เหยียนซีหมิงเกือบถูกเจาะอกด้วยสี่ศรปราณ ในชั่วเวลาฟ้าแลบ เขาตัดสินใจเบี่ยงร่างไปทางขวาเพื่อเลี่ยงศรปราณสามลูก และใช้สองมือยกขึ้นรับการปะทะของศรปราณหนึ่งลูกด้านขวา….
ปุ๊!!
เสียงราวกับเหล็กหนักฟาดใส่กัน สองหมัดปะทะหนึ่งศร เหยียนซีหมิงเซถอยไปหลายก้าว สองหมัดสั่นเทาแทบไม่อาจขยับ มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้สองมือไร้ความรู้สึกไปแล้ว
พลังปั่นป่วนของศรปราณที่กรีดผ่านอากาศ ทำให้เขาไม่กล้าที่จะประมาท ครั้งนี้เมื่อรับแรงปะทะโดยตรงจึงรู้ซึ้งถึงพลังของมัน ในใจกดดันหนักหน่วง เขาคิดไม่ออกเลยว่าศรปราณที่สร้างขึ้นในพริบตานี้เอาพลังแกร่งกล้ามาจากไหน
โจมตีไกล รวดเร็ว และรุนแรง…. เมื่อใดถูกแยกออกห่าง เหยียนกงลั่วก็อยู่ในตำแหน่งที่แทบไม่อาจเอาชนะ เพียงน้าวธนูสบายใจ แล้วปล่อยออกมาเหมือนเล่นสนุก นี่คือเขตขั้นของพลังเพลิงวิญญาณที่เหยียนซีหมิงไม่มีวันบรรลุถึง
เมื่อเจตนาเร่าร้อนขึ้น นิ้วชี้ของเหยียนกงลั่วขยับอีกครั้ง เล็งตรงกลางร่างของเหยียนซีหมิง ปล่อยศรปราณทรงอาณุภาพอีกครั้ง…. ศรปราณตัดผ่านอากาศถึงเบื้องหน้าเหยียนซีหมิงในพริบตา เหยียนซีหมิงไม่กล้าหัวรั้นเผชิญหน้าอีก เขาดีดร่างและหลบเลี่ยง….
เฟี้ยว…. เฟี้ยว….
เพียงเหยียนซีหมิงทะยานเท้าออก เหยียนกงลั่วก็หนีบนิ้วกลางกับนิ้วชี้และโก่งคันธนู ปล่อยสายธนูส่งศรปราณแหวกอากาศออกไป เล็งตรงจุดที่เหยียนซีหมิงกำลังจะแล่นร่างลง
สองศรต่อเนื่อง!
ต่างจากลูกธนูทั่วไปที่ยิงออกจากธนูธรรมดา ศรปราณสองสายนี้ยิงออกและแยกออกจากกัน เล็งตรงตำแหน่งและเวลาอย่างแม่นยำ ห่างไกลจากธนูและลูกศรธรรมดาจะทำได้ เมื่อเหยียนซีหมิงสัมผัสได้ถึงกระแสอากาศสายที่สอง เท้าของเขาก็แตะลงพื้นพอดี หากจะหลีกเลี่ยงย่อมยากดั่งปีนป่ายขึ้นสวรรค์
การปะทะโดยตรงคือทางเลือกเดียว ไร้เวลาให้ยืนร่างมั่นคง ไร้เวลาให้รวมพลังเพลิงวิญญาณ ทำได้เพียงเกร็งพลังทุกอย่างที่มีในยามนี้เตรียมเข้าปะทะโดยตรง
เฟี้ยว….
เฟี้ยว….
ใช้ธนูเป็นพาหนะ ใช้ปราณเปลี่ยนเป็นศรในฉับพลัน ไม่เพียงแค่สองลูก ต่อให้เป็นสามลูกก็ยังสมบูรณ์แบบ ทั้งยังทรงพลังยิ่งกว่าธนูธรรมดา นอกจากนั้นยังยิงง่ายกว่า
เพียงเหยียนซีหมิงขยับร่างพร้อมเข้าต้าน ศรที่สามและสี่ก็พุ่งเข้ามาตามติด
สี่ศรต่อเนื่อง! กระทั่งเทพก็ยังแทบไม่อาจใช้เทคนิคนี้กับธนูและลูกศรธรรมดา หลบเลี่ยงจากศรพวกนี้ยากยิ่งต่อให้เป็นเทพ! เวลานี้เหยียนซีหมิงอยากดึงพลังทั้งหมดกลับมาแล้วหนีไปให้ไกลสุด ทว่าตอนนี้ไร้เวลาที่จะทำเช่นนั้น
เมื่อศรปราณลูกที่สามถูกยิงออก สามศิษย์อาวุโสแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือต่างล้วนตกใจ แทบหลุดการควบคุมตะโกนออกไป พวกเขาอยากเอาร่างและชีวิตตนเข้าไปขวาง ทว่าความเร็วและพลังพวกเขาย่อมไม่อาจเทียบได้กับศรปราณเหล่านั้น
ปุ๊!!
