📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยาย Heavenly Star สวรรค์มวลดาว – เล่ม 4 ตอนที่ 226

บทที่ 226 - ปาฏิหาริย์
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

“ข้าคิดมาตลอดว่าเหตุใดในเวลานั้น พี่ทงซินถึงได้ผละจากไป”

“นางไปเพราะนางต้องการปกป้องเจ้ากับข้า” เย่หวูเฉินมองไปห่างไกลขณะกล่าวตอบ

หนิงเสวี่ยหันศีรษะมา ดวงตาว่างเปล่าและสับสน

เย่หวูเฉินไม่อาจเล่ารายละเอียดให้นางฟังได้ เขาไม่ต้องการให้นางมีกังวลเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “เสวี่ยเอ๋อร์ ลงมือทานได้แล้ว”

กลิ่นเนื้อหอมฉุย เมื่อหนิงเสวี่ยได้ยินคำก็รีบดับไฟพัลวัน มองเนื้อกระต่ายในหม้อด้วยตาเป็นประกาย กลืนน้ำลายลงคอต่อเนื่องขณะที่รอ เพราะตอนนี้มันยังร้อนเกินไป

เย่หวูเฉินเคยหลับไหลมานานถึง 10 ปี น้ำสักหยดก็ไม่เคยดื่ม ทว่าไม่เพียงเขาไม่หิวตาย เขากลับเติบโตขึ้นช้าๆในทุกวัน เพราะเวลานั้นเขาสามารถดูดซับจิตปราณแห่งสวรรค์และปฐพีมาใช้ได้ แต่สภาพร่างกายตอนนี้ไม่อาจดูดซับมันได้ ด้วยร่างกายที่อ่อนแอจนไม่อาจดำรง หากไร้หนิงเสวี่ยคอยดูแลตลอดสองปีและได้รับพลังแห่งชีวิตจากนางทีละน้อย เขาคงตายไปแล้ว ยามนี้กลิ่นหอมของเนื้อโชยมา เขาเองก็รู้สึกหิวไม่น้อย ความรู้สึกนี้ทำให้เขาทั้งแปลกใจและยินดี การที่รู้สึกหิวได้ย่อมหมายความว่าร่างกายของเขาเพียงอ่อนแอมากเท่านั้น มันไม่ได้ถูกทำลายร้ายแรง บางทีในอีกไม่ช้า เขาอาจฟื้นฟูกลับมาได้

รอจนเย็นลงพอเหมาะ หนิงเสวี่ยจึงหยิบมีดขึ้นมาเถือเนื้อกระต่ายในที่สุด จากนั้นรีบย่อร่างกายลง วางจ่อที่ปากของเย่หวูเฉิน “ท่านพี่ เนื้อกระต่ายนี้หอมมาก นี่คือกระต่ายตัวแรกที่ข้าหามาได้ ท่านพี่ลองชิมดูสิ”

เย่หวูเฉินไม่เปิดปาก เขาเพียงยิ้มกล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ ตอนนี้ข้าไม่มีแรงเคี้ยวสิ่งใด ข้าเป็นคนป่วยที่ไม่เหมาะจะทานอาหารแข็ง ตอนนี้ข้าทานได้เฉพาะน้ำซุปเท่านั้น ฉะนั้นกระต่ายตัวนี้เสวี่ยเอ๋อร์ทานเถอะ”

“เอ๋? งั้นเหรอ?” หนิงเสวี่ยผิดหวังเล็กๆ จากนั้นรีบยืนขึ้น นำถ้วยใบเล็กตักน้ำซุปจนเต็ม ใช้ช้อนตักอย่างระมัดระวังและชิมดูหลายครั้ง จนกระทั่งพึงใจกับอุณหภูมิ นางหยิบช้อนชาและตักน้ำซุป เป่าอีกครั้งด้วยยังไม่วางใจก่อนป้อนให้เย่หวูเฉิน “ท่านพี่ ทานน้ำซุปก่อน ตอนนี้ไม่ร้อนแล้ว”

