ยอดฝีมือทั้งหลายมองดูสถานการณ์บีบคั้น ไม่มีผู้ใดกล้าพูดมาก ไม่มีผู้ใดอยากสอดมือเข้าไปยุ่ง คนกลุ่มนี้สมควรมีพลังแกร่งกล้า ทว่าจะแกร่งกล้าเพียงใดก็สมควรหวาดกลัวสำนักจักรพรรดิเหนือ มิเช่นนั้น ตอนที่เล่งหยาถูกอาวุโสใหญ่ทำร้ายสาหัสซัดตกผาดาวตก คนกลุ่มนี้คงแสดงโทสะออกมาแล้ว มีเพียงเซี๋ยกงลั่วที่ท้าทายคนของสำนักจักรพรรดิเหนือ งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินในครั้งนี้ เมื่อเริ่มขึ้นก็ต้องกลับกลายเพราะเหล่ารุ่นเยาว์ และตอนนี้บรรยากาศก็เริ่มแปลกแปร่ง
“ซานหวา กลับมานี่” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นมา น้ำเสียงสงบหากยังคงลึกล้ำ แฝงความผิดหวังที่ผู้คนไม่อาจเข้าใจ
เหยียนกงลั่วพยักหน้า ไม่สนใจเหยียนซีหมิงกับอาวุโสทั้งสามคนอีก เขาหันร่างและกลับมาอยู่ข้างกายเหยียนต้วนชาง เหยียนต้วนชางถอนหายใจและกล่าวช้าๆ “ข้าคงคาดหวังสูงเกินไป ดังนั้นจึงกลายเป็นผิดหวัง สำนักจักรพรรดิเหนือ….กลับกลายเป็นสำนักที่ยอมทนกับการดูถูก แม้ผู้ที่ท้าประลองเป็นคนที่เจ้าไม่ต้องการสู้ แต่เจ้าก็ควรต่อสู้ถวายชีวิต ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหายมากที่สุด…. แต่พวกเจ้า กลับอดกลั้นล่าถอยอย่างน่าละอาย…. อาศัยขุมกำลังเบื้องหลังกล่าวคำข่มขู่ คิดให้สำนักจักรพรรดิเหนือทั้งหมดเป็นฝ่ายลงมือ ที่ยิ่งอนาถใจยิ่งกว่านั้น คือพวกเจ้าเพียงเพื่อรักษาหน้า กลับมองดูสหายตนตกตายด้วยมือของผู้อื่น”
เขากล่าวคำพร้อมกับก้าวเท้าออกมา เดินตรงไปที่สามอาวุโสแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือที่ใบหน้ากำลังแข็งค้าง แม้ว่าพวกเขาละทิ้งภารกิจและเหตุผลในการดำรงของสำนักจักรพรรดิเหนือ ทั้งยังควรเป็นศัตรูต่อกัน แต่ผู้ที่บีบคั้นพวกตนให้ร่วงลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณคือรุ่นก่อนหน้าไม่ใช่พวกเขา เพียงเฉพาะสายเลือดจักรพรรดิเหนือที่ไหลอยู่ในร่างของพวกเขาบางส่วนนั้น ก็ให้เหยียนต้วนชางไม่อาจเกลียดชังอย่างแท้จริงได้ ทว่าการแสดงออกของสำนักจักรพรรดิเหนือพวกนี้ ทำให้เขาต้องผิดหวังอย่างแท้จริง
ความภาคภูมิของสายเลือดที่สูงส่งสุด ไม่อาจล่วงล้ำได้มากที่สุด โลกนี้มีเพียงจอมราชันที่พวกเขาจะก้มหัวให้ ผู้อื่นผู้ใด พวกเขาจะไม่มีวันถอยหนี พวกเขาจะไม่อดทนต่อศัตรู ไม่เคยรู้จักคำว่าปราณี , ลังเล หรือกระดากใจ ใครกล้ามาประจัญหน้า พวกเขาจะให้พวกมันชดใช้ด้วยราคาที่สูงลิ่ว เหยียบย่ำมันให้หมดสภาพ นี่คือสายโลหิตแห่งจักรพรรดิเหนือ เป็นความภาคภูมิของสำนักจักรพรรดิเหนือ