ศรปราณลูกที่สองเข้าปะทะร่างของเหยียนซีหมิง เกิดเสียงปะทะดังพร้อมความเจ็บปวดที่ลามออก เขาอาศัยกำลังของแรงปะทะ ส่งร่างให้ถอยไปข้างหลัง…. ทว่าไม่ยังไม่ทันได้เคลื่อนไปไกล ศรปราณลูกที่สามและสี่ก็พุ่งเข้ามาปะทะร่างอย่างรุนแรง
ปุ๊! ปุ๊!
สองเสียงหนักสะท้อนก้องออกมา หน้าอกของเหยียนซีหมิงแตกออกเป็นสองหมอกเลือด ร่างกายปลิวไปราวกับถูกฟาดอย่างรุนแรง
“หยุดมือ….!!”
สามอาวุโสกระโดดพุ่งไปที่เหยียนซีหมิงด้วยความเร็วสูงสุด เมื่อไปถึงทั้งสามก็ยื่นฝ่ามือแผ่พลังรักษาชีวิตของเขาเอาไว้
“พวกเราขอยอมแพ้แทนเขา การประลองครั้งนี้ เจ้าเป็นฝ่ายชนะ!” อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเพื่อกันไม่ให้เหยียนกงลั่วโจมตีอีก สำนักจักรพรรดิเหนือสามารถรักษาสีหน้าปล่อยให้อาวุโสใหญ่ตายได้ แต่ไม่อาจปล่อยให้นายน้อยเป็นอะไร….แม้ว่าเขาประสบเหตุร้าย ศรสี่ลูกต่อเนื่องนั้น ลูกแรกเหยียนซีหมิงสามารถหลบได้ ลูกที่สองปัดเป่าพลังป้องกันของเขาออกสิ้น ลูกที่สามและสี่เจาะร่างให้เป็นรู เกือบจะตัดผ่านหัวใจ ไม่ทราบว่าโชคดีหรือเพราะเหยียนกงลั่วปราณี เหยียนซีหมิงแม้บาดเจ็บหนักแต่ไม่ได้ร้ายแรงถึงจุดสำคัญ เวลานี้ด้วยพลังของสามบุคคลที่แผ่ออกมาพร้อมกัน โลหิตจึงหยุดไหลและบาดแผลลดความเลวร้ายลง
พ่ายแพ้ พ่ายแพ้ย่อยยับ จากการประจัญหน้าของพวกเขา สำนักจักรพรรดิเหนือผู้ยิ่งใหญ่ถูกทุบตีอย่างสาหัส ความทรนงก่อนหน้ายามนี้หายไปสิ้น ตั้งแต่เริ่มจนจบเขาไม่อาจจู่โจมเหยียนกงลั่วได้แม้แต่ชายเสื้อ นี่นับเป็นความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
กระบี่อ่อนสีแดงของเหยียนซีหมิงยังไม่ได้กวัดแกว่งสักครั้ง ก็กลายเป็นของเล่นตลกไปแล้ว ขณะที่เหยียนกงลั่วเพียงใช้ธนูไม้ธรรมดาที่ทำขึ้นใช้เพียงชั่วคราว
เขาโยนธนูทิ้งลงพื้นอย่างสบายอารมณ์ ยกมือเกาหน้าแกรกๆกล่าวอย่างพึงพอใจ “สำนักจักรพรรดิเหนือช่างธรรมดาเสียจริง เดิมทีข้าคิดว่าการประลองครั้งนี้อาจพอได้รับอะไรกลับไปบ้าง คิดไม่ถึงกลับต้องผิดหวัง ข้าเพียงขยับนิ้ว จะนับเป็นการอบอุ่นร่างกายยังไม่อาจนับได้ สำนักจักรพรรดิเหนือของพวกเจ้ามีฝีมือเท่านี้หรือ?”
สามอาวุโสสีหน้าทะมึนลง พวกเขาเริ่มคิดว่าชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินครั้งนี้ส่งคนมาน้อยเกินไป ทุกสิ่งเกินเลยความคาดหมายไปไกล ยามนี้พวกเขาไม่อาจควบคุมสถานการณ์ไว้ได้อย่างสิ้นเชิง…. อาวุโสใหญ่ตาย ตอนนี้กระทั่งนายน้อยยังเจ็บสาหัส และชายหนุ่มที่ทำร้ายยังครอบครองพลังที่แกร่งกล้า ในสายตาของทุกผู้คน มันเหยียดหยันสำนักจักรพรรดิเหนือไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
ไม่เคยเกิดขึ้น และไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น! กระทั่งพวกเขายังรู้สึกเหมือนตนเองถูกกระหน่ำทุบตี ไม่มีหน้าควบคุมงานประลองนี้อีกต่อไป
เซี๋ยกงลั่ว พวกเขาจำชื่อนี้ไว้มั่นเหมาะ ไม่ว่านี่จะเป็นชื่อจริงหรือไม่
“เจ้าหนุ่ม ฝีมือของเจ้าที่แสดงออกมาในวันนี้ ทำให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตายิ่งนัก เจ้าเอาชนะได้ด้วยพลังของตนเอง ทว่าพลังจะต้องคู่กับความนอบน้อม เจ้ายั่วยุผู้ที่ไม่ควรยั่วยุ แม้เจ้าจะแข็งแกร่งกว่านี้อีกสิบเท่า เจ้าก็จะต้องเสียใจกับเรื่องในวันนี้” อาวุโสคนหนึ่งยืนขึ้น แววตาดูทิ่มแทง น้ำเสียงลึกต่ำ อาวุโสอีกสองคนพยุงร่างเหยียนซีหมิง เหลือบมองเหยียนกงลั่วปราดหนึ่ง จากนั้นประคองร่างที่หมดสติของเหยียนซีหมิงไปนั่งพิงอยู่ที่ขอบหิน
“ผู้ที่ไม่ควรยั่วยุ?…. พวกท่านคือผู้อาวุโสของสำนักจักรพรรดิเหนือ เช่นนั้น พวกท่านกล้าเล่นสนุกกับผู้เยาว์คนนี้หรือไม่?” เหยียนกงลั่วมองพวกเขา สีหน้าเย้ยหยันไม่มีทีท่าว่าจะลดลง
ชายชราหน้าสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย…. พลังของเขาด้อยกว่าเหยียนซีหมิง กระทั่งเหยียนซีหมิงยังตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง แค่ชายเสื้อยังไม่อาจทำอันตราย พ่ายแพ้ย่อยยับหมดสภาพ หากเขาออกไปสู้อีกคน ผลลัพธ์ก็มีเพียงพ่ายแพ้ขายหน้าไม่ต่างกัน แม้เขาจะได้เห็นกระบวนท่ายิงสี่ศรต่อเนื่อง แต่หากต้องเผชิญหน้าเหยียนกงลั่ว เขาก็รู้ดีว่าสภาพตนคงไม่ดีไปกว่าเหยียนซีหมิงเท่าใดนัก
แต่หากไม่รับคำท้า ก็เท่ากับว่า “อาวุโส” แห่งสำนักจักรพรรดิเหนือหวาดกลัวต่อรุ่นเยาว์ ยิ่งทำให้สำนักจักรพรรดิเหนือเสียหน้าหนักขึ้นไปอีก
ยิ่งกว่านั้น เขายังอายุราว 70 ปี ผ่านวัยแห่งความหุนหันมาแล้ว ชายหนุ่มผู้มีพลังเหนือล้ำผู้นี้ย่อมมีที่มาไม่ธรรมดา….ยิ่งกว่านั้น คนผู้นี้ยังสงบผิดปกติ เห็นได้ชัดว่ามันตั้งใจกระตุ้นโทสะของสำนักจักรพรรดิเหนือ ทั้งยังต้องการทำพวกตนให้เป็นที่เย้ยหยัน ที่มาและจุดประสงค์ของพวกมัน ทำให้เขาไม่อาจอดห้ามความกังวลได้
เขาถอนหายใจอีกครั้ง การส่งศิษย์อาวุโสมาที่นี่แค่สี่คน นับว่าน้อยเกินไปจริงๆ
