ฉู่ชางหมิงปิดตาลงกึ่งหนึ่ง น้ำเสียงมัวบางราวกับหมอก “ไม่จำเป็นหรอก ไม้ใกล้ฝั่งอย่างข้า สิ้นความปรารถนาในความเป็นที่สุด หลายปีที่เก็บตัวจากโลก เพียงเพื่อแสวงหาจุดสูงสุดแห่งวิถี พริบตาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว”
เขาหยุดเสียงชั่วขณะ ก่อนที่จะกล่าวคำต่อ เหล่าคนที่อยู่ด้านล่างต่างเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ไม่ยอมปล่อยพลาดแม้แต่คำเดียว “มนุษย์แม้อาจก้าวขึ้นสู่วิถีเทวะ ทว่าเทวะคือขอบเขตสูงสุดที่มนุษย์ไปถึง ตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดก้าวข้ามขอบเขตนี้ได้ ข้าสงบจิตใจมาหลายปีเพื่อหาหนทางทะลวงผ่าน แม้ว่าข้าสามารถบรรลุวิถีกระบี่ แต่กลับไม่เคยเฉียดใกล้การทะลวงผ่านวิถีเทวะได้เลย”
ทะลวงผ่านวิถีเทวะ? ผู้คนหัวใจเต้นระส่ำ ยามที่พวกเขาทะลวงถึงขอบเขตวิญญาณ หรือขอบเขตสวรรค์ ต่างล้วนดีใจเป็นลิงโลด ทว่าเมื่อพูดถึงวิถีเทวะ พวกเขาเหมือนได้แต่มองสิ่งที่สูงสุดฟ้าและถอนหายใจ สิ่งที่เทพกระบี่ไล่ตามอยู่ กลับเป็นการทะลวงผ่านวิถีเทวะ บรรลุขอบเขตที่สูงล้ำขึ้นไปอีก
ทว่า นี่จะเป็นไปได้จริงๆหรือ? หาก “เทวะ” ยังไม่ใช่ขอบเขตสูงสุดที่มนุษย์สามารถไปถึง เช่นนั้น เมื่อบุคคลทะลวงผ่านขอบเขตเทวะก็จะกลายเป็นเทพเหนือเทพอย่างนั้นสิ?
“แม้ว่าไม่อาจบรรลุผลลัพธ์ และข้าได้แต่ทอดถอนใจ ทว่าระหว่าง 18 ปีในความเงียบงัน พลังของข้าก็แตะระดับสูงสุดของเทวะ คงไม่อาจมีผู้ใดก้าวข้ามความเข้าใจในวิถีเทวะของข้าได้อีก แต่ข้าก็ไม่คิดประมาทผู้อื่นในโลกนี้”
สายตาแตกตื่นสะพรึงกลัว ฉู่ชางหมิงค่อยๆลอยร่างลงมา หยุดลงตรงหน้าเหยียนต้วนชางอยู่ไม่ห่าง สายตามองตรงไปที่เหยียนเทียนเว่ยและกล่าวอย่างสงบ “ที่ข้ามาในวันนี้ หนึ่งเพื่อชมฝีมือของหลานชาย สองเพื่อมาชมผู้กล้ารุ่นต่อไปของโลก กลับคิดไม่ถึงเลยว่า โลกนี้จะยังมีผู้อื่นที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวิถีเทวะ ตราบใดที่โชคฟ้าวาสนามาถึง ย่อมก้าวข้ามวิถีเทวะ ย่างเข้าสู่วิถีเหนือเทพที่แกร่งกล้ายิ่งกว่าวิถีเทวะ!”
ถ้อยคำของเขาทำให้ผู้คนตัวสั่นด้วยความกลัว อาจเรียกได้ว่าถึงขั้นหวาดสะพรึง นี่ไม่ใช่เรื่องตลกแล้ว เพราะออกจากปากของเทพกระบี่เอง หัวใจของพวกเขาได้แต่แตกตื่น ไม่อาจบังเกิดความสงสัย พวกเขาเคลื่อนสายตาไปที่เหยียนเทียนเว่ย ทว่าเหยียนเทียนเว่ยภายใต้สายตาของเหล่ายอดฝีมือเหล่านั้นกลับยังคงสงบนิ่ง ราวกับแผ่นน้ำในบ่อโบราณที่ไม่หวั่นไหวต่อคลื่นลม
“ท่านแสวงหาวิถีเหนือเทพอันเป็นมายาอย่างนั้นหรือ?” เหยียนเทียนเว่ยขยับริมฝีปากเล็กน้อย น้ำเสียงราวกับสายน้ำเซาะ
“ถูกต้อง เช่นเดียวกันกับท่าน” ฉู่ชางหมิงและอีกฝ่ายต่างมองกัน เกิดคลื่นพลังประหลาดระหว่างที่ชายชราทั้งสองสบตากัน
“ท่านตระหนักถึงเรื่องนี้มากี่ปีแล้ว?”
