หนิงเสวี่ยดันรถเข็นของเย่หวูเฉินไปยังทางเหนือ เหยียนกงลั่วเยื้องอยู่ครึ่งตัวขณะที่นำทางให้พวกเขา เขาอยากดันรถเข็นให้เย่หวูเฉินแทนหนิงเสวี่ย แต่ก็ต้องถูกสาวน้อยปฏิเสธแข็งขืน ดังนั้นเขาจึงต้องยอมแพ้
“จอมราชัน ที่แห่งนั้นอันตรายมาก เพียงเข้าใกล้ก็ได้รับบาดเจ็บ พวกเราเพียงมองดูอยู่ห่างๆก็พอ จอมราชันอย่าได้เข้าไปใกล้เลย” เหยียนกงลั่วกล่าวอย่างระมัดระวัง
เย่หวูเฉินหลับตาไม่เอ่ยตอบ ไม่ทราบว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
เดินมาเป็นระยะทางไกล ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงพื้นที่ต้องห้าม เบื้องหน้าสายตาเป็นเพียงพื้นโล่ง ไร้ต้นหญ้าแม้เพียงใบเดียว พื้นผิวราบเรียบอย่างยิ่ง
ราวกับกระจก ที่นี่ไม่มีสิ่งใด ไร้เสียง ไร้ผู้คน ไม่ว่าผู้ใดมาที่นี่ครั้งแรก พวกเขาย่อมรู้สึกแปลกใจและไม่ตระหนักรับรู้ถึงอันตราย
“จอมราชัน พวกเรามาถึงแล้ว ในอดีตเคยมีคนก้าวเข้าไปโดยไม่ระวัง ร่างของเขาสลายหายไปกระทั่งกระดูกยังไม่หลงเหลือ นับจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปอีกเลย” เหยียนกงลั่วหยุดอยู่ หยิบก้อนหินขึ้นจากพื้นขนาดเท่ากำปั้น จากนั้นขว้างมันเข้าไป
ภาพที่เห็นน่าหวาดหวั่น ก้อนหินที่ปลิวเข้าสู่รัศมีอาณาต้องห้าม ฉับพลันมันกลายเป็นผงในพริบตา วินาทีต่อมาผงนั้นป่นละเอียดยิ่งกว่าเดิม จนสุดท้ายมันสลายหายไปไม่อาจมองเห็นอีก หายไปอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นอนุภาคที่เล็กที่สุดในสวรรค์และปฐพี
หนิงเสวี่ยตกใจนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนกระซิบกล่าว “น่ากลัวมาก น่ากลัวจริงๆ ท่านพี่ พวกเราออกไปจากที่นี่กันดีไหม?”
ทุกการดำรงของสรรพสิ่งล้วนมีเหตุผลของมันอยู่ เย่หวูเฉินมองยังพื้นที่โล่งเป็นเวลานานแล้วถาม “ในอาณาบริเวณนั้นมีสิ่งใด? เป็นพลังแบบใดที่น่ากลัวถึงเพียงนั้น?”
เหยียนกงลั่วสั่นศีรษะและกล่าวตอบ “พวกท่านปู่ ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยอยากรู้คำตอบยิ่งกว่าผู้ใด แต่แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้รับคำตอบ เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจึงค่อยๆยอมแพ้ และออกคำสั่งเคร่งครัดว่าห้ามผู้ใดเข้าใกล้บริเวณนี้ เป็นเวลาหลายปีที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามา และมันได้กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามแห่งเดียว พวกเราทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าสถานที่น่ากลัวแห่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”
เย่หวูเฉินครุ่นคิดเป็นเวลานานและกล่าวขึ้นฉับพลัน “เสวี่ยเอ๋อร์ ดันข้าเข้าไปที”
หนิงเสวี่ยตกใจ เหยียนกงลั่วผวา รีบเอาตัวเข้ามาบังและกล่าวอย่างกังวล “จอมราชัน อย่าเข้าไป! ข้างหน้านั้นน่ากลัวกว่าที่ท่านเห็น ไม่ต้องกล่าวถึงท่านกับข้า กระทั่งท่านปู่ยังไม่กล้าเข้าไป นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
“ท่านพี่ ตรงนั้นน่ากลัวมาก อย่าเข้าไปเลยนะ”
แหวนเทพกระบี่ที่มือซ้ายเปล่งแสง มีมีดคมปรากฎขึ้นอยู่ในมือ เขาตัดผมตนเองออกมาปอยหนึ่ง จากนั้นวางลงในมือของเหยียนกงลั่ว “โยนมันเข้าไปข้างใน”
เหยียนกงลั่วนึกสงสัยอยู่ในใจ เขาหันกายไปแล้วสะบัดมือขวาธรรมดา เส้นผมพุ่งตรงไปเบื้องหน้าราวกับมีพลังประหลาด การทำเช่นนี้ได้นับว่ายากยิ่งกว่าขว้างหินก้อนใหญ่พันก้อนอยู่หลายเท่า
เส้นผมพุ่งตรงเป็นกลุ่มเข้าไปยังอาณาบริเวณน่าหวาดหวั่น ทว่ามันไม่ได้แยกสลายเหมือนกับที่เหยียนกงลั่วคิด กลับกันมันตกลงพื้นหลังจากสิ้นพลัง พื้นดินที่เคยราบเรียบไร้เศษสิ่งใด ยามนี้กลับมีเส้นผมดำกระจายอยู่
“นี่มัน….” เหยียนกงลั่วตกตะลึงแทบไม่เชื่อสายตา เขาขยับตัวเตะก้อนหินเข้าไป ก้อนหินสลายกลายเป็นฝุ่นผงไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ
เหยียนกงลั่วแปลกใจสุดขีด เขาถามด้วยใบหน้าสงสัย “จอมราชัน เป็นไปได้อย่างไร ทำไมเส้นผมของท่านถึง….”
เย่หวูเฉินเผยรอยยิ้มบางบนใบหน้า สิ่งที่คิดไว้ในใจตอนนี้ได้รับคำตอบยืนยัน เขากล่าว “มันคือวายุ”
“วายุ?”
“ถูกต้อง มันคือวายุ และเป็นวายุที่น่ากลัวที่สุด สายลมเอื่อยนั้นนุ่มนวล หากไหลรุนแรงย่อมเป็นวายุดุจกระบี่ เมื่อธาตุลมหนาแน่นถึงขีดสุด มันจะกลายเป็นวายุน่าหวาดหวั่นเหมือนที่นี่ หากแตะสัมผัสเข้ากับมัน กระทั่งกระดูกย่อมไม่หลงเหลือ ถูกป่นปี้เช่นเดียวหินแข็ง” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง
เขาสูญสิ้นพลังทั้งหมด แต่ร่างกายยังคงไม่เปลี่ยน ในโลกนี้ ไม่ว่าธาตุลมจะเข้มข้นเพียงใดย่อมไม่อาจทำร้ายเขาได้
“เช่นนั้นเหตุใดเส้นผมของท่านถึงไม่….”
“เพราะว่าข้าไม่เกรงกลัววายุ” เย่หวูเฉินลุกขึ้นจากรถเข็น เหยียนกงลั่วรีบเข้ามาประคอง ครุ่นคิดถึงถ้อยคำที่เขาพึ่งกล่าว…ไม่เกรงกลัววายุ? มันความว่าอย่างไร? หรือเขาจะไม่เกรงกลัวต่อธาตุลมใดๆ? มันเป็นไปได้ด้วยหรือ?
เย่หวูเฉินโบกมือหยุดเหยียนกงลั่วและกล่าว “วางใจเถอะ อาณาบริเวณแห่งนี้ไม่อาจทำร้ายข้าได้”
“แต่ว่าท่านพี่….” หนิงเสวี่ยเห็นเขาจะก้าวเข้าไปจึงวิ่งกระวนกระวายและดึงเสื้อเขาจากด้านหลังและส่ายศีรษะ
เย่หวูเฉินก้มศีรษะลงและกล่าวอ่อนโยน “ชีวิตข้าครึ่งหนึ่งเป็นของเสวี่ยเอ๋อร์ ข้าจะพาตัวเองไปบาดเจ็บได้อย่างไร จงเชื่อใจข้า ข้าไม่กลัวน้ำ ไม่กลัวไฟ ไม่กลัววายุ ไม่มีสิ่งใดที่ข้ากลัว”
หนิงเสวี่ยค่อยๆปล่อยมือออก นางผงกศีรษะเล็กน้อย สองมือบีบกันแน่นมองเขาด้วยความกังวล
ไม่กลัวน้ำ ไม่กลัวไฟ….ไม่กลัวสิ่งใด เหยียนกงลั่วรู้สึกจะเป็นลม หากเป็นตามนี้จริงๆ ไม่ใช่ว่าเขา….เป็นสัตว์ประหลาดหรอกหรือ!
“จอมราชัน แม้ว่าท่านจะไม่กลัว แต่ว่า….ในนั้นก็ไม่ได้มีอะไร ไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไป หรือหาญท้าอันตรายเช่นนี้” เหยียนกงลั่วต้องการหยุดเขา เพราะความน่ากลัวของที่แห่งนี้ฝังลึกอยู่ในใจของผู้คน แม้ว่าเส้นผมของเย่หวูเฉินจะไม่เป็นอะไร แต่จะให้เขาไม่กังวลย่อมเป็นไปไม่ได้ เย่หวูเฉินยกมือขึ้นขัดคำกล่าว เขาก้าวเท้าอ่อนแอไปเบื้องหน้า
หลายวันที่ได้อยู่ด้วยกัน เย่หวูเฉินทำให้เขารู้สึกประทับใจในความสุขุม ยามนี้เมื่อเห็นเขาคิดกระทำด้วยเจตนา รู้ว่าเขาย่อมต้องมีเป้าหมาย จึงไม่ได้หยุดเขาอีก หนิงเสวี่ยกระวนกระวายไม่ต่างกันขณะมองเขาขยับเคลื่อนทีละก้าว หัวใจนางเต้นรัวเร็ว
เย่หวูเฉินเหยียบย่างไปอีกก้าวหนึ่ง สืบเท้าเข้าไปในอาณาบริเวณน่าหวาดหวั่น หัวใจของหนิงเสวี่ยและเหยียนกงลั่วแทบจะเต้นขึ้นมาถึงลำคอ ทว่าทันใดนั้นมันก็สงบลง พวกเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก เย่หวูเฉินสืบเท้าอีกก้าว ร่างกายทั้งหมดเข้าไปอยู่ในอาณาบริเวณ ไม่เพียงเขาไม่บาดเจ็บใดๆ กระทั่งเสื้อผ้ายังไร้รอยขีดข่วน
“หละ….เหลือเชื่อเกินไปแล้ว สมแล้วที่เป็นจอมราชัน” เหยียนกงลั่วจ้องตากว้าง ไม่อาจทำใจเชื่อขณะพูดพึมพำ
เย่หวูเฉินยังคงเดินตรงไปข้างหน้า หลังจากเข้าไปข้างในได้หลายเมตรเขาก็หยุดกายลง หลังจากไหวโอนเอนอยู่หลายครั้งเขาก็หันกลับมาและค่อยๆนั่งลง ปรับท่านั่งเป็นขัดสมาธิขณะมองพวกเขาด้วยสายตา จากนั้นปิดดวงตาลง ไร้การเคลื่อนไหวใดๆอีก
ผ่านไปเนิ่นนานเย่หวูเฉินจึงลืมตาขึ้น เขาเปิดปากกล่าวคำ “พี่กงลั่ว ไม่จำเป็นต้องเฝ้าข้า ท่านกลับไปก่อน ข้าสมควรใช้เวลาอีกนาน ที่นี่ไร้สิ่งใดทำอันตรายข้าได้”
เสียงของเขาถูกบิดเบือนด้วยธาตุลมหนาแน่น หนิงเสวี่ยจึงไม่ได้ยินว่าเขาพูดสิ่งใด เหยียนกงลั่งได้ยินเพียงน้ำเสียงบางเบา เขาลังเลอยู่นาน เมื่อเย่หวูเฉินหยักหน้าและหลับตาลงอีกครั้ง เขาจึงกล่าวกับหนิงเสวี่ย “น้องหญิงเสวี่ยเอ๋อร์ จอมราชันบอกว่าเขาจะใช้เวลาอีกนาน พวกเรากลับกันก่อนเถอะ”
หนิงเสวี่ยทุ่มเรี่ยวแรงสั่นศีรษะ นางนั่งลงบนพื้นหญ้า จดจ้องเย่หวูเฉินด้วยดวงตาไม่กระพริบ “ข้าไม่กลับ ข้าจะรอจนกว่าท่านพี่จะออกมา”
เขารู้ว่าหนิงเสวี่ยติดแจกับเย่หวูเฉินจนถึงระดับไม่อาจเยียวยา เหยียนกงลั่วไม่คิดขัดขวางและกล่าว “ตกลง หากถึงตอนเย็นแล้วจอมราชันยังไม่กลับ ข้าจะนำอาหารมาส่งให้เจ้า”
“อื้ม ขอบคุณพี่กงลั่วมาก” หนิงเสวี่ยยิ้มขอบคุณ
เหยียนกงลั่วมองดูเย่หวูเฉินอีกครั้ง จากนั้นจากไปอย่างรวดเร็ว
ในใจของเหยียนกงลั่ววิตกท่วมท้น เขารีบกลับบ้านด้วยใบหน้ากังวล เพียงเพิ่งกลับมาถึงบ้าน เขาก็พบกับปู่ของตนเหยียนเทียนเว่ย เหยียนเทียนเว่ยมองเขาด้วยคิ้วขมวดมุ่นท่าทางฉุนเฉียว เขาถาม “เหตุใดเจ้าถึงกลับมาคนเดียว แล้วจอมราชันล่ะ?”
“ท่านปู่ ข้ากำลังจะพูดเรื่องนี้กับท่านอยู่พอดี” เหยียนกงลั่งกล่าวรีบเข้าประเด็น “จอมราชัน เข้าไปในอาณาบริเวณต้องห้าม….”
“เคร้ง” กระทะโลหะที่เหยียนเทียนเว่ยเตรียมไว้ปรุงยาร่วงตกลงพื้น เขาคว้าเสื้อของเหยียนกงลั่วและถามเสียงสั่น “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
เหยียนกงลั่วทราบว่าปู่ของเขาเข้าใจผิดไปไกล เขาโบกมือพัลวันและรีบกล่าว “ท่านปู่ มันไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด จอมราชันยืนกรานจะเข้าไป และหลังจากที่เขาเข้าไปแล้วก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ในนั้น เขาบอกว่าจะใช้เวลานานกว่าจะออกมา ข้าคิดว่าเขากำลังพยายามฟื้นฟูสภาพร่างกายด้วยพลังน่าหวาดหวั่นของที่นั่น”
คำพูดไม่กี่คำของเหยียนกงลั่วแทบทำให้เหยียนเทียนเว่ยตกใจตาย พอได้ยินคำอธิบายเขาจึงถอนหายใจโล่งอก จากนั้นโบกเหยียนกงลั่วไปหนึ่งที “เจ้าเด็กนี่ครั้งหน้าอย่าได้ทำแบบนี้อีก ร่างชราของข้าแทบตกใจล้มพับลงเพราะเจ้า” ทันใดนั้น สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นสง่างาม “จอมราชันกลับไม่เกรงกลัวพื้นที่แห่งนั้น เพราะเหตุใดกัน?”
“จอมราชันบอกว่าในนั้นมีวายุหนาแน่นน่าหวาดหวั่น แต่เขาไม่เกรงกลัวต่อวายุใด ท่านปู่ ท่านว่าบุคคลแบบไหนถึงได้ไม่เกรงกลัววายุ?” เหยียนกงลั่วถามด้วยความสงสัย
เหยียนเทียนเว่ยไม่ได้ตอบทันที เขาคิดเป็นเวลานานก่อนจะกล่าวช้าๆ “เหนือสิ่งอื่นใด ด้วยสภาพร่างกายของจอมราชันในยามนี้ ไม่ว่าจะใช้พลังมากแค่ไหนก็ไม่อาจฟื้นฟูเขาได้ บางทีมันอาจทำให้อาการของเขากลับยิ่งแย่ลง เหตุใดเขาจึงพยายามใช้พลังนั่นเพื่อฟื้นฟู?”
“ในเมื่อพลังของมนุษย์ไม่เพียงพอ บางทีพลังธรรมชาติอาจจะช่วยได้” เหยียนกงลั่วครุ่นคิดและกล่าว
อย่างไรก็ตาม เขาเพียงพูดออกไปอย่างนั้นและไม่ได้ใส่ใจ ทั้งที่จริงมันคือแก่นแท้ของความลึกลับ เหยียนเทียนเว่ยเข้าใจผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้น เขาตัดสินว่าร่างกายของเย่หวูเฉินเหมือนบุคคลทั่วไป ร่างกายของเย่หวูเฉินเหมือนแม่น้ำที่เหือดแห้ง การดูดซับพลังแห่งสวรรค์และปฐพีที่เหมือนกับฝนตกปรอย มันย่อมไม่เพียงพอให้เขาฟื้นฟูกลับมาได้ แต่หากเป็นสายฝนที่ตกกระหน่ำ….มันจะไม่เพียงแค่ฟื้นฟูเท่านั้น
“จอมราชันย่อมมีเหตุผลของตัวเอง พวกเราสำนักจักรพรรดิเหนือตามหาจอมราชันมานานกว่าพันปี ในที่สุดเขาก็ปรากฎตัวขึ้น บุคคลในรอบพันปี ไหนเลยจะเป็นคนธรรมดาได้ จอมราชันย่อมไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง” เหยียนเทียนเว่ยถอนหายใจกล่าว