รสชาติของน้ำซุปกระต่ายแผ่ซ่าน แต่ละคำเขาลิ้มสัมผัสเป็นเวลานาน ในชีวิตนี้ เขาจะไม่มีวันลืมรสชาตินี้ได้ลง ภาพสาวน้อยชูกระต่ายกระโดดหยองแหยงด้วยความสุข , อดกลั้นความกลัวและแล่หนังของกระต่าย , รอคอยใจจดใจจ่อ , กลืนน้ำลายขณะป้อนให้เขาอย่างอ่อนโยน , มุมปากเผยความห่วงใยลึกซึ้งและพึงใจ ทุกการกระทำของนาง ทุกความรู้สึกที่แสดงออก ล้วนแฝงความรู้สึกผูกพันธ์ที่เขาไม่อาจลืมได้ชั่วชีวิต

ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าอาหารทั้งโลกจะมีรสชาติล้ำเลิศเพียงใด มันย่อมไม่อาจเทียบกับสิ่งที่เขากินตอนนี้ได้ เพราะว่าน้ำซุปถ้วยนี้ เคี่ยวกลั่นจากหัวใจอันบริสุทธิ์ของสาวน้อย

ดื่มกินน้ำซุปที่หนิงเสวี่ยป้อนให้ไปสองถ้วย เย่หวูเฉินกล่าว “เอาละ ข้าอิ่มแล้ว เสวี่ยเอ๋อร์เอาแต่ป้อนน้ำซุปให้ข้า ตอนนี้เจ้าเองก็ดื่มบ้าง เพราะเจ้าคงจะหิวมากแล้ว”

หนิงเสวี่ยวางถ้วยใบเล็กลงและส่ายศีรษะ “ข้าไม่ชอบดื่มน้ำซุป”

เย่หวูเฉินพอได้ฟังก็ลอบยิ้ม “วันนี้เจ้าก็กินกระต่ายตัวนี้เลยสิ ไม่อย่างนั้น พรุ่งนี้มันจะเสีย”

“อื้ม!” หนิงเสวี่ยตอบคำกลับ ในปากกลืนน้ำลายอึกใหญ่ นางหยิบกระต่ายขึ้นมาครึ่งตัวด้วยมือน้อยๆ กัดลงไปคำหนึ่ง ทีแรกก็ค่อยๆกิน แต่หลังจากนั้นความเร็วก็เริ่มเพิ่มขึ้น มารยาทบนโต๊ะอาหารยิ่งมายิ่งน่าเกลียด นางแทบไม่อาจอดทนและกัดกินตะกละมูมมาม นางหิวมากขณะที่ป้อนให้เย่หวูเฉิน อาหารที่ตกถึงท้องยามนี้ทำให้รู้สึกเหมือนได้ล่องลอยบนสวรรค์

“ค่อยๆเคี้ยว เดี๋ยวจะกัดลิ้นตัวเอง” เย่หวูเฉินมองกิริยาการกินของนาง และกล่าวด้วยความเอ็นดู

“อื้ม” หนิงเสวี่ยคล้ายอับอายขณะยิ้มให้เขา จากนั้นยังคงกัดกินตะกรุมตะกราม เพียงครู่เดียวก็กินหมดไปมากกว่าครึ่ง เหมือนลมพายุที่พัดเมฆจนปลิวกระจาย ขณะที่เคี้ยวอยู่นั้น จู่ๆนางก็เคลื่อนไหวช้าลง ดวงตาเอ่อท้นไปด้วยน้ำตา

“เสวี่ยเอ๋อร์? เป็นอะไรเป็น? ทำไมจู่ๆถึงร้องไห้?”

หนิงเสวี่ยปาดน้ำตาและเงยหน้าขึ้น นางกล่าวด้วยดวงตาพร่าน้ำ “ข้า….ในที่สุดข้าก็สามารถดูแลท่านพี่ ในที่สุดข้าก็ไม่เป็นภาระท่าน…. ท่านพี่เองก็ตื่นขึ้นมาแล้ว ข้ารู้สึกมีความสุข มีความสุขจริงๆ…..”