ท่าทางของเขาทำให้เหยียนกงลั่วยิ่งแสดงสีหน้าเหยียดหยัน เขากล่าวพลางหัวเราะ “ดูเหมือนว่าพวกท่านไม่กล้าต่อสู้กับผู้เยาว์….เช่นนั้น พวกท่านทั้งสามจงเข้ามาพร้อมกัน”
สามอาวุโสคุมกฎตั้งแต่เด็กจนแก่ ไม่เคยถูกเหยียดหยันจากคนนอก และการฝึกฝนที่ผ่านมายังแทบไม่อาจกดระงับอารมณ์ สามอาวุโสลงมือพร้อมกันต่อรุ่นเยาว์คนหนึ่ง พวกเขาไม่อาจยอมรับได้ สองอาวุโสกล่าวเย็นชา “เจ้าหนุ่มไม่รู้ความ พวกเรากับเจ้าไม่มีความบาดหมางอันใด ทั้งไม่เคยอยากเป็นศัตรูกับใคร แต่เจ้ากลับทำเช่นนี้ ไม่รู้หรือไงว่าเป็นศัตรูกับพวกเราแล้วจะมีผลลัพธ์เป็นเช่นใด”
“ผลลัพธ์? โอ้? ข้ารู้เพียงว่างานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินนี้ที่จัดขึ้นทุก 25 ปี สามารถประลองกันได้อย่างอิสระ ท้าสู้กันได้อย่างเสรี ไม่มีการแบ่งแยกดีชั่ว ไม่สนใจเรื่องชีวิตและความตาย คนของท่านสำนักจักรพรรดิเหนือพ่ายแพ้ต่อข้า ตายด้วยน้ำมือของพี่ชายข้า พ่ายแพ้กันหนึ่งต่อหนึ่ง ตกตายหนึ่งต่อหนึ่ง ตรงไปตรงมาไร้แผนการณ์ใดๆ จากกฎที่ว่าไว้สองฝ่ายจะไม่ติดใจเอาความใดๆ ทว่าสำนักจักรพรรดิเหนือของพวกท่านที่เป็นฝ่ายควบคุมและเป็นพยานกลับฝ่าฝืนกฎใหญ่และผูก “อาฆาต” ผลลัพธ์ที่พวกท่านกล่าวถึง….หมายถึงจะปองร้ายข้าหรืออย่างไร?” เหยียนกงลั่วเหลือบมอง และกล่าวอย่างสงบ
สองอาวุโสไม่ได้โกรธแต่กลับยิ้ม สีหน้าทะมึนอย่างเห็นได้ชัดขณะกล่าว “ประเสริฐ ประเสิรฐนัก….ดูเหมือนว่าพวกเราจะนิ่งเงียบกันมานานเกินไป ถึงได้มีคนโง่เง่าลืมความภาคภูมิของพวกเรา…. ประเสริฐนัก! เซี๋ยกงลั่ว ทำให้สำนักจักรพรรดิเหนือของข้าจดจำชื่อของเจ้าได้ เจ้าควรถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว!!”
ผลลัพธ์จากการล่วงล้ำสำนักจักรพรรดิเหนือจะเป็นอะไรได้?
ทว่าคำพูดของสองอาวุโส หมายถึงเซี๋ยกงลั่วเป็นบุคคลที่ล่วงล้ำสำนักจักรพรรดิเหนือ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ยากนักที่จะหลีกเลี่ยงหายปีที่ผ่านมา สำนักจักรพรรดิเหนือเก็บตัวเงียบงัน อย่างน้อยเท่าที่เห็นก็เป็นแบบนั้น ทว่าการดำรงอยู่ย่อมสืบเนื่องมาไม่ขาดช่วง แม้พวกเขาสงบอยู่ แต่ก็ไม่ใช่จะยอมให้ใครมาหมิ่นหยามศักดิ์ศรี
ชายหนุ่มที่เรียกว่าเซี๋ยกงลั่วได้บรรลุพลังล้ำลึก สามารถปล่อยศรปราณอันน่าตะลึง ทว่าเขาคู่ควรที่กล่าวประโยคสุดท้ายนี้กับสำนักจักรพรรดิเหนือจริงๆหรือ?”
ไม่ ทุกคนต่างคิดเช่นนั้น ต่อให้มีเขาสิบคน หรือกระทั่งร้อยคน ก็ยังไม่อาจเป็นไปได้ที่จะเปรียบพลังกับสำนักจักรพรรดิเหนือ ทว่าเหตุใดเขาถึงต้องกล่าวคำเย้ยหยันเช่นนั้น? หรือจะเป็นไปได้ว่าเขาเป็นพวกโง่เง่าจริงๆ? ไม่น่าใช่ คนกลุ่มนี้จะต้องซ่อนความลับที่พวกเขายังไม่รู้เป็นแน่