ที่นี่มีแสงสว่าง , น้ำ , สายลม , ต้นไม้, และสัตว์ หากมองหาสวรรค์ที่แห่งนี้ก็แทบไม่ต่างกัน เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ท้องฟ้ามืดมิดเป็นสิ่งบ่งบอกว่าที่นี่คือโลกอื่น ไร้ดวงตะวัน , ดวงจันทร์ หรือดวงดาวในที่นี้ แสงสว่างไม่ทราบว่ามาจากไหน รวมทั้งไม่ทราบที่มาของน้ำเช่นกัน ดินแดนแห่งนี้ไร้เวลากลางคืน การระบุเวลาทำได้เพียงพึ่งพาความรู้สึกและการบอกของหนานเอ๋อร์
อ้างอิงจากความกว้างและความยาวของหุบเหวปลิดวิญญาณ โลกแห่งนี้สมควรไม่กว้างขวางมากเท่าไหร่ คงกว้างยาวสักหลายสิบลี้ แม้ว่าในนี้จะมีสัตว์อยู่ แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้คน เขาไม่เชื่อว่าจะมีคนแบบเดียวกับหนิงเสวี่ยและตัวเขา ที่ร่วงลงมาแล้วยังมีชีวิตรอด ยิ่งกว่านั้น ในโลกเล็กๆใบนี้ หากมีคนอยู่จริงๆ เวลาสองปีที่ผ่านมา เหตุใดจึงไม่มาพบตัวเขาและหนิงเสวี่ย
โลกใบใหญ่ ยังคงมีสิ่งไม่คาดคิดอยู่อีกมากมาย เย่หวูเฉินสำรวจดินแดนแห่งนี้และถอนหายใจเงียบงัน
เวลาสองปีหนิงเสวี่ยไม่ได้เติบโต นางไม่อ้วนขึ้นหรือผอมลง กระทั่งเส้นผมขาวหิมะของนางก็ยังไม่ยาวขึ้น กระโปรงยังคงขาวหิมะในแบบเจ้าหญิง ยังคงสะอาดและไร้ริ้วรอย เขาไม่สงสัยเรื่องตัวตนแท้จริงของนาง เพราะเขาไม่สนใจว่านางจะเป็นใคร ไม่ว่าอีกสถานะหนึ่งจะน่าตกใจแค่ไหน นางก็จะเป็นหนิงเสวี่ยของเขาอยู่เสมอ
“บางที การอยู่ที่นี่ตลอดไปอาจจะดีก็ได้ ไม่ต้องห่วงว่าวันหนึ่งจะมีคนมาพรากตัวนางไป ตัวข้าในยามนี้ ไร้พลังที่จะปกป้องนาง” เย่หวูเฉินกล่าวกับตัวเองในใจ อีกสถานะหนึ่งของหนิงเสวี่ย ย่อมนำพาบางสิ่งมาหาในวันหนึ่งซึ่งเขาไม่อยากเห็น และในโลกแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบในการหนีจากมัน
เมื่อคิดเช่นนั้น เขากอดหนิงเสวี่ยแน่นขึ้นเงียบๆ หนิงเสวี่ยก็กอดเขาแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เวลานี้ภาพเบื้องหน้า ปรากฎต้นไม้ผลขึ้นหร็อมแหร็ม ทว่าต้นไม้อื่นๆล้วนหยาบหนาและขึ้นหนาแน่น ซึ่งไม่อาจพบได้ในโลกภายนอก ตรงนี้เป็นสถานที่ที่หนิงเสวี่ยมาเก็บผลไม้ในทุกวัน เย่หวูเฉินรู้สึกได้ว่าไหล่บอบบางของหนิงเสวี่ยที่พยุงเขาไว้เริ่มสั่นเล็กน้อย ลมหายใจนางก็เริ่มดังขึ้น เขาลงน้ำหนักบนตัวนางให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขากล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ เราไปนั่งพักในป่ากันเถอะ”
ชั่วขณะที่ก้าวเข้าไปในป่า ร่างของเย่หวูเฉินพลันเย็นเยียบ เท้าเขาหยุดลงทันที
“ท่านพี่?” หนิงเสวี่ยแหงนหน้ามองเขาด้วยความสงสัย เพียงพบว่าเย่หวูเฉินกำลังมองตรงไปเบื้องหน้าโดยไม่ตอบคำใดๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงกล่าว “พยุงข้าไปนั่งตรงนั้น”
ทั้งสองคนนั่งอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ ร่างกายของเย่หวูเฉินอ่อนปวกเปียกหลังจากที่เดินมาเป็นระยะทางสั้นๆ เขาถอนหายใจอีกครั้งและกล่าว “เซียงเซียงออกมา”
แสงสว่างพลันวาบออก ปรากฎร่างน้อยๆในแสงขาว ลอยล่องอยู่ตรงหน้าของเย่หวูเฉิน เมื่อร่างงดงามนั้นยืนอยู่บนไหล่ของเขา นางกล่าวคำ “อิย๊า อิย๊า” ที่ไม่อาจเข้าใจ
“ไปเก็บผลไม้สีน้ำเงินให้ข้า” เย่หวูเฉินยื่นนิ้วแหย่นาง นางรับคำสั่งอย่างไม่เต็มใจ นี่คือจิ้งจอกมังกรผู้ลึกลับ มีประวัติและพลังน่าหวาดหวั่นเพียงพอเอาชนะทงซิน แต่ตอนนี้กลับถูกสั่งให้ไปเก็บผลไม้ นางไม่เคยต้องใช้แรงงานเช่นนี้มาก่อน
สาวน้อยเบ้ปากและบ่น “อิย๊า” สองคำ แต่เนื่องจากชีวิตของเจ้านายสำคัญที่สุด นางจึงจำต้องเก็บความขื่นขมระทม บินไปหาผลไม้อย่างไม่เต็มใจ แม้ว่าพลังของนางยามนี้จะต่ำเตี้ย แต่การแบกผลไม้สักลูกที่มีขนาดเท่าตัวเอง นางย่อมสามารถกระทำ….และก็เป็นสิ่งเดียวที่นางทำได้
“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าเคยไปอีกฝั่งของป่านี้รึยัง?” จู่ๆเย่หวูเฉินเอ่ยถามขึ้น
“อีกฝั่งเหรอ?” หนิงเสวี่ยส่ายศีรษะและกล่าว “ไม่เคย ข้ากลัวว่าจะหลงทาง ข้าจึงไม่กล้าเดินไปไหนไกลนัก ท่านพี่ ท่านพบอะไรเหรอ?” หนิงเสวี่ยถามด้วยความสงสัย
เย่หวูเฉินพยักหน้าและจมลงในห้วงความคิด หนิงเสวี่ยอ้าปากทว่าไม่กล่าวคำรบกวนเขา
“หนานเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกได้รึเปล่า?” เย่หวูเฉินหลับตาและถามในความคิด
“หืม? ไม่นิ” หนานเอ๋อร์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ไม่เหรอ?” เย่หวูเฉินมุ่นคิ้ว บนหน้าผากยับย่นเป็นรอยสงสัย
หนานเอ๋อร์เงียบอยู่ครู่นั้น จากนั้นกล่าวยืนยันอีกครั้ง “ไม่เห็นมีอะไรเป็นพิเศษเลย เจ้านายพบอะไรเหรอ?”
“ข้าไม่ได้พบสิ่งใด” เย่หวูเฉินกล่าวขณะที่ดวงตาไหววูบ “แต่สิ่งนั้นค้นพบข้า”
“เอ๋?” หนานเอ๋อร์งุนงง
“อิย๊า! อิย๊า! อิย๊า….”
เวลานี้เองที่เซียงเซียงบินกลับมาด้วยเสียง “อิย๊า” แตกตื่น เย่หวูเฉินกับหนิงเสวี่ยหันขวับไปมองและพบว่าเซียงเซียงตัวน้อยกำลังบินห้อตะบึงอยู่กลางอากาศ ด้านหลังนางมีหมูป่าไล่กวดมาอย่างคาดไม่ถึง
เซียงเซียงสามารถบินได้ ไม่ว่าจะอยู่ในร่างสาวน้อยขนาดพกพาหรือร่างจิ้งจอกมังกร แต่นางสามารถบินได้สูงไม่เกินสองเมตร ยิ่งกว่านั้น เมื่อนางบินหนีจนพลังลดลง ระดับเพดานบินของนางจึงลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด…. บางทีนางอาจสะดุ้งง่ายและขี้ตกใจ ระหว่างทางเมื่อจ๊ะเอ๋กับหมูป่าน่ากลัวกะทันหัน สิ่งแรกที่นางทำคือกลับหลังหันแล้วโกยหนี เซียงเซียงกำลังหนีมาทางนี้ หมูป่ากำลังไล่กวดนางมาด้วยสัญชาตญาณสัตว์ป่า
เซียงเซียงพบที่กำบังจึงโยนร่างเข้าอ้อมกอดของหนิงเสวี่ย นางไม่กล้าโผล่หัวออกมา และหมูป่าตัวนั้นก็หยุดอยู่ห่างออกไป จ้องมองมาทางพวกเขาด้วยตาโต
ในเขตชายป่าแห่งนี้มีเพียงสัตว์ตัวเล็กๆและอ่อนแอเท่านั้น ยากนักที่จะมีหมูป่าปรากฎตัวให้เห็น ในสองปีที่ผ่านมา หนิงเสวี่ยเคยเห็นอยู่ไม่กี่ครั้ง ที่ต่างจากเซียงเซียงผู้น่าสงสารก็คือ หนิงเสวี่ยไม่เคยวิ่งหนีหรือหวาดกลัว หมูป่าจะเพียงมองและเดินจากไป หนิงเสวี่ยกอดเซียงเซียงไว้และปลอบนาง “เซียงเซียง อย่ากลัวหมูป่าน้อยตัวนี้เลย มันไม่กัดเจ้าหรอก”
ในที่สุดเซียงเซียงก็โผล่ศีรษะออกมาจากแขนของหนิงเสวี่ย มองดูหมูป่าอย่างระมัดระวัง ราวกับพยัคฆ์ถูกสุนัขรังแก ไม่ต้องกล่าวถึงหมูป่า หากเป็นก่อนหน้านี้ ต่อให้เป็นพยัคฆ์อยู่ห่างออกไป 100 เมตรก็ถูกนางสังหารได้ง่ายดาย
ทว่าสภาพของนางในยามนี้แทบไม่ต่างไปจากเย่หวูเฉิน
หลังจากหมูป่ากับนางจ้องตากัน เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ขยับ มันจึงก้าวขาสั้นๆเข้ามาสำรวจใกล้ๆ พอเข้ามาได้หลายก้าวยังเห็นพวกนางไม่ส่งเสียงใดๆ มันพ่นลมออกจากรูจมูก ดูเหมือนพร้อมจู่โจมได้ทุกเวลา
หนิงเสวี่ยพลันกังวลขึ้น นางขยับร่างเข้าหาเย่หวูเฉิน แต่พอนึกได้ถึงสภาพร่างกายของพี่ชาย นางจึงยืนขึ้นปกป้องอยู่หน้าเขา เย่หวูเฉินยกมือดันนางออกด้านข้าง สั่นศีรษะและถอนหายใจ “หนานเอ๋อร์ ออกมา”
ตรงหว่างคิ้วของเย่หวูเฉินเปล่งแสงสีทอง กระบี่ตัดดาราเรืองแสงทองพุ่งเป็นวงโค้งปักลงอยู่หน้าหมูป่า มันตกใจด้วยรับรู้ถึงอันตราย มันส่งเสียงกรีดร้องประหลาดและวิ่งหนีทันที พริบตาเดียวก็หายไปโดยไร้ร่องรอย
หนิงเสวี่ยและเซียงเซียงถอนหายใจโล่งอก เย่หวูเฉินเรียกกระบี่ตัดดารากลับ มองไปข้างหน้าและยิ้มเยาะตัวเอง “คิดไม่ถึงเลยว่า ข้าจะถูกบีบคั้นให้มาถึงจุดนี้ เพียงเพราะหมูป่า”
“ท่านพี่ ท่านจะต้องดีขึ้นแน่ๆ และกลับไปเก่งกาจเหมือนเมื่อก่อน” หนิงเสวี่ยพิงไหล่เขา กล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ เขาตัวลำพังสามารถเข้าปะทะกองทัพนับหมื่น ความโหดร้ายหนักหนาเหนือประมาณ ทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่นางกลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ในตอนนั้น เขาถูกล้อมรอบด้วยการต่อสู้ดุเดือด เนื้อหนังและโลหิตสาดกระจาย นางไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย เพราะในอ้อมกอดของเขาคือที่ๆอบอุ่นและปลอดภัยที่สุด กระทั่งตอนที่ตกลงจากหุบเหวปลิดวิญญาณ นางยังคงปลอดภัยภายใต้การปกป้องของเขา
ดังนั้น ในยามที่เขาไม่อาจปกป้องนาง นางจะใช้มือทั้งสองข้างและไหล่บอบบางปกป้องเขาเอง
นั่งพักอยู่ครู่ใหญ่ เย่หวูเฉินฟื้นฟูเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้างในที่สุด เขาพยุงตัวกับต้นไม้และลุกขึ้นยืน “เสวี่ยเอ๋อร์ เราไปดูข้างในกันเถอะ”
“ข้างใน?” หนิงเสวี่ยแปลกใจอยู่ชั่วขณะ จากนั้นรีบประคองข้างกายเขาโดยไม่ลังเล ทุ่มเทเรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อพยุง สองคนตัวสูงและตัวสั้น ค่อยๆก้าวไปเบื้องหน้าตรงไปยังอีกฝั่งของป่า
ยิ่งตรงไปข้างหน้า ความรู้สึกนั้นยิ่งใกล้เข้ามา ยืนยันกับเขาว่าไม่ได้เข้าใจผิดไปเอง
แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่?
หรือว่าจะเป็น….
แม้จะถูกประคองโดยหนิงเสวี่ย เย่หวูเฉินที่เดินได้ไม่ถึงร้อยเมตรก็ยังหอบหายใจ ถึงแม้ร่างกายไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งอวัยวะภายในและภายนอกล้วนไม่บาดเจ็บ ทว่าสภาพของเขาอ่อนแอยิ่งเมื่อเทียบกับคนทั่วไป แต่เขายังคงยืนกราน พักขณะหนึ่งก่อนจะก้าวเดินต่อ ขยับลึกเข้าไปเรื่อยๆในสถานที่ที่ไม่รู้จัก
หนึ่งวันผ่านไป , สองวันผ่านไป….
พวกเขาเดินช้าเป็นเต่า บางทีเต่าคลานสองวันอาจไปได้ไกลกว่าพวกเขาไม่รู้กี่เท่า เวลาสองวันพวกเขาเดินไปหยุดไปจนได้ระยะราวสิบลี้ แต่กระนั้นก็ยังไม่พ้นออกไปจากป่า ไม่พบกับสัตว์หรือเหยื่อใดๆ สัตว์ตัวใหญ่สุดที่พบเห็นก็คือหมูป่าเมื่อสองวันก่อน
ความรู้สึกนั้นยิ่งมายิ่งเข้าใกล้ ยิ่งมายิ่งชัดเจน
“ช้าก่อนเจ้านาย อย่าเดินตรงไปข้างหน้า!”
เย่หวูเฉินที่กำลังจะก้าวเท้าพลันขมวดคิ้วมุ่น เขายั้งเท้าไว้ กอดหนิงเสวี่ยที่แหงนหน้ามองขึ้นมา เย่หวูเฉินหรี่ตาลงมองตรงไปเบื้องหน้า เขาถามในใจ “ข้างหน้ามีอะไร?”
“เป็นกำแพงพลังโปร่งใสทางเดียว และทรงพลังยิ่งยวด เมื่อเข้าไปแล้ว จะไม่มีวันออกมาได้” หนานเอ๋อร์ตะโกนกล่าวด้วยความแปลกใจ
“กำแพงพลัง? มันมาจากไหน?”
“ข้าไม่รู้ ที่นี่ไม่น่าจะมียอดฝีมืออยู่ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมีกำแพงพลังที่แข็งแกร่งเพียงนี้ได้ อ๊า! เจ้านาย มีคนมา มีคนมา!” หนานเอ๋อร์พลันตะโกนอย่างตระหนก ขณะที่นางส่งเสียง เย่หวูเฉินก็มองเห็นเงาร่างของบุคคลห่างออกไปไม่ไกลนัก ร่างนั้นถูกต้นไม้บดบังจนแทบมิด
ที่ก้นหุบเหวปลิดวิญญาณ…. กลับมีคนอยู่จริงๆ! กระทั่งดวงดาว หากตกลงมาใต้หุบเหวปลิดวิญญาณยังแตกออกเป็นเสี่ยง ทว่ากลับมีคนอยู่จริงๆ!
ในพริบตานั้น หัวใจของเย่หวูเฉินเกิดระลอกคลื่นปั่นป่วน หนิงเสวี่ยอ้าปากค้างเช่นกัน จ้องมองด้วยสีหน้าตกใจไม่อยากเชื่อ