ทว่า “สำนักจักรพรรดิเหนือ” ที่อยู่เบื้องหน้าตอนนี้ กลับทำให้เขาผิดหวังอย่างยิ่ง ไม่ทราบเพราะใช้ชีวิตสงบสุขมานานเกินไป หรือเพราะดูหมิ่นต่อโลกหล้า อาศัยความทะยานล้ำกลายเป็นหยิ่งผยอง ไม่รู้จักยืนหยัดหาญกล้าและซื่อตรง ไม่รู้จักความภาคภูมิที่ไม่อาจทอดทิ้ง กลับกระทั่งอดกลั้นมองดูสหายตกตายในมือคนอื่น จอมราชันกล่าวไว้ถูกต้องจริงๆ พวกเขาสูญสิ้นสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว การทำลายความทะยานล้ำของพวกเขา ไม่เพียงช่วยโลกให้กลับคืนสู่สมดุล แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่ง นั่นคือลบความอับอายของสายเลือดจักรพรรดิเหนือ
ไม่เพียงเฉพาะเหยียนต้วนชางเท่านั้น เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนชิงหงต่างลอบส่ายศีรษะ ทอดถอนใจตามๆกัน แม้ว่านี่เป็นเพียงอาวุโสคุมกฎไม่กี่คน หากก็เพียงพอบ่งบอกถึงทุกสิ่ง จากการทดสอบของเหยียนกงลั่วทำให้เห็นทุกสิ่งจนหมดสิ้น พวกเขาควรมีมีความกล้าหาญและซื่อตรงฝังอยู่ในสายเลือด ทว่ามันได้เปลี่ยนไปช้าๆด้วยความสุขสบายและทะยานอยาก สำนักจักรพรรดิเหนือไม่ควรมีสภาพเช่นนี้
ต่อหน้าครอบครัวและมิตรสหาย เหยียนต้วนชางเรียบง่ายและซื่อสัตย์ เหมือนลุงวัยกลางคนที่ดูโง่งมทั่วไป เป็นตัวขบขันของคนอื่นๆ ทว่าเวลานี้ ยามเผชิญหน้ากับผู้อื่นที่มิใช่คนในครอบครัวและมิตรสหาย เขาเปลี่ยนเป็นอีกคนอย่างสิ้นเชิง สีหน้ามั่นคงดุจภูผา สายตาเฉียบคม ฝีเท้าหนักแน่น สามอาวุโสคุมกฎแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือเมื่อเทียบกับเขาแล้ว เป็นดั่งรุ่นเยาว์ที่ฟังคำสั่งสอนของอาวุโสจนไม่กล้ากล่าวคำ
ฉากตรงหน้ายิ่งเงียบสนิทขึ้น สายตาทุกคู่จดจ้องอยู่ที่ชายวัยกลางคน ผู้ที่ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น เครื่องแต่งกายดูเรียบง่าย หากสายตาที่มองมาแล้วไม่อาจมองไปที่ใด ฉู่จิงเทียน , เล่งหยา , และเหยียนกงลั่วเมื่อครู่นับว่าตื่นตะลึงแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ทราบว่าผู้คนจะต้องแตกตื่นกว่าไม่รู้กี่เท่า
สามอาวุโสคุมกฎได้แต่มองอย่างโง่งม คำกล่าวของเขาล้วนไม่อาจโต้แย้งได้เลยแม้แต่น้อย
สายลมชื้นเย็นกรรโชกเข้ามา ราวกับว่าพายุฝนกำลังจะมาถึง ลมพัดมาจากทุกทิศทางทั้งตะวันออก ตะวันตก ทางใต้…. ลมร้อนสลับเย็นแหวกเมฆออกจากกัน สายลมโบกพัดชายเสื้อของเหล่ายอดฝีมือให้สะพัดพริ้ว
กระแสลมจากทุกทิศทาง กำลังรวมลงที่ร่างของเหยียนต้วนชาง กลายเป็นวายุบ้าคลั่ง เสียงดังกราดเกรี้ยว
ร่างกายเขามิได้ขยับ อาศัยเพียงไอปราณบิดเบือนอากาศโดยรอบ เพียงกลิ่นอายก็ทำให้เหล่ายอดฝีมือต่างรู้สึกว่าตนต้อยต่ำ…. ขณะที่เหยียนต้วนชางยืนอยู่ตรงใจกลางสนาม ในสายตาของเหล่ายอดยุทธต่างเห็นเป็นดุจขุนเขาที่ไม่อาจเห็นยอดปลาย สูงเสียดทะลุเมฆจนไม่อาจเห็นด้วยตา เหนือเมฆเหล่านั้น คือเขตแดนที่พวกเขาไม่มีวันไปถึง ทำได้เพียงนอบน้อมด้วยความเคารพ
เพราะนั่นคือกลิ่นอายของเทวะ!
บรรยากาศนิ่งเงียบถึงขีดสุด ฉู่จิงเทียนเริ่มตระหนก เล่งหยาที่หน้าเปลี่ยนสีได้ยากยังตกใจ เว้นไว้แต่กลุ่มคนที่รู้จักพลังของเหยียนต้วนชางเท่านั้น ที่เหลือต่างล้วนตกตะลึง
“ขอข้าได้โปรดถาม….ถึงนามอันยิ่งใหญ่ของท่าน” บรรยากาศเหนือผาดาวตกเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงเพราะการปรากฎขึ้นของหนึ่งบุคคล ในที่สุดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น หวู่ซานซื่อบุตรแห่งเทพมายา ต่อหน้าบุคคลที่แผ่กลิ่นอายแห่งเทวะ ทำให้เขาแสดงความนอบน้อมต่ำต้อยออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขาและทุกคนต่างรู้ว่านี่คือยอดฝีมือขอบเขตเทวะ และนามของเขาจะสะเทือนไปทั่วทั้งทวีปเทียนเฉิน ยิ่งใหญ่เท่าเทียมกับเทพกระบี่ , เทพสงคราม , เทพหิมะ และเทพมายา
“เซี๋ยต้วนชาง” เหยียนต้วนชางส่งเสียงเบา สายตายังคงจดจ้องอยู่ที่สามอาวุโสคุมกฎแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือที่กำลังตะลึงงัน
เซี๋ยต้วนชาง!?
มาร…อีกแล้ว
สายตาผู้คนเคลื่อนไปที่เหยียนกงลั่วและกลุ่มคนที่มาด้วยกันอย่างไม่รู้ตัว…. คนกลุ่มนี้ทั้งหมดเก้าคน มีชายหนุ่มอายุราว 20 ปีสามคนได้แก่ฉู่จิงเทียน , เล่งหยา , และเซี๋ยกงลั่ว สามคนนี้ทำให้พวกเขาตกใจถึงขีดสุด นี่ยังไม่รู้เลยว่าสตรีเยาว์วัยผู้นั้นมีพลังลึกล้ำเพียงใด และในอีกห้าคนที่เหลือ มีวัยกลางคนสองคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “เซี๋ยต้วนชาง” อีกหนึ่งคือสตรีที่ดูหยาบกร้านไม่ต่างจากเขา มีชายชราที่หนักแน่นราวกับหินผาหนึ่งคน และผู้ชราอีกสองคน
บุรุษหนุ่มทั้งสามล้วนมีพลังขอบเขตสวรรค์ ยิ่งกว่านั้นทุกคนต่างเรียกได้ว่าน่ากลัวเป็นพิเศษ ทั้งเล่งหยาที่สามารถเปิดเนตรปีศาจสังหารโลหิต , ฉู่จิงเทียนที่สามารถคุมกระบี่ได้เยี่ยมยุทธ , เหยียนกงลั่วที่ยิงศรปราณได้อย่างช่ำชอง….หลังจากชายหนุ่มทั้งสามคน ในที่สุดก็ถึงคราวของชายวัยกลางคน เขาแผ่พลังดุจขุนเขากดทับหัวใจผู้คน…. คิดไม่ถึงเลยว่านี่จะเป็นพลังขอบเขตเทวะ!!
ถ้าเช่นนั้น สตรีเยาว์วัย , สตรีกลางคน , และคนชราทั้งสามที่สงบนิ่งดุจขุนเขาพวกนั้น….แท้จริงพวกเขามีพลังอยู่ในขั้นไหน?
ผู้คนถึงขั้นไม่กล้าคิด สามารถมายังที่แห่งนี้ล้วนบ่งบอกถึงความไม่ธรรมดา สามสัตว์ประหลาดรุ่นเยาว์และคนที่แผ่กลิ่นอายเทวะ ล้วนเป็นอันยืนยัน ทว่าคำถามก็คือ คนเหล่านี้เป็นใครมาจากไหน? มีพลังน่าหวั่นกลัวถึงเพียงนี้ เหตุใดก่อนหน้าถึงไม่เคยปรากฎตัว ราวกับว่า….พวกเขาออกมาจากอากาศว่าง
“เซี๋ยต้วนชาง….ท่านพ่อกล่าวไว้ได้ถูกต้อง ในงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินทุกครั้ง จะต้องปรากฎยอดคนเหนือล้ำ ครั้งนี้นับว่าข้ามาไม่เสียเปล่า นามของพี่เซี๋ย ผู้แซ่หวู่จะจดจำไว้” หวู่ซานซื่อพยักหน้ากล่าว ถอนถอนใจอยู่ในอกไม่หยุดหย่อน ผู้ที่ออกมาเบื้องหน้ามีอายุไม่ต่างจากเขาเท่าใด หากคนผู้นี้กลับมีขอบขั้นพลังเทวะเช่นเดียวกับบิดาของเขา เป็นผู้ที่บนจุดสูงสุดในโลกการฝึกฝน
“นี่มัน…. ท่านลุงเกิ้นกลับบรรลุวิถีแห่งเทวะ เช่นเดียวกับท่านปู่ของข้า!” ฉู่จิงเทียนยังคงไม่อาจทำใจเชื่อสัมผัสของตน เขาตกใจอย่างที่สุด เท่าที่เขารู้มา การบรรลุวิถีเทวะยากยิ่งกว่าปีนป่ายขึ้นสวรรค์ หากเมื่อใดบรรลุได้ ย่อมสามารถเหยียบยืนบนผืนฟ้า และทอดตาลงมองเหนือผู้คน
เขาไม่เคยคิดเลยว่า ลุงวัยกลางคนผู้นี้ ที่นำพาความรู้สึกอบอุ่นใจ จะสามารถแผ่กลิ่นอายของเทวะได้
ถ้าอย่างนั้น บิดาของลุงวัยกลางคนผู้นี้ ปู่ที่มีสีหน้าสงบอยู่ตลอดเวลา รวมถึงท่านปู่ต้าสงและท่านย่าซ่งหัว หรือว่าพวกเขา…. พวกเขาจะ….
สีหน้าของสามอาวุโสคุมกฎแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือมืดคล้ำ จำนาม “เซี๋ยต้วนชาง” ฝังใจแน่น ทว่าแม้พวกเขาไม่ได้จดจำไว้ นามนี้อย่างไรก็ต้องแพร่สะพัดไปทั่วโลก ต่อให้ไม่อยากรับรู้ก็หลีกเลี่ยงยาก ยอดฝีมือขอบเขตเทวะปรากฎตัวโดยที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว ยิ่งกว่านั้น คนผู้นี้ยังไม่มีทีท่ายำเกรงต่อสำนักจักรพรรดิเหนือแม้แต่น้อย ไว้หน้ากันบ้างสักนิดก็ยังดี ทว่าเขากับเซี๋ยกงลั่วกลับรวมหัวกันแสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ เมื่ออยู่ต่อหน้า สามอาวุโสคุมกฎก็ทำได้เพียงแตกตื่น และอดกลั้นต่อคำดูถูกเหยียดหยาม
สีหน้าของอาวุโสสองกลับคืนมาบ้าง ข่มกลั้นระงับตัวเองและยิ้มกล่าว “สำนักจักรพรรดิเหนือของข้าจะจัดการอย่างไร ไม่ใช่ธุระของคนภายนอกที่จะมาสั่งสอน”
เผชิญหน้ายอดฝีมือขอบเขตเทวะ ในใจย่อมไม่อาจอดกลั้นความกลัว ความรู้สึกต่ำต้อยย่อมผุดขึ้น ไม่อาจฝืนพัวพันได้มากกว่านี้ เขากล่าวต่อทันที “วันนี้คืองานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน โปรดอย่าลืมว่านี่คือสถานที่ใด เวลานี้ยอดฝีมือของโลกได้มารวมกัน สามารถท้าประลองกันได้เต็มที่ หากหลังจากนี้ ย่อมมีการคิดบัญชี”
ภายนอกแม้ดูเกรี้ยวกราด หากภายในหวาดกลัวจับจิต เขาไม่กล่าวคำต่อและหันไปตรวจอาการบาดเจ็บของเหยียนซีหมิง แม้จะหันหลังให้กับเหยียนต้วนชาง แต่กลิ่นอายและสายตานั้นก็ทำให้เขาเคลื่อนไหวอย่างผิดธรรมชาติ
เหยียนต้วนชางกวาดสายตามองไปยังบริเวณโดยรอบ ผู้คนที่สบตาต่างรู้สึกถึงความกดดันที่ท่วมทับจิต ต่างกลั้นลมหายใจและหลบตาลง หัวใจล้วนตื่นตระหนก นี่คือพลังขอบเขตเทวะ….ขอบเขตเทวะและขอบเขตสวรรค์ห่างกันราวฟ้ากับแผ่นดิน ทว่าระหว่างพวกเขา ช่วงว่างขนาดใหญ่ที่กั้นขวางนั้นมิใช่อายุ แต่เป็นกำแพงที่ไม่อาจทะลายลงได้ สุดยอดพรสวรรค์บางคนอาจบรรลุขอบเขตสวรรค์ได้ในวัย 30 ปี แต่การจะเลื่อนจากขอบเขตสวรรค์ไปยังขอบเขตเทวะกลับต้องใช้นับร้อยปี เพราะการเลื่อนจากระดับ 1 จนถึงขอบเขตสวรรค์ ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ แต่การเลื่อนจากขอบเขตสวรรค์ไปยังขอบเขตเทวะนั้น เป็นการเปลี่ยนจากมนุษย์ไปเป็นเทพ และทุกคนที่บรรลุถึงขั้นนี้ได้ ย่อมกลายเป็นผู้มีชื่อก้องฟ้า และทำให้โลกหล้าสั่นสะเทือน
“ข้า เซี๋ยต้วนชาง มาที่นี่เพื่อขอคำชี้แนะจากผู้กล้าแห่งโลกหล้า” เหยียนต้วนชางคำรามเบา กระจายเสียงสะเทือนทั้งสี่ทิศ
เสียงตอบกลับมีเพียงความเงียบงัน เทพสงครามตายไปแล้ว ส่วนเทพกระบี่ , เทพมายา , และสตรีหิมะ ไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่ ผู้ใดเล่าจะบ้าต่อสู้กับยอดฝีมือขอบเขตเทวะ? ต่อให้มียอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ชั้นปลาย เมื่ออยู่ต่อหน้าขอบเขตเทวะก็ล้วนไม่ต่างจากเด็กหัดคลาน นี่มันกลั่นแกล้งรังแกกันชัดๆ