📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยาย Heavenly Star สวรรค์มวลดาว – เล่ม 5 ตอนที่ 301

บทที่ 301 - ศรแดง
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

ชายเสื้อสีครามของฉู่ชางหมิงสะบัดพัดเสียงดัง ร่างของเขาแข็งทื่อราวกับหิน ตาสองข้างมองตกที่เหยียนเทียนเว่ย สายตามองตามการเคลื่อนไหว เขาไม่ได้ถอยร่นออกมาและมองอย่างเงียบงัน สัมผัสพลังที่เหนือล้ำยิ่งกว่าตน

ฉู่จิงเทียนป้องกันอยู่เบื้องหน้าเล่งหยา กัดฟันโถมพลังไม่ถอยหนีแม้แต่ก้าวหนึ่ง ในปากกล่าวคำที่ไม่อาจฟังชัด “ที่แท้ ท่านปู่ต้าสงกับท่านย่าซ่งหัวกลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้…. ปู่คนนั้น ยังแข็งแกร่งกว่าท่านปู่ของข้า…. จริงหรือที่พวกเขากับน้องเย่….ไอ๊….”

ทั้งสี่คนปะทะพัวพันอยู่กลางอากาศ สลับเคลื่อนเลื่อนตำแหน่งอย่างไร้รูปแบบ ภายใต้การร่วมมือของสองผัวเมียชราและคนหนุ่มหนึ่งคน กลับทำได้แค่ยันเสมอกับเหยียนเทียนเว่ยเท่านั้น สถานการณ์ในตอนนี้ มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าใช้พลังออกไปมากน้อยแค่ไหน เทพทั้งสี่แห่งเทียนเฉินคือยอดฝีมือขอบเขตเทวะที่รู้จักกันในยุคปัจจุบัน และตอนนี้มันได้เปลี่ยนจากมีสามคน (ฟงเฉาหยางตาย) เป็นมีเจ็ดคน อีกทั้งหนึ่งในนั้นยังเหนือล้ำกว่าอดีตเทพทั้งสี่แห่งเทียนเฉิน บรรลุถึงขอบเขตเทวะขั้นสูงสุด การประมือของพวกเขาในวันนี้ ย่อมสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งทวีปเทียนเฉิน เพราะเพียงชั่วเวลาสั้นๆ งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินนี้ก็ยังสะเทือนลั่นราวแผ่นดินไหว

เปรี๊ยะ!!

เสียงคล้ายแก้วแตกดังลั่นขึ้น ท้องฟ้าทะมึนลง กระทั่งตะวันยังไม่อาจสาดแสงผ่านคลื่นพลังน่าหวาดหวั่น ผ่านไปเพียงครู่ บางผู้คนเริ่มไม่อาจต้านทานคลื่นพลังได้ ทำได้เพียงหลบฉากออกไปอย่างรวดเร็ว ไปให้ไกลสุดเท่าที่จะไม่ได้รับผลกระทบ ในบรรดาคนเหล่านี้ จำนวนมากอยู่ในขั้นขอบเขตสวรรค์ แม้จะห่างจากเทวะเพียงหนึ่งขอบเขต แต่เป็นความห่างชั้นของมนุษย์และเทพ

คนทั้งสี่ต่อสู้กันเพียงไม่ถึงหนึ่งนาที กลับทำลายผาดาวตกไปไม่น้อย รอยแตกน้อยใหญ่แผ่ลามทั่วบริเวณ พื้นผิวกลายเป็นเศษชิ้นปลิวว่อนกระจาย

คนทั้งสี่ประมือกันในท่าสุดท้าย เหยียนเทียนเว่ยดิ่งร่างผ่านทั้งสามคนลงมาหยุดยืนบนพื้น เหยียนชิงหงและอีกสองคนลอยร่างตามลงมา หยุดยืนอยู่ไม่ห่างจากเขา บุคคลที่บรรลุขอบเขตเทวะ ย่อมบินเหนืออากาศได้อย่างอิสระ ยังดีที่การเปรียบมือครั้งนี้พวกเขายั้งมือไว้ แม้ว่าจะทำให้ผู้ที่มีพลังอ่อนแอบางคนบาดเจ็บหนัก แต่พวกเขาก็โทษได้เพียงตัวเองที่อ่อนด้อยพลังเท่านั้น สี่เทวะเผชิญหน้ากัน ผู้ใดจะกล้าอยู่ใกล้รัศมีพลังที่พวกเขาต่อสู้

หลังจากเทพทั้งสี่หยุดลงบนพื้น ใบหน้าพวกเขาฉายแววแห่งความสุข เหยียนชิงหงลูบเคราขาวและกล่าวอย่างอ่อนโยน “เทียนเว่ย แม้ครั้งนี้ไม่ได้สู้กันจริงจังเท่าใด ไม่อาจเพลิดเพลินได้เต็มที่ แต่เจ้ากับข้าต่างรู้ดี ว่าหากพวกเราสามคนร่วมมือกัน การหวังรู้ผลแพ้ชนะนั้น เกรงว่าสามวันสามคืนก็ยากที่จะรู้ผล”

เหยียนเทียนเว่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “เป้าหมายวันนี้ลุล่วงแล้ว หากวันหน้าเจ้านายจัดการธุระสำคัญจนเสร็จ พวกเราค่อยกลับไปที่ถิ่นฐานแล้วสู้กันสามวันสามคืนให้หนำใจ”

คนทั้งสี่ยืนอยู่กลางสนาม สายตาโดยรอบมองพวกเขาจดจ่อ เวลานี้ พวกเขาต่างรู้สึกสงสัยคับแน่น….ว่าคนเหล่านี้เป็นใครกันแน่!

ขณะที่ยังตะลึง พวกเขาก็พบว่าเทพกระบี่ฉู่ชางหมิงหายตัวไปแล้ว บางทีเขาอาจปกปิดตัวเอง หรือบางที….เขาอาจพลันพบบางสิ่ง แล้วเร่งหาที่สงบเพื่อทำความเข้าใจ

“ท่าน….ผู้เยี่ยมยุทธทั้งหลาย ไม่ทราบพวกท่านมีนามเรียกว่าเช่นไร?” หวู่ซานซื่อออกมาจากหลังหินใหญ่ที่ปริแตกจากคลื่นพลัง เขาถามสี่คนนั้นด้วยคำถามที่ทุกคนอยากรู้ สายตาไล่มองทีละคน จดจำลักษณะหน้าตาของพวกเขาไว้ และในที่สุดก็หยุดลงที่เหยียนเทียนเว่ย ในช่วงชีวิตนี้ ในที่สุดเขาก็ได้พบคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าบิดาตน

“นามเรียก? ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ อย่าใส่ใจกับมันนักเลย ก็แค่ชื่อที่ไม่ค่อยได้ใช้ ที่จำเป็นต้องจำมีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือพวกเราเป็นข้ารับใช้ที่ภักดีต่อเจ้านาย” เหยียนเทียนเว่ยตอบกลับสุภาพ หากคำกล่าวนั้นสะเทือนฟ้าจนทุกคนแทบไม่อยากเชื่อหู

มีพลังเหนือล้ำเกินขีดความเข้าใจ บุคคลผู้บรรลุขอบเขตเทวะขั้นสูงสุด…. กลับเรียกตนเองว่าเป็นข้ารับใช้!

สี่เทวะร่วงลงจากฟ้า กลับเป็นข้ารับใช้ของคนผู้หนึ่ง!

แล้วเจ้านายของพวกเขาจะน่ากลัวขนาดไหน!

หากสามอาวุโสแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือกลับยิ่งตกตะลึงจนไม่อาจกล่าวคำ ยอดฝีมือขอบเขตเทวะสี่คน ขุมกำลังนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะกล้ายั่วยุง่ายๆ คนพวกนี้มาจากไหน….เหตุใดสำนักจักรพรรดิเหนือที่ส่งคนกระจายอยู่ทั่วโลก กลับไม่เคยรู้จักขุมกำลังน่าหวาดหวั่นนี้

พวกเขาเริ่มรู้สึกถึงความกดดันหนักหน่วงที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน นี่เกินความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง เหนือล้ำจนพวกเขาแตกตื่นแทบไม่อาจควบคุม

“เช่นนั้น….ไม่ทราบว่าเจ้านายผู้สูงส่งของพวกท่าน มีนามว่าเช่นไร?” หวู่ซานซื่อถาม

เหยียนเทียนเว่ยเคลื่อนสายตาออก กล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “นามแห่งราชันของพวกเรา หากเจ้ามีวาสนาก็จะได้รู้เอง แต่หากไม่ เช่นนั้นก็คือเจ้าไม่คู่ควรที่จะรู้”