นางเกาะติดเย่หวูเฉินเพราะเป็นสิ่งพิงพักหนึ่งเดียว ทั้งไม่ต้องการแยกจาก ในช่วงเวลานั้น นางรู้ดีว่าตัวเองเป็นภาระสำหรับเขา หากไม่ใช่เพราะตัวนาง เขาจะผ่อนคลายได้มากขึ้น ทั้งมีสิ่งให้กังวลน้อยลง แต่นางไม่ต้องการอยู่ห่างกาย ในทุกๆวัน นางจะมีความสุขใต้การปกป้องในอ้อมแขน และจ่อมจมในความรู้สึกซับซ้อนด้วยรู้สึกผิดอยู่ในใจ นางปรารถนาว่าสักวัน นางจะสามารถปกป้องเขาได้เหมือนทงซิน ถึงแม้….นางจะรู้ว่าเขาไม่เคยโทษว่านาง

วันนี้ ในที่สุดนางก็สมปรารถนา ด้วยมือทั้งสองของตน ทุกวันนางจะช่วยเขาให้ฟื้นด้วยความหวังและยืนกราน วันนี้ นางนำกระต่ายกลับมาให้เขา ในใจรู้สึกดีเป็นที่สุด ดีใจท่วมท้นจนอยากร้องไห้ด้วยความสุข….

เย่หวูเฉินรู้สึกอบอุ่นใจ เขามองนางอย่างอ่อนโยน “เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าเคยบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ว่าระหว่างเราไม่มีคำว่าเป็นภาระ ตราบใดที่เจ้าอยู่กับข้า ตราบนั้นข้าก็มีความสุข หากมีวันหนึ่งที่เจ้ากลัวเป็นภาระต่อข้าและหนีจากไป ข้าย่อมเจ็บปวดมาก เข้าใจไหม? เหมือนกับข้าในตอนนี้ ที่พอใจยอมรับให้เจ้าดูแล….”

“พวกเราต่างไม่มีใครและสิ้นหวังยามที่พบกันครั้งแรก จากนั้นจึงร่วมอาศัยและผูกพันธ์ต่อกัน เจ้ายังจำได้หรือเปล่า ตอนที่ข้าทิ้งเจ้าไว้ เจ้าวิ่งตลอดวันตลอดคืนจนถุงเท้าและรองเท้าเปื้อนเลือด เพื่อที่จะช่วยชีวิตข้า เจ้าไปยังภูเขาเทียนเล่ยเพื่อขโมยไข่อสูรสวรรค์…. นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าคืออีกครึ่งชีวิตของข้า และเป็นเงาน้อยข้างกายข้า ต่อให้ข้าสูญสิ้นทุกสิ่งก็ไม่มีวันทิ้งเจ้า ครั้งนี้ เจ้าต้องทุกข์ทรมานนานมากเพื่อช่วยชีวิตข้า หากพูดถึงเรื่องเป็นภาระ คงเป็นตัวข้าที่เป็นภาระต่อเสวี่ยเอ๋อร์”

“ไม่นะ…..ไม่ ท่านพี่ไม่ได้เป็นภาระต่อข้า หากไม่ใช่เพราะข้า ไหนเลยท่านพี่จะ….” หนิงเสวี่ยพลันแตกตื่นในใจ นางจะกล้าคิดได้อย่างไรว่าพี่ชายเป็นภาระต่อนาง

“ถ้าอย่างนั้น เสวี่ยเอ๋อร์ต้องไม่พูดว่านางเป็นภาระข้าอีก ตกลงมั้ย?” ปากของเย่หวูเฉินโค้งขึ้นเล็กน้อย ปรากฎรอยยิ้มอบอุ่นที่จะเผยต่อหน้าหนิงเสวี่ยเท่านั้น “ระหว่างพวกเราแบ่งปันทุกสิ่งร่วมกัน จะไม่มีคำว่าเป็นภาระ หากเสวี่ยเอ๋อร์พูดคำนี้อีก มีแต่จะทำให้พี่ชายเจ้าเสียใจ”

“ข้าจะไม่พูด ข้าจะไม่พูดอีกแล้ว” หนิงเสวี่ยโยนกระดูกในมือทิ้งและผวาร่างเข้ากอดเย่หวูเฉิน “ข้าเพียงอยากอยู่กับท่านพี่ อยากมองดูท่านพี่ทุกวันและตลอดไป”

เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว “ต้องอย่างนี้สิ เสวี่ยเอ๋อร์ของข้า”

ด้วยกล่าววาจามากไป เขาจึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง เขากล่าวโดยไร้เรี่ยวแรง “เอาละ ตอนนี้ข้าง่วงแล้ว ขอข้าหลับสักงีบหนึ่งก่อน”

มือที่อยู่บนอกจับเขาแน่น เย่หวูเฉินเข้าใจดีจึงกล่าวปลอบ “อย่าห่วงเลย ข้าตื่นขึ้นมาได้ย่อมแปลว่าอาการข้าดีขึ้นมากแล้ว ข้าจะไม่หลับไปนานอีก เพราะขืนหลับนานกว่านี้อาการข้าคงได้แย่ลง”

หนิงเสวี่ยยิ้มอ่อนหวาน ซบศีรษะบนอกและค่อยๆปิดตาลง

เหน็ดเหนื่อยมานานเกินไป , กังวลมานานเกินไป , หวาดกลัวมานานเกินไป…. เมื่อถึงเวลาที่ผ่อนคลาย นางรู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งกว่าเย่หวูเฉิน แทบจะหลับทันทีที่ปิดตาลง เวลานี้ มุมปากนางเผยรอยยิ้มแห่งความสุข นางไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าจะผวาตื่นเพราะฝันร้ายในขณะหลับไหล

ได้ยินเสียงลมหายใจที่ราบเรียบสงบของนาง ในใจของเย่หวูเฉินรู้สึกเจ็บแปลบอีกครั้ง เขาอยากยกแขนขึ้นมากอดนางเหมือนแต่ก่อน มอบความวางใจให้แก่นาง และคลายความกังวล

“เจ้านาย น้ำตา น้ำตานาง!” น้ำเสียงหนานเอ๋อร์ดูคล้ายตื่นเต้น ไม่ว่านางจะคิดอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่า เหตุใดน้ำตาของหนิงเสวี่ยถึงมีธาตุชีวิตอยู่ ด้วยเย่หวูเฉินที่สูญสิ้นพลังทั้งหมดไป น้ำตาหนิงเสวี่ยจะสามารถฟื้นฟูพลังเขาได้ในเวลาสั้นๆ

“ปล่อยให้ข้าค่อยๆหายเองดีกว่า” เย่หวูเฉินหลับตาลงและบอกหนานเอ๋อร์ในใจ เขายังบอกอีกว่า “ข้าไม่อยากเห็นนางร้องไห้”

หนานเอ๋อร์เงียบลงและไม่เซ้าซี้อีก เขาห่วงใยหนิงเสวี่ยมากเสียยิ่งกว่าตัวเอง

…………………………

หลังจากที่เย่หวูเฉินตื่น ทุกวันหนิงเสวี่ยร่าเริงราวกับนกน้อย กระโดดหยองแหยงไปเก็บผลไม้ตรงชายป่า สิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายคือไม่เจอกระต่ายฆ่าตัวตายอีก และเนื่องจากเย่หวูเฉินตื่นขึ้นมา อาหารการกินจึงอุดมสมบูรณ์ขึ้น อาหารที่เก็บไว้แหวนเทพกระบี่สามารถทานได้หลายวัน จำนวนครั้งที่หนิงเสวี่ยต้องวิ่งไปป่าจึงลดลง ทุกวันนางจะช่วยเขานวดร่างกาย หรือไม่ก็นอนลงอยู่ข้างๆเขา ขดร่างเล่าเรื่องน่าสนใจมากมายที่นางได้พบเจอในสถานที่แห่งนี้

สองวันผ่านไป ในที่สุดเย่หวูเฉินก็สามารถยกแขนขึ้นได้ เขาลูบสัมผัสใบหน้าหนิงเสวี่ย หนิงเสวี่ยจับมือเขาที่อยู่บนใบหน้านาง ร้องไห้มากมายอีกครั้ง นางรู้ว่าอีกไม่นานจะกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อน ถูกเขากอดไว้ในอ้อมแขน เย่หวูเฉินจูบประทับน้ำตานางและรอเงียบงัน ความรู้สึกในใจมากมายกว่าหนิงเสวี่ย

แต่ละวันผ่านไป เย่หวูเฉินค่อยๆฟื้นตัวขึ้น เขาคิดว่านี่คือปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง ตกลงมาจากหุบเหวปลิดวิญญาณ ไม่รู้ว่าต้องอาศัยเทพแห่งโชคสักกี่ตน ถึงทำให้เขายังคงรักษาชีวิตอยู่ได้ แม้ว่าเขาจะไร้ซึ่งพลัง แต่ประสาทสัมผัสในร่างก็ฟื้นกลับมาทีละจุด และนั่นหมายความว่าทุกจุดที่ฟื้นฟูกลับมาย่อมไม่พิการ

นอกจากคำว่าปาฏิหาริย์ เขาก็ไม่อาจหาคำใดมานิยามได้อีก

และปาฏิหาริย์ครั้งนี้ เป็นหนิงเสวี่ยที่มอบให้กับเขา

ครึ่งเดือนผ่านไป ในที่สุดเย่หวูเฉินก็ยืนขึ้นได้ด้วยการพยุงของหนิงเสวี่ย ในช่วงเวลานั้น หนิงเสวี่ยกระโดดไปรอบๆ น้ำตาหลั่งไหลและหัวเราะร่าเริง เป็นเสียงหัวเราะที่ยาวนาน สอดรับกับสายลมละมุนที่พัดโชยมา ในที่สุด ด้วยรอยยิ้มเหน็ดเหนื่อย ทั้งนางและเย่หวูเฉินต่างล้มลงนอนบนพื้นหญ้า

หากแต่ว่า การฟื้นตัวของเย่หวูเฉินกลับหยุดอยู่เพียงเท่านี้ เขาเพียงยืนได้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ก้าวเดินแต่ละก้าวอย่างยากลำบาก ราวกับเป็นลูกโป่งที่แตกรั่ว ไม่อาจเป่าจนพองโตได้อีก เพียงพองได้นิดเดียว ลมทั้งหมดก็รั่วไหลออกจากรู

เมื่อเย่หวูเฉินค้นพบเรื่องนี้ เขาทำได้เพียงถอนหายใจยาว เขาไม่กล้าบอกกับหนิงเสวี่ย และเพียงปลอบนางว่าเขาค่อยๆอาการดีขึ้นทุกวัน

เมื่อเป็นแบบนี้ เขาคงทำได้เพียงอยู่ที่นี่ตลอดไป รับการดูแลและปกป้องจากหนิงเสวี่ยไปจนวันตาย ความจริงเช่นนี้ เขาไม่อาจยอมรับได้

หลังจากนั้นห้าวัน เขาเริ่มออกสำรวจโลกลึกลับแห่งนี้ภายใต้การช่วยเหลือของหนิงเสวี่ย

Facebook Twitter Telegram Pinterest
Heavenly Star สวรรค์มวลดาว (จบ)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Completed ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เด็กหนุ่มลึกลับผู้ลืมเลือนอดีต ตื่นขึ้นมาในทวีปเทียนเฉิน ถูกเข้าใจว่าเป็นบุตรชายตระกูลเย่ เขาจึงใช้สถานะนี้เฝ้าสังเกตโลกอันยุ่งเหยิง รวมทั้งสืบหาอดีตของตน หากแต่โชคชะตาที่ต้องประสบกลับมีเพียงความน่าหวั่นสะพรึง เขาจึงหัวเราะเยาะโชคชะตา และเผยพลังสะท้านแดนดินใต้ผืนสวรรค์.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset