เหยียนชิงหงและเหยียนเทียนเว่ยยังคงยืนนิ่งเงียบงัน ขณะที่เหยียนชิงปิงยิ้มหวาน เหยียนกงรั่วและเหยียนชิวชายิ้มยิงฟัน ท่าทางแต่ละคนล้วนไม่ประหลาดใจ ส่วนฉู่จิงเทียนและเล่งหยาสีหน้าเห็นได้ชัดว่าตระหนก เหยียนต้วนชางกวาดตามองอีกครั้ง สบตากับแต่ละคนที่ไม่มีผู้ใดกล้าตอบรับคำ
เขาออกมาเร็วเกินไป ยอดยุทธระดับสูงสุดเช่นนี้ ควรดูคนอื่นแสดงฝีมือแล้วค่อยออกมาเป็นคนสุดท้าย การที่เขาออกมาทำให้การประลองจืดลงทันที
เหยียนต้วนชางถอนสายตากลับ ทันใดนั้นเขาเงยหน้าขึ้นและส่งเสียงออกไป “ในเมื่อผู้อาวุโสจดจ้องข้าอยู่นาน ท่านคงมีความสนใจ เหตุใดจึงไม่ออกมาพบเล่า!”
เสียงของเขาไม่ดังหรือเบาเกินไป หากแฝงพลังสั่นไหวแปลกประหลาด เมื่อกระทบขอบผาก็สะท้อนกังวาลดังสลับไปมา ก้องอยู่ในหูเนิ่นนานไม่จางลง
ขณะที่ผู้คนกำลังสงสัย อากาศที่ปั่นป่วนก็สงบนิ่งลงฉับพลัน….มิใช่มันสงบลงเพราะเทวะรำงับกลิ่นอาย แต่มันถูกผลักดันช้าๆด้วยพลังลึกลับ ถูกกดข่มอย่างเงียบงัน บางคนที่แน่นหน้าอกก็พลันหายใจอย่างสะดวก ทันใดนั้น อากาศเริ่มบิดผันอีกครั้ง แต่ไม่ได้ปั่นป่วนทำผู้คนหายใจอึดอัดเหมือนก่อนหน้า หากสายลมนี้ชื่นเย็นเป็นระเบียบ ทว่าเพียงไม่นาน กระแสอากาศที่พัดผ่านกลับคล้ายคมกระบี่นับพันที่เฉือนใบหน้าและร่างกาย
ทุกคนแตกตื่นเหลียวซ้ายขวาหาที่มา ต่างทุ่มโถมพลังคุ้มร่างของตนเอง ทว่าแม้จะเคลื่อนพลังเต็มที่ แต่หากยังมีบางคนที่เสื้อผ้าถูกตัดเป็นริ้วยาว ผมเผ้าถูกตัดแหว่งวิ่น ผิวหนังถูกกรีดเป็นรอยแดงจ้ำ
วายุกระบี่? หากวายุกระบี่นี้สามารถกดข่มพลังของเหยียนต้วนชาง เช่นนั้นก็เท่ากับว่านี่คือพลังที่เท่าเทียม ทั้งวายุกระบี่นี้ยังทรงพลังจนแทบทำลายม่านพลังคุ้มร่างของผู้คนได้อย่างง่ายดาย ทวีปเทียนเฉินมีนักเวทย์ลมที่แกร่งกล้าปานนี้ตั้งแต่ตอนไหน!? ยิ่งกว่านั้น “เซี๋ยต้วนชาง” ยังเพิ่งตะโกนออกมาชัดถ้อยว่า “ผู้อาวุโส”
หากนี่ไม่ใช่คลื่นวายุกระบี่ แล้วมันจะเป็นสิ่งใดได้….
ไม่ทราบว่าจงใจหรือไม่ ตรงตำแหน่งที่กลุ่มของเหยียนเทียนเว่ยยืนอยู่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แต่เสียงกรีดร้องของสายลมบ่งบอกว่ามันน่ากลัวเพียงใด เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนชิงหงผู้มักสงบสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหยียนกงรั่วหดร่างไปอยู่ข้างกายมารดา นางกล่าวเสียงแผ่ว “คนผู้นี้เป็นใครกัน…. ดูจากสีหน้าของท่านพ่อแล้ว เขาคงจะแข็งแกร่งกว่าท่านพ่ออยู่พอตัว”
การปะทะไอปราณเพียงพริบตาก็ปรากฎผู้แพ้และชนะ เหยียนต้วนชางถูกกดไอปราณให้ต่ำกว่าเล็กน้อย แม้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ปรากฎตัวออกมา แต่เพียงไอปราณที่พวยแผ่นั้นก็พอที่จะบอกบางสิ่ง สามารถกดข่มกลิ่นอายของฝ่ายตรงข้าม ตามหลักแล้วย่อมถือว่าเหยียนต้วนชางมี “พลังปราณ” อ่อนด้อยกว่าเล็กน้อย
ทว่าสีหน้าของเขามิได้เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ได้ทรนง , แปลกใจ หรือตกใจใดๆทั้งสิ้น
ฉู่จิงเทียนจ้องตากว้าง ประหลาดใจมองไปเบื้องหน้า กลิ่นอายนี้รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่ผูกพันกับเขามาตั้งแต่เด็ก คือผู้ที่ใกล้ชิดเขามากที่สุด เป็นคนที่เขาเคารพสูงสุด เป็นผู้ที่ไม่เคยผิดพลาด เขาเหยียบเท้าก้าวออกไป ส่งเสียงตะโกน “ท่านปู่! ท่านปู่ใช่มั้ย….ที่แท้ท่านก็มา….ข้ารู้ว่าท่านต้องมาแน่!!”
ท่านปู่!?
นี่ไม่ใช่คลื่นวายุกระบี่ แต่เป็นเทพกระบี่ที่ใช้อากาศพัดนำปราณกระบี่ เหมือนมีกระบี่พันเล่มแฝงอยู่ในกระแสลม หากพวกเขามีพลังคุ้มร่างต่ำกว่านี้เล็กน้อย ก็คงถูกบาดเป็นเศษชิ้น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า….”
เสียงหัวเราะอ่อนโยนดังมาจากอากาศ และสายลมที่พัดพาปราณกระบี่ก็สลายลงในพริบตาเดียวกัน มีเพียงเสียงหัวเราะเท่านั้น ในจิตนาการปรากฎเป็นภาพของชายชราดุจเทพเซียน น้ำเสียงบางเบาราวกับดังมาจากทุกทิศ ผู้คนไม่อาจหาตำแหน่งที่มา พอยอดฝีมือระดับสูงเริ่มตระหนักได้ พวกเขาก็หันไปด้านหลังแทบในเวลาเดียวกัน เหนือขึ้นไปตรงนั้น ไม่ทราบชายชราอายุราว 60 ปีปรากฎตัวขึ้นมาตั้งแต่ตอนใด เขาสวมใส่ชุดสีคราม ผ้าคาดเอวและเส้นผมสีดำมิได้พริ้วพัดไปกับสายลม ใบหน้าเขาสงบราบเรียบราวแผ่นน้ำ หากแววตาคมกล้าราวกับกระบี่
“เทพกระบี่!”
“เขาคือฉู่ชางหมิง!”
ฉู่ชางหมิงมิได้ปรากฎตัวต่อสายตาผู้คนเป็นเวลานับสิบๆปี จากที่ปรากฎตัวครั้งก่อนเขายังอยู่ในวัยกลางคน ตอนนี้เขาล่วงเข้าสู่วัยชรา หากยังคงมีคนที่จดจำเขาได้และตะโกนชื่อออกมา นอกจากใบหน้าที่ปรากฎริ้วรอยแห่งกาลเวลาแล้ว ที่เหลือล้วนแต่บ่งบอกว่านี่คือเทพกระบี่ผู้ครองพลังแกร่งกล้า
เทพกระบี่ไม่เพียงเป็นสมญานาม แต่ยังหมายถึงบุคคลที่บรรลุวิถีกระบี่ที่แทบไม่มีผู้ใดก้าวข้ามได้ ผู้คนมากมายใฝ่ฝันจะได้เห็นเทพกระบี่ตัวเป็นๆ หากตลอดเวลาที่ผ่านมาล้วนได้แต่ผิดหวัง 25 ปีก่อน ชื่อของเขาสะเทือนไปทั้งทวีปเทียนเฉิน 25 ปีต่อมา ชื่อของเขายังคงกังวาลอยู่ในทวีป นามของเขามีอิทธิพลอย่างมาก ไม่เพียงเฉพาะต่อคนรุ่นเดียว
เหล่ายอดฝีมือระดับสูงสุดเมื่ออยู่ต่อหน้าเทพกระบี่ ต่างระงับความภาคภูมิและแสดงสีหน้าด้วยความเคารพ เหล่าคนที่ไม่เคยเห็นเทพกระบี่ต่างแหงนเงยมองตำนานลึกลับที่ทรงอิทธิพลมาหลายสิบปี ทีแรกพวกเขาเสียใจที่เทพกระบี่ไม่ปรากฎกาย หากในเวลานี้ พวกเขาได้สมปรารถนาในที่สุด อะไรคือยอดฝีมือ? อะไรคือเทวะ? ฉู่ชางหมิงมิใช่คนที่เอาแต่นั่งอยู่บนตอไม้อีกต่อไป หรือเป็นชายชราที่นิ่งเงียบกลืนหายไปกับธรรมชาติ เพียงลักษณะภายนอกก็บ่งบอกกับทุกคน ว่านี่คือบรรพตเสียดฟ้าที่นำพาความชื่นชมทะยานขึ้นจากหัวใจ
“ว้าว ท่านปู่! ท่านมาจริงๆด้วย!” ฉู่จิงเทียนตะโกนอย่างดีใจ สำหรับคนอื่น นี่คือเทพกระบี่ที่ได้แต่แหงนมอง แต่สำหรับเขา นี่คือครอบครัวคนสุดท้ายที่เหลืออยู่
เผชิญหน้าแต่ละคนที่อุทานเสียงเบา ฉู่ชางหมิงไม่สนใจฉู่จิงเทียนที่ตะโกนตื่นเต้นอย่างไม่อาจรำงับ เขามองจับจ้องไปที่เหยียนต้วนชาง ลอยอยู่เหนืออากาศเอ่ยเสียงหนักแน่น “หลีกเว้นจากโลกหล้าได้หลายปี โลกภายนอกย่อมเกิดอัจริยะรุ่นใหม่ เจ้าในยามนี้ ก้าวข้ามข้าเมื่อ 25 ปีก่อน หลายปีที่ผ่านมา ข้ามัวแต่ปิดหูปิดตาไม่ทราบความเป็นไปในโลก เป็นเรื่องที่ข้ายังเสียใจ เจ้าพอจะบอกชายชราผู้นี้ได้หรือไม่ ว่าสืบทอดทักษะเหนือล้ำมาจากผู้ใด และเจ้ามีที่มาจากไหน กลิ่นอายของเจ้าข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย”
ไม่เพียงเฉพาะเขาเท่านั้น ทุกผู้คนล้วนไม่อาจเข้าใจในทักษะที่เหยียนต้วนชางใช้ออกมา พลังที่กระทั่งเหยียนกงลั่วยังแสดงออกมาได้ ขณะที่เล่งหยาเป็นกลิ่นเฉพาะซึ่งเกิดขึ้นอย่างมีที่มา และทักษะของฉู่จิงเทียนเป็นเคล็ดเทพกระบี่ที่สะเทือนลั่นหัวใจผู้คน
“ข้าหรือ? ตอบตามตรงว่าข้าร่ำเรียนมาจากบิดาของข้าเอง สำหรับที่มานั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งเดียวที่ข้ารู้ก็คือ ข้าคือข้ารับใช้ผู้ภักดีต่อเจ้านาย หากเจ้านายชี้ให้ข้าไปทางไหน ข้าก็จะไปทางนั้น”
ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้ผู้คนสูดหายใจเอาอากาศเย็นเข้าปอด เพราะที่เขากล่าวออกมานั้นชัดเจนว่าเป็นคำ เจ้านาย กับ ข้ารับใช้!!
ยอดฝีมือขอบเขตเทวะที่สามารถท่องไปทั่วทวีปเทียนเฉินโดยไม่มีผู้ใดกล้ายุแหย่ หากคาดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนที่ทำให้เขาเรียกขานว่าเจ้านาย ทั้งยังถือว่าตนเองเป็นข้ารับใช้! ยิ่งกว่านั้น ขณะที่กล่าวคำต่อหน้าคนมากมาย เขามิได้มีสีหน้าลังเลใดๆแม้แต่น้อย ไม่มีวี่แววของความฝืดฝืนใจ ตรงกันข้าม กลับคล้ายแฝงความภูมิใจในน้ำเสียง กระทั่งถึงขั้น….เทิดทูน
25 ปีก่อน ปรากฎสี่เทพผู้ยิ่งใหญ่ ฉู่ชางหมิงผู้ไม่สนใจโลก เสวี่ยหนี่แห่งชางหลาน ที่แม้กระทั่งราชตระกูลชางหลานยังไม่กล้าล่วงเกินแม้แต่น้อย เมื่อคราวที่จักรพรรดินีชางหลานประชวรหนัก จักรพรรดิชางหลานผู้มีความรักลึกซึ้งต่อจักรพรรดินี ได้เดินทางขึ้นเหนือด้วยตัวเอง คุกเข่าอยู่หน้าวังสตรีหิมะเป็นเวลาหนึ่งวันคืนจนกระทั่งสลบไป เสวี่ยหนี่เห็นแก่หัวใจจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ราชตระกูลชางหลานไม่เพียงไม่บ่นพ้อ แต่ยังขอบคุณอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าฟงเฉาหยางจะสมัครใจรับใช้ราชตระกูลต้าฟง แต่ราชตระกูลต้าฟงก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง ไม่เคยล่วงเกินเขาแม้แต่น้อย
การจะเป็นเทวะได้ต้องผ่านความทรมานมานับไม่ถ้วน คือตำนานที่ทอดตามองโลก เพียงพลิกฝ่ามือก็เคลื่อนลมฟ้าได้ทั้งสี่ทิศ ทว่าชายที่มีกลิ่นอายเทวะผู้นี้ กลับเรียกขานตนว่า “ข้ารับใช้ผู้ภักดี!”