“18 ปี”
“ข้าตระหนักมา 60 ปี” เหยียนเทียนเว่ยมองที่ฉู่ชางหมิง ค่อยๆเอ่ยตัวเลขออกมา
60 ปี….
ฉู่ชางหมิงกลายเป็นเงียบงัน
อายุของพวกเขาใกล้เคียงกัน คือมากกว่า 60 ปีแต่ไม่เกิน 70 ปี ทว่าพวกเขากลับแตกต่างกัน….ฉู่ชางหมิงไล่ตามวิถีเหนือเทพเมื่อ 18 ปีก่อน แต่เหยียนเทียนเว่ยเมื่อเริ่มฝึกฝนวรยุทธ เป้าหมายของเขาไม่ใช่ขีดขั้นสูงสุดของวิถีเทวะอย่างที่คนทั่วไปคาดหวัง แต่คือสิ่งที่ผู้คนไม่อาจมีหวังบรรลุ กระทั่งกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ใดคิดถึงมัน นั่นคือขอบเขตเหนือเทพ
อันที่จริง ตั้งแต่ครั้งโบราณมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องที่ว่ามนุษย์สามารถบรรลุถึงขอบเขตเทวะได้เท่านั้น ได้กลายเป็นความรู้พื้นฐาน แทบไม่มีใครคิดถึงขอบเขตเหนือเทพ ทั่วทั้งทวีปนี่คือความรู้ทั่วไป จะมีกี่คนที่คิดถึงเรื่องนอกเหนือความรู้ตัวเอง….อย่าว่าแต่ไล่ตามเลย
การบรรลุของเหยียนเทียนเว่ยตั้งแต่เด็กนั้น มาจากการสืบทอดพลัง ผู้คนบ้าคลั่งไม่อาจเข้าใจ ยิ่งกว่านั้น เขายังถูกผนึกไว้ในโลกเล็กๆใต้หุบเหวปลิดวิญญาณมาตั้งแต่เด็ก ฉู่ชางหมิงตระหนักได้เมื่อ 18 ปีก่อน ตอนที่ติดอยู่ในม่านพลังของกระบี่ตัดดารา หัวใจเขาจึงสงบนิ่งเหมือนแผ่นน้ำ ทว่าเหยียนเทียนเว่ยตระหนักได้ตั้งแต่เด็กในม่านพลังของคันศรบาปวิบัติ ด้วยพลังของสายเลือดจักรพรรดิเหนือ และพลังของปู่เขาที่ส่งมอบให้กับตนก่อนตาย…. ความเข้าใจของเขาอยู่ในขีดขั้นสูงสุดของเทวะ มีเพียงเส้นบางๆที่คั่นไว้
หากเส้นบางๆนี้กลับยากยิ่งที่จะก้าวผ่าน เพราะสิ่งที่จำเป็นมิใช่เวลาหรือการฝึกฝน แต่เป็นโอกาสที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก หากไม่อาจหาโอกาสนั้นพบ ต่อให้ศึกษาอย่างหนักเป็นเวลาร้อยปีก็ไม่อาจข้ามผ่านได้
“ท่านคือผู้มีพระคุณของเจ้านาย ดังนั้น….ข้าจะบอกถึงสิ่งที่ข้าเข้าใจ”
ฉู่ชางหมิง “……”
เหยียนเทียนเว่ยก้าวเท้าหนักออกมาอยู่เบื้องหน้า “ลุงต้าสง ป้าซ่งหัว นานแล้วที่พวกเราไม่ได้เปรียบมือกัน”
“ฮี่ ฮี่ ตั้งแต่ออกมาพร้อมเจ้านาย พวกเราก็ไม่ได้ประมือกันอีกเลย” เหยียนชิงหงยิ้มอบอุ่น เหยียนชิงปิงหัวเราะ ใบหน้าชรามีแต่รอยยับย่น
“วันนี้ ในที่สุดก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก ข้าไม่ได้มีชีวิตดีๆแบบนี้มานานแล้ว ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่”
เมื่อสิ้นเสียงหัวเราะ เขาก็เดินไปถึงข้างกายเหยียนต้วนชาง “ชางเอ๋อร์ มากันเถอะ”
บรึ้มม!!!
