม่คิดสนใจใน “ลิขิตชะตา” ที่เสมือนเป็นเพียงคำเล่าลือนี้อีกต่อไป เมื่อเกลือกกลั้วอยู่ในเรื่องทางโลก วันนี้สำนักจักรพรรดิเหนือจึงเสื่อมทรามลง พอได้เห็นคันศรเป่ยตี้จึงความโลภกระสันต์ เพราะนี่อาวุธของเทพสูงสุดของพวกตนที่สูญหายมานาน หากสามารถนำมันกลับมาได้ สำนักจักรพรรดิเหนือย่อมแข็งแกร่งขึ้นอย่างเหนือประมาณ และไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงแม้กระทั่งสำนักจักรพรรดิใต้
ทว่า….สำนักจักรพรรดิเหนือต้องต่อสู้ถวายชีวิตให้กับนายแห่งคันศรเป่ยตี้อย่างนั้นหรือ? สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องน่าหัวร่ออย่างยิ่ง สืบทอดพลังมานับพันๆปี สั่งสมอำนาจเอาไว้เพียงใด เพียงเพื่อศรคันเดียวกลับจะยกทุกสิ่งให้คนนอก? คงมีแต่คนบ้าไร้ทางเยียวยาเท่านั้นที่ทำเช่นนี้
เหยียนซีหมิงและสามอาวุโสคุมกฎเมื่อเห็นคันศรเป่ยตี้ในมือจักรพรรดิมาร ความคิดแรกคือการแย่งชิง ไม่มีความคิดถวายความภักดีต่อเจ้านายคันศรเป่ยตี้แม้แต่น้อย ในใจกลับมีแต่เจตนาฆ่าฟัน คล้ายกับตอนที่เย่หวูเฉินเสนอข้อแลกเปลี่ยนกับสำนักจักรพรรดิใต้ ที่เพียงกล่าวถึงกระบี่หนานฮวงและไม่กล่าวถึงเจ้านายของมัน สำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือเสื่อมโทรมลงจนถึงขั้นละทิ้งภารกิจของตน แทนที่ด้วยความโลภและทะยานล้ำ
สามไอปราณติดตรึงที่ร่างของจักรพรรดิมาร การโจมตีของจักรพรรดิมารต่อนักบวชไร้บุปผาทำให้พวกเขามองทะลุแจ่มแจ้งเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเขาจะได้ทันลงมือ ก็มีเสียงคำรามก้องเสียดหูดังขึ้น “ผู้ใด….กล้า….ทำร้าย….ราชัน….ของข้า!!”
เหยียนชิงหงผู้อ่อนโยนตวาดลั่นอย่างโกรธเกรี้ยว คลื่นพลังแกร่งกล้าส่งร่างม้วนไปอยู่เบื้องหน้าจักรพรรดิมาร สนามพลังที่สามอาวุโสแผ่ไว้แตกทำลายทันที พวกมันถอยร่างไปหลายก้าวด้วยสายตาโง่งม เหยียนชิงปิงตามมาอย่างรวดเร็วและหยุดยืนที่ข้างเหยียนชิงหง ดวงตาชรายามนี้กราดเกรี้ยวจนผู้คนไม่กล้าสบมองโดยตรง “ทำร้ายราชันของข้า สมควรตายไม่เหลือซาก!”
มีสองเงาทะมึนปรากฎข้างกายจักรพรรดิมาร สายตาสงบมองกดดันสามอาวุโสที่เพิ่งทำความคุกคาม น้ำเสียงไร้อารมณ์กล่าวออกมา “ล่วงเกินนายข้า ความผิดเท่ากับตาย”
เป็นเหยียนต้วนชางและเหยียนชิวชาที่เคลื่อนร่างมาตามกัน หยุดยืนอยู่สองข้างของจักรพรรดิมาร เหยียนต้วนชางขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าดุร้ายกราดเกรี้ยว “พวกเจ้าลองเข้ามาอีกครั้งสิ”
เหยียนกงลั่วทะยานร่างแล่นมาอยู่ข้างๆเหยียนต้วนชาง แค่นเสียงเย็นกล่าว “ผู้ใดกล้าทำร้ายเส้นผมของนายข้า ข้าจะสังหารครอบครัวมันให้สิ้น….ต่อให้เป็น ‘สำนักจักรพรรดิเหนือ’ ข้าก็จะล้างบางมันทั้งสำนัก!”
ยังมีอีกร่างหนึ่งสีดำลิ่วมาหยุดอยู่เบื้องหน้าจักรพรรดิมาร ในมือถือกระบี่สั้นส่งประกายสีเขียวจาง เล่งหยาที่เพิ่งฟื้นคืนพลังได้เพียงเล็กน้อยไม่กล่าวคำใด หากสีหน้าทะมึนและสายตาเย็นเชียบนั้นได้บ่งบอกความหมายออกมาแล้ว
สามอาวุโสคุมกฎแข็งทื่อตะลึงงัน ยอดฝีมือแห่งทวีปเทียนเฉินล้วนโง่งมอยู่ตรงนั้น ฉู่จิงเทียนจ้องค้างดุจตาวัว ปากอ้ากว้างเนิ่นนานไม่อาจหุบลง