คิดไม่ถึงเลยว่า กลับมีคนที่สามารถทำให้เทวะถวายตนภักดีได้เพียงนี้
ฉู่ชางหมิงขนคิ้วขยับ เห็นได้ชัดว่าลอบตระหนก ทุกคนเมื่อได้ยินคำก็นึกถึง “เจ้านาย” ที่เขาออกปาก สามารถเป็นเจ้านายของเทวะ คนผู้นั้นต้องมีพลังอำนาจเพียงใด ในทวีปเทียนเฉินมีคนที่คู่ควรเป็นเจ้านายของเขาด้วยหรือ!?
คนผู้นั้นเป็นใคร!
“ดูเหมือนว่า ข้าคงแก่ชราเกินไปแล้วจริงๆ” ฉู่ชางหมิงทอดถอนใจบาง
“ท่านปู่ยังไม่แก่เสียหน่อย” ฉู่จิงเทียนยังตะโกนตื่นเต้นอยู่ด้านล่าง
ฉู่ชางหมิงเคลื่อนสายตามองเขาในที่สุด ต่างคนต่างมองกัน เขากล่าว “เมื่อครู่ เจ้าเคลื่อนจิตสังหาร”
ฉู่จิงเทียนเมื่อได้ยินคำ หัวใจก็เต้นกระหน่ำขึ้น ตอนที่เล่งหยาปลิวหลุดออกจากขอบผาดาวตก ความโกรธและโศกเศร้าในใจก็พลันระเบิดออก จิตสังหารที่ไม่เคยเกิดขึ้นก็พวยพุ่งออกมา กลายเป็นสัตว์ร้ายที่ล่าเหยื่ออย่างไร้สติหลุดการควบคุม ขณะที่ตั้งแต่เด็กจนโต ปู่ของเขาคอยเตือนอยู่เสมอว่าอย่าใช้ศาตรากลั่นแกล้งผู้คน อย่าได้เข่นฆ่าชีวิต ให้มีจิตใจอ่อนโยนอย่าปล่อยความโหดเหี้ยมเข้าครอบคลุม
ภายใต้พลังของฉู่ชางหมิง การบรรลุของเขาไร้ความโหดเหี้ยมแม้แต่น้อย มีเพียงความเดียวดายและหลงใหลในกระบี่ชางหมิง
เขากำลังจะสารภาพผิดกับปู่ตน ทว่าได้ยินฉู่ชางหมิงเอ่ยขึ้นก่อน “ดีมาก เดิมทีข้ากังวลว่าด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ดีงามของเจ้า เมื่อเผชิญโลกจะไม่รู้จักว่าสิ่งใดคือ ‘ความเกลียด’ และ ‘การฆ่า’ ตอนนี้ในที่สุดข้าก็วางใจ จงจำไว้ว่า ตราบใดที่หัวใจมิได้โหดเหี้ยม มือที่เปื้อนเลือดก็ไม่ถือว่าโหดเหี้ยมเช่นกัน แต่หากว่าเจ้าเพิกเฉยต่อสหาย นั่นจึงจะถือว่าโหดเหี้ยมจริงๆ”
ฉู่จิงเทียนโง่งมไปชั่วขณะ เร่งรีบพยักหน้าหนัก “ข้าทราบแล้วท่านปู่ ข้าจะปกป้องสหายทุกคนอย่างดีที่สุด ไม่ให้ผู้ใดรังแกพวกเขาได้” จากนั้นเขาย่ำเท้าวิ่งกลับไปที่เล่งหยาด้วยสีหน้าจริงจัง
“อาวุโสเทพกระบี่ ก่อนหน้านี้ท่านเก็บตัวอยู่ในที่ลับ ในเมื่อท่านมาในวันนี้แล้ว โปรดให้คำชี้แนะแก่ผู้เยาว์ด้วย” เหยียนต้วนชางกล่าวพลางขยับมือขึ้น