ไม่ทราบว่าเสียงลั่นดังมาจากไหน แม้ไม่ใช่เสียงที่ดังเกินไปนัก แต่หัวใจราวกับมีเหล็กฟาดอย่างรุนแรง ทำให้ผู้คนร่างกายสั่นเทา ในทรวงอกอึดอัดเหลือประมาณ
ยอดฝีมือไร้ต้านระเบิดพลังออก ร่างของเหยียนเทียนเว่ยอยู่ตรงใจกลางสนามพายุ เหนือพื้นดินก้อนหินเล็กใหญ่ปลิวว่อนอย่างบ้าคลั่ง เหนือท้องฟ้าเห็นได้ชัดว่าไร้เมฆหมอก ทว่าราวกับมีเมฆดำบดบังอยู่เหนือศีรษะ บรรยากาศมืดลงเล็กน้อย สำหรับยอดฝีมือสูงชั้นเหล่านี้ หัวใจกลับคล้ายถูกกดด้วยโลหะแผ่นหนาจนแทบกระอักเลือด
บรึ้ม!
เสียงดังลั่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ชายวัยกลางคนถูกหินขนาดเท่าศีรษะปลิวกระแทก โลหิตกระอักไหลออกจากปาก…. ผู้คนที่อยู่ที่นี่ล้วนไม่ธรรมดา ทว่าเมื่อถูกคลื่นพลังกระแทกกลับบาดเจ็บอย่างง่ายดาย
เหยียนเทียนเว่ยเพียงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน เส้นผมและชายเสื้อสะพัดปลิวในอากาศ ยอดฝีมือในฉากใช้พลังตรวจสอบและต้านทานคลื่นพลังที่เขาปลดปล่อยออกมา ถ้อยสนทนาของฉู่ชางหมิงกับเขาเมื่อครู่ พวกเขาฟังอย่างตกตะลึง และตอนนี้พวกเขาเชื่อหมดใจด้วยความแตกตื่น ชายชราผู้นี้ที่เงียบงันมาตลอดกลับบรรลุพลังเทวะขั้นสูงสุด พลังที่เขาแผ่ออกมานั้นเหนือล้ำยิ่งกว่า “เซี๋ยต้วนชาง” พวกเขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินว่าเพียงพลังที่ปลดปล่อยออกมาของคนๆหนึ่งจะน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้
พวกเขาแทบตะโกนยืนยันออกมาว่า….คนผู้นี้คืออันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างแน่นอน!
ฮ่าห์!
ฮ่าห์!
ย๊าห์!!
สามเสียงคำรามก้อง เหยียนชิงหง , เหยียนชิงปิง และเหยียนต้วนชางเคลื่อนพลังทั้งหมด ปลดปล่อยพลังตนออกมาพร้อมกัน…. เพื่อเข้าประจัญไอปราณที่เหยียนเทียนเว่ยแผ่พุ่งออกมา
ใต้ฝ่าเท้า ไม่ทราบว่าผืนดินเริ่มสั่นไหวเล็กน้อยตั้งแต่เมื่อไหร่ ผืนแผ่นดินแกร่งกล้าที่เทพประทานพรกลับร้าวออก ผาดาวตกทั้งหมดเริ่มสั่นไหว แม้มันจะทวีความรุนแรงขึ้นเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเทียบเท่าหัวใจที่สั่นไหวได้ ยิ่งมองไปยังสองคนชราที่ผมขาวเต็มศีรษะ อายุมากกว่า 80 ปี เป็นไม้ใกล้ฝั่งทั้งสองคน พวกเขาไม่อาจอดสงสัยได้ว่าตนเองกำลังอยู่ในความฝัน
สองคนชรานั้นกลับแผ่กลิ่นอายเทวะอยู่เบื้องหน้า คนเหล่านี้ครองพลังสูงสุดของมนุษย์ ธรรมดาย่อมยากที่จะเห็นเหล่าเทพในเวลาเดียวกัน วันนี้พวกเขากลับปรากฎขึ้นมาต่อหน้าทีละคน….ยอดฝีมือขอบเขตเทวะสี่คน ทว่าทั้งสี่คนนี้ พวกเขาไม่เคยพบหรือได้ยินมาก่อนแม้แต่น้อย
และหนึ่งในพวกเขา ยังเหนือล้ำความเข้าใจสุดกู่ กระทั่งเทพกระบี่ยังกล่าวได้ว่าอ่อนด้อยกว่าเขา
ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังมาด้วยกัน ทั้งแซ่ที่ใช้ราวกับเป็นครอบครัว
หากตัดสินจากกลิ่นอาย จะพบได้ไม่ยากว่าคนเหล่านี้ฝึกฝนทักษะเดียวกัน นั่นหมายความว่าพวกเขาคือ “พวกพ้องกลุ่มก้อน” มาจากสถานที่เดียวกัน
คนเหล่านี้ ที่แท้เป็นกลุ่มคนแบบไหน!