หวู่ซานซื่อแววตายังคงปรารถนา หากเขานิ่งเงียบและไม่เอ่ยถามอีก เขามีบิดาที่เป็นเทวะเช่นกัน เป็นตัวตนดั่งขุนเขาพันมายาที่ผู้คนไม่กล้าเหยียบเท้าเข้าไป ผู้คนได้แต่มองมาจากที่ห่างไกล เขาเติบโตใต้ร่มเงาและชื่อเสียงของบิดา ยามเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งจึงสงบยิ่ง เพราะเขาเชื่อว่าโลกนี้ไม่มีผู้ใดที่แข็งแกร่งเกินบิดาตนเอง

ทว่ายามอยู่ต่อหน้าเหยียนเทียนเว่ย เขารู้สึกถึงพลังกดดันที่ไม่อาจต้านทาน ได้แต่ถอนหายใจและถอยออกไป

บิดากับปู่ และอีกสองปู่ย่า ได้สำแดงพลังบรรลุเป้าหมายในงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน เหยียนกงรั่วไม่เก็บอาการอีกต่อไป นางกระโดดโผล่ออกมาและตะโกนเสียงหวาน “ท่านปู่ ท่านพ่อ รบกวนพวกท่านช่วยควักลูกตานักบวชโสโครกนั่นให้ที….มันกล้าบังอาจใช้สายตาแบบนั้นมองข้า! ข้าคือสตรีของพี่นายท่านนะ!”

เจ้าคิดเจ้าแค้น แทบจะเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของสตรี และจากคำพูดของเหยียนกงรั่ว พวกเขารู้ทันทีว่านางหมายถึงนักบวชไร้บุปผาที่ใช้สายตาแทะโลมนางก่อนหน้า

เหยียนกงรั่วจะก่อปัญหาเช่นไร เดิมทีพวกเขาไม่สน แต่ตอนนี้ด้วยคำพูดสุดท้ายของนาง พวกเขาไม่สนไม่ได้แล้ว สายตาหลายคู่ซับซ้อนมองมา สำหรับพวกเขา จอมราชันคือบุคคลที่ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามหมิ่นหยาม

นักบวชไร้บุปผาชื่อเสียงฉาวโฉ่ในอาณาจักรคุยชุย ทว่าเขาก่อเรื่องมากมายโดยไม่มีใครกล้าแตะต้อง แม้เขามีร่างที่อ้วนเตี้ย แต่พลังลมปราณแกร่งกล้าอย่างยิ่ง กระบี่ธรรมดาไม่อาจฝากรอยแผลกับเขา และพัดใบไม้หักๆที่อยู่ในมือนั้น ซ่อนอาวุธลับเอาไว้หลายอย่าง ยามเมื่อปะทะศัตรู เข็มพิษจะถูกยิงออกมาอย่างเงียบเชียบ ทำให้ยากต่อการป้องกัน

ทว่าต่อให้เขาแข็งแกร่งกว่านี้อีกสิบเท่า ก็ไม่อาจอยู่ในสายตาของเหยียนเทียนเว่ย เพียงคลื่นพลังของเทวะทั้งสี่คน เลือดลมเขาก็ปั่นป่วนจนแทบกระอักออกมา เวลานี้ อกเปลือยเปล่าของเขากำลังถูกสี่เทวะจับตรึงกลิ่นอาย พลังกดดันเกินจินตนาการ น่ากลัวจนแทบไม่อาจกระดิกนิ้ว กลัวจัดจนแทบไม่อาจหายใจ

ฟวี้….

เหนือท้องฟ้าเกิดเสียงบางที่แทบไม่อาจสัมผัส แต่ไหนเลยคนเหล่านี้จะสัมผัสถึงเสียงผิดปกติไม่ได้ พวกเขาแหงนศีรษะมองฟ้าทันที ทว่า….ท้องฟ้าว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด ไร้สิ่งใดแม้แต่น้อย เพราะเมื่อครู่เมฆหมอกถูกคลื่นพลังเทวะปัดเป่าจนสิ้น

แต่เสียงนี้ ไม่ใช่หูแว่วไปเองแน่ๆ

พวกเหยียนเทียนเว่ยทั้งสี่คนถอนพลังกลับ ราวกับนัดกันมาไม่ติดตรึงพลังไว้ที่ร่างของนักบวชไร้บุปผาอีก ทำให้มันถอยหลังโงนเงนไปข้างหลังสองสามก้าว แทบจะร่วงล้มลงกับพื้น

“ผู้ใด!!”

อาวุโสสองแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือปราดตาราวกับเหยี่ยว จ้องตรงไปบนฟ้า จากนั้นติดตามการคำรามก้องของเขา ทุกคนเคลื่อนพลังไปที่สองดวงตา เพ่งมองอย่างเต็มที่ และแน่นอนว่า….ที่บนฟ้าสูงลิบจนไม่อาจจินตนาการ พวกเขาเห็นเงาร่างเล็กๆ และหัวใจต้องเต้นกระหน่ำบ้าคลั่งอีกครั้ง

บินอยู่เหนือฟ้า ผู้บรรลุพลังเทวะย่อมกระทำได้โดยง่าย รวมถึงบางคนที่ฝึกฝนทักษะพิเศษ อาจสามารถแหกกฎฝืนบินได้เมื่อมีพลังขอบเขตวิญญาณขั้นปลาย ทว่า….ไม่มีใครเคยได้ยินหรือเคยคิดเลยว่า จะมีบุคคลที่สามารถบินอยู่ได้ในระดับสูงน่ากลัวถึงเพียงนี้

ยากยิ่งที่จะบินได้ และยิ่งสูงก็ยิ่งยาก หากความยากไม่ได้เพิ่มขึ้นเป็นเส้นตรง แต่ยากขึ้นแบบเพิ่มทวี ตำแหน่งที่เงานั้นลอยอยู่สูงลิบลิ่วจนพวกเขาไม่อยากเชื่อ ด้วยความสูงเช่นนี้ทำให้เหล่ายอดฝีมือระดับสูงสุดแห่งทวีปเทียนเฉินไม่อาจตรวจพบตั้งแต่เริ่มงานจนถึงตอนนี้

พวกเขาอยากเชื่อมากกว่าว่านั่นไม่ใช่มนุษย์…. แต่ถ้าหากนั่นคือมนุษย์ เขาจะเป็นผู้ใด…. หรือจะเป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตเทวะอีกคน? ด้วยความสูงเช่นนี้ บางทีอาจมีเพียงเทพแท้จริงเท่านั้นที่ทำได้

ดวงตาที่สงสัยของอาวุโสสองในที่สุดก็ได้คำตอบ พลันมีเส้นสีแดงพุ่งลงมาจากเงาร่างนั้นที่เล็กจ้อยแทบไม่อาจมองเห็นนั้น เป้าหมายอยู่ที่นักบวชไร้บุปผาที่กำลังเงยศีรษะขึ้น

กระแสอากาศดิ่งลงมาจากเบื้องบน ยังไม่เข้าใกล้ก็สัมผัสถึงความน่ากลัวคล้ายร่างกายถูกทิ่มแทง นักบวชไร้บุปผาไม่มีเวลาให้คิดถึงเหตุผลที่ถูกโจมตี เขาหมุนร่างเหวี่ยงแขนโบกพัดในมือขวาเตรียมเข้าปะทะกับลำแสงสีแดง

ลำแสงสีแดงปะทะเข้ากับพัดหัก หลังจากเกิดเสียงปะทะดังสนั่น นักบวชไร้บุปผาก็โซเซถอยหลังไปสองก้าว พัดในมือสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม เขาไร้เวลาให้คิดและยกพัดขึ้นมา หากต้องตกใจเมื่อพบว่าพัดที่ไม่เสียหายมานับสิบปีกลับถูกเจาะเป็นรูเท่าข้อนิ้วจำนวนมาก

และลำแสงสีแดงนั้นเมื่อปะทะกับการป้องกันของเขาก็หายไปสิ้น

เปลี่ยนปราณให้เป็นศร! ผู้คนอุทานร้องในใจ นอกจากเหตุผลข้อนี้ ก็ไม่มีสิ่งใดอธิบายเรื่องประหลาดของลำแสงแดงที่หายไป และคนที่เรียกตัวเองว่า “เซี๋ยกงลั่ว” ก็เพิ่งแสดงให้พวกเขาเห็น ทว่า…นี่คือศรจริงๆหรือ เหตุใดจึงมีสีแดงก่ำเช่นนั้น?

Facebook Twitter Telegram Pinterest
Heavenly Star สวรรค์มวลดาว (จบ)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Completed ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เด็กหนุ่มลึกลับผู้ลืมเลือนอดีต ตื่นขึ้นมาในทวีปเทียนเฉิน ถูกเข้าใจว่าเป็นบุตรชายตระกูลเย่ เขาจึงใช้สถานะนี้เฝ้าสังเกตโลกอันยุ่งเหยิง รวมทั้งสืบหาอดีตของตน หากแต่โชคชะตาที่ต้องประสบกลับมีเพียงความน่าหวั่นสะพรึง เขาจึงหัวเราะเยาะโชคชะตา และเผยพลังสะท้านแดนดินใต้ผืนสวรรค์.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset