📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยาย Heavenly Star สวรรค์มวลดาว – เล่ม 4 ตอนที่ 229

บทที่ 229 - โลกอีกใบ
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

“ที่นี่ถูกผนึกไว้เหรอ?” เย่หวูเฉินถาม

“ใช่ ที่นี่ถูกล้อมไว้ด้วยม่านพลังที่มองไม่เห็น ทุกสิ่งสามารถผ่านเข้ามาแต่ไม่อาจออกไป ม่านพลังนี้แข็งแกร่งมาก แม้พวกเราจะรวมกำลังทั้งหมดก็ยังไม่อาจทำลาย ที่ข้าโบกมือเมื่อครู่ ก็เพื่อห้ามไม่ให้เจ้าเข้ามา…. เมื่อปู่ของปู่ข้าตกลงมา เขาก็ติดอยู่ในนี้ตลอดกาล แต่ปู่เคยบอกกับข้าครั้งหนึ่งว่า ตอนที่ปู่ของปู่ถูกช่วยไว้ด้วยพลังลึกลับ มันดูคล้ายเกี่ยวข้องกับม่านพลังประหลาดนี้ ซึ่งหากมันเป็นเรื่องจริง งั้นก็หมายความว่าหากไร้ซึ่งม่านพลัง ข้าก็ไม่อาจถือกำเนิดขึ้นมาได้” เขามองเย่หวูเฉินอีกครั้งและกล่าว “ตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าเป็นคนจากโลกภายนอกคนแรกที่ข้าได้พบเจอ ตอนแรกที่เห็นเจ้าข้าตกใจแทบสิ้นสติ”

“นับจากนี้ต่อไป เจ้าก็อาศัยอยู่กับพวกเรา เจ้าดูนั่นสิ….”

พูดพลางขณะเดินไป พวกเขาก็ออกจากป่ามาอย่างรวดเร็ว เบื้องหน้าสายตา ปรากฎแปลงผักเรียงรายกันเป็นผืนกว้าง แต่ละแปลงเต็มไปด้วยพืชผักและผลไม้นาๆพรรณ บางแปลงก็เป็นพืชผักพึ่งแตกหน่อ บางแปลงก็เป็นพืชผักที่เติบโต ฤดูกาลของที่นี่เหมือนกันตลอดปี ดังนั้นจึงสามารถเพาะปลูกได้ทุกเวลา จากที่ไกลสามารถมองเห็นร่างตะคุ่มๆหนึ่งหรือสองร่างกำลังยุ่งอยู่

“ที่นี่คือดินแดนของพวกเราและสวนผัก ยังมีอีกหลายแห่งที่เหมือนกับที่นี่ ถึงแม้พวกเราไม่เคยออกไปไหน แต่พวกเราก็ไม่เคยอดอยาก ข้างหน้านั้นเป็นที่อยู่อาศัยของพวกเรา มีท่านปู่ , ท่านย่า ลุงป้าน้าอาและพี่น้องอีกมากมาย ถัดจากตรงนั้นไปจะเป็นผืนป่า มีสัตว์มากมายให้จับเวลาไม่มีอะไรทำ ดังนั้นจึงมีเนื้อให้กินเช่นกัน” กงลั่วอธิบายให้เย่หวูเฉินฟังด้วยความกระตือรือร้น เป็นเวลานานที่อยู่ในโลกปิดตาย ผู้คนที่อยู่ข้างในจึงพึ่งพาอาศัยและกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเขาไม่เคยพบคนเลว ดังนั้นเมื่อจู่ๆได้พบคนภายนอกอย่างเช่นเย่หวูเฉิน พวกเขาจึงไม่ระวังตัวและแทนที่ด้วยความตื่นเต้น อีกอย่างหนึ่งก็คือพวกเขาไม่มีความลับระหว่างกัน สิ่งที่เรียกว่าความลับไม่เคยมีอยู่ในโลกใบนี้

“พวกเราทุกคนต่างมีสิ่งที่ต้องทำ น้องชาย ตอนนี้เจ้าคงเหน็ดเหนื่อยแล้ว ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่บ้านและพักผ่อน” เมื่อได้ยินเสียงหายใจหนักหน่วงขึ้นของเย่หวูเฉิน กงลั่วที่รู้สภาพร่างกายของเขาจึงไม่กล้าชักช้าอีก เขาพยายามรับน้ำหนักของเย่หวูเฉินและค่อยๆเดินตรงไปยังที่พักอาศัย

“รบกวนท่านแล้ว”

“เฮ้! เรื่องเล็กน้อยน่า อย่าได้เกรงอกเกรงใจเลย” กงลั่วตอบโดยไม่ต้องคิด

ยิ่งก้าวเข้าไปใกล้ เงาของคนที่ระยะไกลก็เริ่มแตกตื่น สตรีวัยกลางคนออกมาอยู่กลางทางแล้วตะโกนมาไกลๆ “ซานหวา ทำไมวันนี้ถึงกลับมาเร็วนัก?…. แล้วสองคนนั้นเป็นใคร?” ทันทีที่เห็นใบหน้าไม่คุ้นตาสองคน สตรีวัยกลางคนดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด นางกระโดดออกมายืนและถามด้วยความหวาดกลัว

สตรีวัยกลางคนแบกจอบอยู่ , ยืนบนเท้าเปล่า , สวมใส่เสื้อผ้าหยาบกร้าน , มีโครงร่างใหญ่ , ผมเผ้ารุงรัง , ร่างกายเปื้อนเศษดิน นางเป็นเพียงสตรีธรรมดาที่กลับมาจากสวน ไม่มีสิ่งใดที่ดูเป็นพิเศษ ทว่าขณะที่นางเดินมาเร่งรีบ กลับไม่ปรากฎรอยเท้าบนผืนดินอ่อน คราแรกเย่หวูเฉินต้องตกใจกับชายหนุ่มอายุ 20 ปี ที่มีพลังน่าหวาดหวั่นจนผู้คนต้องอ้าปากค้าง ตอนนี้เมื่อพบกับสตรีทำสวนธรรมดา นางกลับมีพลังอันน่าพรั่นพรึง ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นกลุ่มสัตว์ประหลาดชัดๆ!

“ป้าชุน สองคนนี้ตกลงมาจากเบื้องบน และบังเอิญเดินผ่านเข้ามาที่นี่ ข้าจะพาพวกเขากลับไปพบกับท่านปู่” กงลั่วอธิบายให้นาง

“สวัสดีท่านป้า ข้าเรียกว่าเย่หวูเฉิน นี่คือน้องสาวข้าชื่อหนิงเสวี่ย” เย่หวูเฉินทักทายด้วยรอยยิ้ม ป้าวัยกลางคนผู้นี้ ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเช่นเดียวกับกงลั่ว เขาไม่รู้สึกถึงอารมณ์เชิงลบใดๆจากนาง

“สวัสดีท่านป้า” หนิงเสวี่ยเรียนรู้การทักทายมาจากเย่หวูเฉิน นางโบกมือน้อยๆให้อย่างนุ่มนวล

ป้าชุนมองพวกเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มองขึ้นลงหลายครั้งและอุทาน “มารดาข้าเถอะ โตจนป่านนี้แล้วพึ่งได้เห็นคนจากโลกข้างนอก….เอ๋?” นางจ้องเย่หวูเฉิน จากนั้นยื่นมือออกมาทาบบนอกเช่นเดียวกับที่กงลั่วทำ ทันทีนั้นนางถอนมือกลับและกล่าว “เด็ก….เด็กคนนี้ เจ้าคงถูกบีบคั้นอย่างหนักถึงได้ทำเช่นนี้ลงไป กระโดดลงมาเบื้องล่าง โถ่ เด็กที่น่าสงสาร เจ้าวางใจได้ จะไม่มีใครรังแกเจ้าอีกเมื่อมาถึงที่นี่ เจ้าเด็กซานหวานี่เดี๋ยวเถอะ ร่างกายของเขาเป็นแบบนี้เจ้ายังชักช้าอยู่อีก….”

กงลั่วพลันตื่นขึ้นจากภวังค์ จากนั้นตบหน้าตัวเองและยิ้มทึ่มทื่อ “ฮ่าย ดูข้าช่างสมองทึบจริงๆ ต้องให้ท่านป้าเตือน”

จากนั้นโดยไม่รอให้เย่หวูเฉินได้กล่าวคำ เขาแบกเย่หวูเฉินขึ้นหลังแล้วกล่าว “ป้าชุน ท่านคงจะมีเรื่องอื่นยุ่งอยู่ ข้าจะไปพบท่านปู่เดี๋ยวนี้”

“เรื่องอื่นจะนับเป็นสิ่งใด ตลอดหลายปีมานี้ของพวกเรา ในที่สุดก็มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น ช่างหัวธุระอื่นไปก่อน มาเถอะ แม่หนูคนนี้ ป้าจะพาเจ้าไปเอง” ป้าชุนอุ้มหนิงเสวี่ยอย่างอบอุ่น ไม่สนใจเส้นผมสีขาวของนาง นางออกเดินไปพร้อมกับกงลั่วตรงไปตามเส้นทาง ความเร็วของพวกเขาในยามนี้ อาจกล่าวได้ว่ารวดเร็วดุจสายฟ้า