ผู้คนอยากเชื่อมากกว่า ว่าคนกลุ่มนี้มากจากทวีปเทวะในตำนาน และลงมาสู่ทวีปเทียนเฉินแห่งนี้
เหยียนเทียนเว่ยหมุนร่าง แผ่นฟ้าลั่นสนั่น เหยียนต้วนชางขยับตาม เคลื่อนเท้าราวภาพเงา ใช้สองมือผลักออก เหยียนชิงหงและเหยียนชิงปิงขยับตามเช่นกัน สองมือเหี่ยวแห้งยื่นผลักไปที่เหยียนเทียนเว่ย คลื่นอากาศสามสายจากสามบุคคล แผ่พุ่งกดดันเหยียนเทียนเว่ยจากสามทิศทาง
เผชิญกับพลังล้อมกรอบของสามยอดฝีมือขอบเขตเทวะ เหยียนเทียนเว่ยมิได้สับสนแม้แต่น้อย มือซ้ายยื่นออก รับคลื่นอากาศหมุนเปลี่ยนเป็นสงบ ราวกับสายน้ำเชี่ยวกลายเป็นสายน้ำเอื่อย มือขวาผลักผ่านอากาศว่าง ส่งพลังเหนือล้ำโจมตีใส่คนทั้งสาม
พลังของพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้การสัมผัสกาย สำหรับพวกเขาแล้ว การจะเอาชีวิตผู้คนล้วนง่ายไม่ต่างจากหยิบของออกกระเป๋า “เทวะ” มิใช่เพียงสมญา แต่ยังหมายถึงเมื่ออยู่ต่อหน้ามนุษย์ พวกเขามีพลังที่จะตัดสินชะตาผู้คนทั้งหมดได้
ทั้งสี่คนลอยร่างขึ้นในอากาศ ส่งพลังปะทะกันดุเดือด ทำให้ผู้คนบนพื้นที่มีพลังอ่อนแอแทบไม่อาจทนรับได้ เมื่อพลังของเหยียนเทียนเว่ยปะทะกับพลังของอีกสามคน ผาดาวตกก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ภายใต้แรงกดดันหนักหน่วงดุจขุนเขา พวกเขารู้สึกราวกับถูกกดจมลงพื้นเล็กน้อย เศษหินและสายลมปั่นป่วนทำให้ผู้คนแทบไม่อาจลืมตา พลังจากคลื่นปะทะทำให้ยอดฝีมือหลายคนต้องกระอักเลือด กระทั่งเหยียนกงรั่วที่อยู่ใต้การป้องกันเต็มที่ของเหยียนชิวชายังหน้าซีดขาว
นี่เป็นเพียงคลื่นพลังที่แผ่ออกมา หากยอดฝีมือที่ยืนอยู่บนพื้นต้องสั่นแล้วสั่นอีก ทวีปเทียนเฉินถูกสั่นสะเทือนอย่างหนัก ยิ่งหากพวกเขาเป็นญาติกันโดยตรง…. เหล่าผู้คนที่ไม่เคยรู้จัก “เทวะ” ยามนี้ในที่สุดก็ได้สัมผัสกับตัวเอง ต่อหน้าพลังปานนี้ ผู้คนล้วนไม่อาจนับเป็นอันใด
ตูม….
ตูม….
เปรี้ยง….
ครืน….
……
“เทวะ” ต่อสู้กันเหนือฟ้า บางทีชั่วชีวิตนี้พวกเขาอาจได้เห็นเพียงครั้งเดียว พอคิดว่าสามารถได้เห็นการต่อสู้ปานนี้ พวกเขาก็ไม่อยากพลาดรายละเอียดแม้แต่น้อย หากพวกเขาถูกลิขิตให้ผิดหวัง ด้วยคนทั้งสี่คนเป็นญาติมิตรกัน ต่างจากการต่อสู้ในอดีตของฉู่ชางหมิง , ฟงเฉาหยาง , หวู่เชียวชุย , และเสวี่ยหนี่ พวกเขาใช้ทักษะแบบเดียวกันไม่ใช้ทักษะอื่น สิ่งเดียวที่พวกเขาทำตอนนี้คือเปรียบพลังโดยตรง และใต้คลื่นพลังเหล่านั้นคนเบื้องล่างหลายคนแทบไม่อาจแหงนเงยขึ้น กระทั่งเปลือกตายังยากจะเปิดออก มีเพียงเสียงก้องที่ดังผ่านหู ทำจิตใจให้สั่นไหว ใต้เท้าแผ่นดินสะเทือน เกิดรอยร้าวขนาดหนึ่งชุ่น (2.5 ซม) ลามออกนับไม่ถ้วน