ยิ่งเข้าไปใกล้ชุมชน ก็ยิ่งมีคนวิ่งมาดูมากขึ้น พวกผู้ใหญ่มีสีหน้าราวกับเห็นมนุษย์จากต่างดาว พวกเขาวางสิ่งที่ทำในมือและวิ่งตามมา ทำให้เย่หวูเฉินไม่ทราบสมควรหัวเราะหรือร้องไห้ และเขาต้องประหลาดใจไม่หยุดหย่อน ด้วยความเร็วสูงล้ำของกงลั่วและป้าชุน พวกคนที่วิ่งตามมากลับไม่มีใครถูกทิ้งล้าหลัง ไม่มีใครมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย ตรงกันข้ามพวกเขาวิ่งคุยกันด้วยความตื่นเต้น ทั้งยังถามคำถามมากมาย

ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ เป็นฝูงสัตว์ประหลาดจริงๆ

“ดูสิ นี่คือเครื่องปั่นด้ายที่พวกเราทำขึ้นมาเอง พวกเราสามารถถักทอเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้สบาย และสามารถทอเป็นสีสันสวยงาม” หลังจากมาถึงเขตที่อยู่อาศัย กงลั่วก็เริ่มแนะนำสิ่งต่างๆ…. พอกล่าวถึงเครื่องมือที่เลิกใช้กันไปแล้วในโลกภายนอก กงลั่วมีสีหน้าทั้งตื่นเต้นและภูมิใจ ในสายตาของเขา มันคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก

“ซานหวา เจ้าพูดให้มันน้อยๆหน่อย เจ้าไม่ดูเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่เลยหรือยังไง ยังพูดซะไม่กลัวขายหน้า” ป้าชุนกล่าวพลางขบขัน ชุดที่เย่หวูเฉินสวมใส่อยู่ในเวลานี้ ไม่ใช่ชุดขาวที่สวมใส่มาตลอดสองปีจนเก่าโทรม เขาเปลี่ยนเป็นชุดทั่วไปที่เก็บอยู่ในแหวนเทพกระบี่ เป็นเนื้อผ้าธรรมดาและไม่มีความหมายสำหรับคนทั่วไป ทว่าสำหรับป้าชุนที่กำลังมองชุดที่เขาใส่อยู่ น้ำลายนางแทบหกออกมา นางลอบคิดอยู่ในใจ “เสื้อผ้าเนื้อดีถึงเพียงนี้ ถ้าซานลู่จื่อที่ใกล้แต่งงานมีชุดแบบนี้บ้างสักตัวก็คงดี”

กงลั่วดูอับอาย เขามองที่ชุดหนังสัตว์ของตัวเอง จากนั้นมองที่เย่หวูเฉิน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าชุดที่สวยงามนั้นเป็นอย่างไร เขายิ้มแหยๆ

การมาถึงของเย่หวูเฉินและหนิงเสวี่ยทำให้โลกเล็กๆแห่งนี้สั่นสะเทือน ที่นี่ไม่เคยมีเรื่องใหญ่มาก่อน เพียงพริบตาก็ราวฝูงผึ้งแตกรัง เมื่อผู้คนได้ยินข่าว ก็ต่างพากันหลั่งไหลออกมาจากห้องและวิ่งมาจากทุกทิศทาง ราวกับแหล่งรวมฝูงสัตว์ประหลาด ผู้คนที่รายล้อมมีทั้งบุรุษและสตรี , มีคนที่ถือยันไม้เท้า , มีคนชราที่เดินไม่ได้แล้ว , มีเด็กเพิ่งหัดเดินที่เพียงเอานิ้วจิ้มก็ล้มลง , สายตาของพวกเขาเปล่งประจายเจิดจ้าราวกับดารา

ด้วยการนับคร่าวๆ เย่หวูเฉินพบว่าผู้คนที่ปรากฎตัวที่นี่มีอยู่ราว 300 คน

โลกที่เงียบสงบและเป็นระเบียบ ยามนี้อึกทึกมีชีวิตชีวา กงลั่ววางเย่หวูเฉินลง เขาโบกมือและตะโกน “ทุกคนอย่าพึ่งรบกวน น้องชายคนนี้สภาพร่างกายย่ำแย่ ข้าจะให้ท่านปู่ดูอาการของเขาก่อน ตอนนี้ทุกคนอย่าพึ่งพูดอะไรตกลงมั้ย?”

ดูเหมือนกงลั่วจะมีสถานะสูงส่งในที่แห่งนี้ หลังจากที่เขากล่าววาจา บรรยากาศก็กลายเป็นเงียบสงบทันที สายตาใคร่รู้เหล่านั้นกลายเป็นกังวล หนิงเสวี่ยจับมือทั้งสองข้างกับเย่หวูเฉินด้วยความกังวล นางคลุกคลีผู้คนไม่มากนัก นางเคยถูกคนจำนวนมากปฏิเสธมาก่อน ตอนนี้เมื่อถูกสายตาจำนวนมากจับจ้องมา นางจึงรู้สึกกระวนกระวาย

ผู้คนขยับแยกออกเป็นทาง ชายชราท่าทางสุขุมก้าวเดินเข้ามาหา บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไปในทันที ท่าทางของทุกคนเต็มไปด้วยความเคารพจากหัวใจ เย่หวูเฉินมองยังร่างนั้น เขาสมควรเป็นผู้นำ เทียบได้กับหัวหน้าหมู่บ้าน ทุกสังคมไม่อาจขาดผู้นำที่น่าเชื่อถือ และดูเหมือนจะเป็นกฎของธรรมชาติที่จำเป็น เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาวุโสท่านนี้ ผู้เยาว์ก้าวล้ำเข้ามาในดินแดน สมควรสร้างปัญหาให้ท่านไม่น้อย”

ชายชราไม่ไต่ถามสิ่งใด เขาพอจะเข้าใจเรื่องราวจากเสียงสนทนารอบข้างเมื่อครู่ เมื่อได้ยินเย่หวูเฉินเป็นฝ่ายเริ่มคุย เขาก็หัวเราะ “พ่อหนุ่ม การดำรงอยู่ของพวกเราย่อมไม่มีคนภายนอกใดๆรับรู้ เจ้ายังสามารถมาที่แห่งนี้ได้ นับว่าเป็นลิขิตแห่งสวรรค์ อีกทั้งยังสายเกินไปที่จะเปลี่ยนสิ่งใด ไหนเลยข้าจะนับเป็นปัญหาได้ หลังจากนี้ พวกเราถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นเจ้าจะต้องไม่พูดแบบนี้อีก”

พอชายชรากล่าวจบ ผู้คนโดยรอบไม่มีใครคัดค้าน ต่างพยักหน้าตามๆกัน กระทั่งท่าทีต่อต้านแม้เล็กน้อยไม่ปรากฎ เย่หวูเฉินลอบถอนหายใจและกล่าว “เป็นผู้เยาว์กล่าวผิดเอง ข้ารู้สึกว่านับจากนี้เป็นต้นไป สถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นบ้านอีกหลังของข้า”

ชายชราหัวเราะ “ต้องอย่างนี้สิ” จากนั้น เขาด้วยมองสีหน้าจริงจังและเดินตรงเข้าหา “มาเถอะ ให้ข้าดูอาการของเจ้าหน่อย”

“ท่านปู่ อาการของน้องเย่ร้ายแรงมาก ท่านปู่พอจะมีวิธีรักษารึเปล่า? แล้วพ่อกับแม่ข้าล่ะ?” กงลั่วถาม

“พวกเขาออกไปล่าสัตว์ยังไม่กลับมา” ชายชราตอบกลับโดยไม่เสียเวลาคิด จากนั้นวางมือทาบบนอกของเย่หวูเฉิน ปราณพลังร้อนแรงเริ่มโคจรเข้าไปทั่วร่าง

ไม่ว่าจะเป็นกงลั่ว , ป้าชุน , หรือชายชราผู้นี้ ต่างก็แผ่ปราณพลังร้อนแรงแบบเดียวกัน ทว่าหากเทียบกันแล้ว พลังของชายชราผู้นี้เหนือล้ำกว่ากงลั่วไปห่างไกล หลังจากชั่วขณะสั้นๆ เขาถอนมือกลับและขมวดคิ้วแน่น เขาเอ่ยถ้อยคำเปี่ยมความหมาย “พ่อหนุ่ม เจ้าคงไม่คิดว่าตัวเองจะรอด”

“ถูกต้อง คงเป็นเพราะสวรรค์เวทนาในตัวข้า ถึงยังทำให้ข้ามีชีวิตอยู่ได้” เขากล่าวขณะที่กุมมือหนิงเสวี่ยไว้

Facebook Twitter Telegram Pinterest
Heavenly Star สวรรค์มวลดาว (จบ)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Completed ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เด็กหนุ่มลึกลับผู้ลืมเลือนอดีต ตื่นขึ้นมาในทวีปเทียนเฉิน ถูกเข้าใจว่าเป็นบุตรชายตระกูลเย่ เขาจึงใช้สถานะนี้เฝ้าสังเกตโลกอันยุ่งเหยิง รวมทั้งสืบหาอดีตของตน หากแต่โชคชะตาที่ต้องประสบกลับมีเพียงความน่าหวั่นสะพรึง เขาจึงหัวเราะเยาะโชคชะตา และเผยพลังสะท้านแดนดินใต้ผืนสวรรค์.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset