หนิงเสวี่ยยื่นมือออกหมายจะเช็ดคราบน้ำที่มุมปากให้เขา กลายเป็นความเคยชินทุกครั้งที่ได้ป้อนน้ำให้เขาดื่ม เพราะว่าในอดีต เมื่อนางดื่มน้ำเสร็จเขาจะช่วยเช็ดปากให้นางทุกครั้ง หนิงเสวี่ยเพียงยื่นมือออกได้กึ่งเดียวก็พลันหยุดชะงัก จากนั้นถอนมือกลับราวกับถูกไฟช็อต นางถามกระวนกระวาย “ท่านพี่ ท่านหิวรึยัง?”
หนิงเสวี่ยถอนมือกลับรวดเร็วมาก ทว่าเพียงมองปราดเดียวก็ทำให้หัวใจและลมหายใจของเย่หวูเฉินปั่นป่วน เขาถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เสวี่ยเอ๋อร์ ให้ข้าดูมือของเจ้าหน่อย”
หนิงเสวี่ยแลมองและรีบซ่อนมือไว้ข้างหลัง ท่าทางดูตระหนก “ข้า….มือของข้าปกติดี ท่านพี่ไม่ต้องดูหรอก….”
การที่นางซ่อนมือไว้เป็นอันว่าเขาไม่ได้ตาฝาด เขากล่าวยืนยันนุ่มนวล “เสวี่ยเอ๋อร์ ฟังคำของพี่ชายเจ้าแล้วเอามือออกมา”
เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หวูเฉิน หนิงเสวี่ยไร้พลังที่จะปฏิเสธ สุดท้ายนางนำมือที่อยู่ข้างหลังออกมา แล้วค่อยๆแบออกต่อหน้าเย่หวูเฉิน
ถึงแม้ได้เตรียมใจเอาไว้ แต่เมื่อสายตาของเย่หวูเฉินกวาดผ่านฝ่ามือนาง หัวใจราวกับถูกทิ่มแทงด้วยเข็มนับพัน เจ็บปวดจนแทบไม่อาจหายใจ เขาเกือบไม่เชื่อตาว่านี่คือมือของหนิงเสวี่ย
ยังคงเป็นมือเล็กๆที่สมบูรณ์แบบ เขาเคยกุมมือน้อยๆสองข้างนี้และรื่นรมณ์กับสัมผัส มือขาวนุ่มนวลในความทรงจำ ยามนี้กลับเต็มไปด้วยปุ่มปมหนาสีเหลืองเข้ม บางจุดกระทั่งเป็นแผลพองเลือด นิ้วและฝ่ามือมีรอยแผลนับไม่ถ้วน ทั้งรอยแผลเล็กใหญ่ บ้างเป็นแผลเก่า บ้างก็เพิ่งเกิดขึ้น แผลเป็นมากมายทำลายฝ่ามือนาง เหนือข้อมือขึ้นไปก็มีแผลฟกช้ำ….
เย่หวูเฉินมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นปิดตาลงไม่อาจทนมองได้อีก เขาไม่อาจจินตนาการว่านางได้แผลมากี่ครั้งถึงมีสภาพเป็นเช่นนี้ ต้องเจ็บปวดเท่าใด ถึงจะเปลี่ยนมือบอบบางยิ่งกว่าหิมะของนาง ด้วยแผลเป็นที่ปรากฎอยู่ต่อหน้า เขารู้สึกเหมือนถูกกรีดแทงจุดอ่อนที่สุดในหัวใจด้วยใบมีดคม เจ็บปวดจนแทบอยากตาย
น่าตกใจอย่างยิ่ง….
“เจ็บมั้ย?” เย่หวูเฉินถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
หนิงเสวี่ยดึงมือกลับมา วางทาบบนร่างเขา พลางสั่นศีรษะ “ไม่เจ็บ ไม่เจ็บเลยสักนิด”
“แต่ข้าเจ็บ” เย่หวูเฉินมองยังนัยน์ตากระจ่างของนาง เจ็บปวดในใจชนิดที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน กระทั่งในคืนพระจันทร์เต็มดวง เขายังไม่เคยเจ็บปวดเท่านี้
ในโลกนี้ยังจะมีใครงดงามไปกว่าเสวี่ยเอ๋อร์ของข้า ต่อให้เทพธิดาจากฟากฟ้าก็ไม่อาจเทียบกับเสวี่ยเอ๋อร์ของข้าได้
……………………………..
หนิงเสวี่ยไปที่ป่าลึกลับอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ความรู้สึกของนางต่างไปจากครั้งก่อน สิ่งที่ยังรู้สึกเหมือนเดิมคือความเร่งร้อน เย่หวูเฉินฟื้นขึ้นมาทำให้นางไม่อยากอยู่ห่าง นางอยากหาผลไม้ให้เจอและกลับไปโดยไว ระหว่างทางกลับ นางร้องตะโกนซ้ำแล้วซ้ำอีก “ท่านพี่ของข้าฟื้นแล้ว! ท่านพี่ของข้าฟื้นแล้ว….”
แม้จะมาที่ป่าแห่งนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่นางไม่เคยกล้าเข้าไปลึก กระนั้นต้นไม้ที่อยู่ในแนวขอบป่า นางจดจำตำแหน่งได้แทบทุกต้น และสัตว์ตัวเล็กๆที่มักโผล่ออกมาก็ล้วนคุ้นเคย ยามนี้ ฝีเท้าของนางมีชีวิตชีวากว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด เมื่อนางเหยียบลงบนกองหญ้า ทันใดนั้นหญ้าก็เคลื่อนขยุกขยิก หนิงเสวี่ยตกใจและผงะถอยหลัง กระต่ายที่ตื่นตกใจกระโดดออกมาจากกองหญ้า มันพรวดทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
หนิงเสวี่ยต้องสะดุ้งอีกครั้ง กระต่ายตัวนั้นกลับวิ่งเข้าชนต้นไม้อย่างจัง มันล้มลงข้าทั้งสี่ชี้ฟ้า กระตุกอยู่สองสามจังหวะ จากนั้นไม่ไหวติง
หนิงเสวี่ยดวงตาเบิกกว้าง จ้องอยู่เป็นเวลานาน มองกระต่ายที่ไม่ไหวติงบนพื้นด้วยหัวใจเต้นรัว นางย่อกายลง ค่อยๆจิ้มกระต่ายด้วยปลายนิ้ว เมื่อเห็นมันไม่ตอบสนอง นางคว้ามันไว้แล้ววิ่งเร็วจี๋กลับมา
ตลอดเวลาสองปี นางกับเย่หวูเฉินไม่เคยมีเนื้อตกถึงท้อง เพราะสาวน้อยเช่นนางนั้นล่าไม่เป็น และต่อให้จับได้นางก็ไม่กล้าพรากชีวิตสัตว์ตัวใด ทว่าวันนี้สวรรค์กลับมอบของขวัญให้นาง เป็นกระต่ายน่าสงสารที่ฆ่าตัวตาย อนุญาตให้นางนำมันกลับไปเป็นอาหารบำรุงร่างกายของพี่ชายที่พึ่งฟื้นขึ้นมา
“ท่านพี่ ดูนี่สิ ข้าจับกระต่ายได้” จากระยะทางไกล หนิงเสวี่ยชูกระต่ายที่น่าสงสารขึ้นสูง แกว่งอยู่ในมือและยิ้มหัวเราะ นี่คือเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับนาง ทว่าเพราะวิ่งเร็วเกิน นางจึงสะดุดและล้มลงกับพื้น นางยันร่างลุกขึ้น ใบหน้ายังยิ้มด้วยความสุข
รอยยิ้มจากใจนาง ทำให้หัวใจที่ถูกทิ่มแทงของเย่หวูเฉินรู้สึกดีขึ้นตาม เขาลอบขอบคุณกระต่ายในมือนางที่ไม่ทราบว่าถูกจับได้อย่างไร สำหรับเขาแล้ว รอยยิ้มของหนิงเสวี่ยคือฉากที่งดงามที่สุดในชีวิต
หนิงเสวี่ยวิ่งมาอยู่ข้างเขา เล่าอธิบายที่มาของกระต่ายอ้วนพีในมือด้วยความสุข “ท่านพี่ ดูสิ ฮี่ๆ กระต่ายตัวนี้ไม่ฉลาดเลย มันวิ่งชนต้นไม้เอง ไม่ฉลาดเลย!”
วิ่งชนต้นไม้? เย่หวูเฉินรู้สึกขบขันอยู่ในใจ เขานึกถึงสุภาษิตหนึ่งขึ้นมาได้ “เฝ้าต้นไม้รอกระต่ายวิ่งมาชน”
“ท่านพี่ พวกเรากินกระต่ายตัวนี้ได้รึเปล่า?” นางยิ้มย่อง ทว่าเมื่อคิดถึงเรื่องหนึ่งได้ นางพลันเม้มริมฝีปาก ท่าทางดูกังวล “แต่ว่า พวกเราไม่มีไฟ แล้วจะเอากระต่ายตัวนี้ทำอาหารได้ยังไง….”
เย่หวูเฉินขยับนิ้วมือข้างซ้าย “เสวี่ยเอ๋อร์ ข้ามีทั้งไฟ , มีหม้อ , มีเตาถ่าน , มีทุกอย่าง เสวี่ยเอ๋อร์ลืมไปแล้วหรือ?”
แหวนเทพกระบี่ในนิ้วมือซ้ายเปล่งแสงสีขาว มีกล่องที่ใช้ก่อไฟ , หม้อ , ช้อน , และเตาถ่าน มีกระทั่งกิ่งไม้แห้งจำนวนมากที่ยังไม่ได้ใช้ ทุกอย่างเหล่านี้ล้วนถูกเตรียมเมื่อครั้งเดินทางไปภูเขาไฟเทียนเม่ยแห่งอาณาจักรเทียนหลง มันถูกใช้อยู่ตลอดระหว่างทาง และเก็บไว้ในแหวนเทพกระบี่ตลอดเวลา นอกจากนั้น ยังมีเตียง , กระโจม , และอาหารอีกหลายอย่างที่ยังไม่ถูกกิน การเรียกสิ่งของออกจากแหวนเทพกระบี่จะใช้เพียงความคิดเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้พลังใดๆ
ทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าช่างคุ้นเคย หลังจากความปิติยินดีของหนิงเสวี่ย จมูกนางก็เริ่มแดง ไม่เพียงนางคิดถึงอ้อมแขนของพี่ชาย ในใจของนาง ยังคิดถึงคนอื่นๆ…. แต่ชั่วชีวิตนี้ นางไม่อาจได้พบกับคนเหล่านั้นอีก หุบเหวปลิดวิญญาณได้แยกโลกของพวกนางออกจากกัน ไม่อาจกลับไปพบกัน
ในที่สุดหนิงเสวี่ยก็ได้เห็นสีสันแห่งเปลวไฟอีกครั้งเมื่อก่อไฟขึ้นมา บนพื้นเป็นสนามหญ้าเขียว ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวไฟลุกลาม หากแต่หลังจากที่ก่อไฟเสร็จ หนิงเสวี่ยถือกระต่ายไร้ชีวิตอีกครั้งด้วยความลังเล เพราะไม่ว่าจะย่างหรือต้ม อย่างไรเสียก็จำเป็นต้องลอกผิวของมันออกก่อน หนิงเสวี่ยยังไม่ได้ทำ และดูเหมือนแทบเป็นไปไม่ได้ที่นางจะทำ แม้ว่านางสามารถกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ทุกๆครั้งผู้ที่ลอกหนังสัตว์ออกก็คือเย่หวูเฉิน นางไม่กล้าแม้แต่จะมอง
เย่หวูเฉินเดาออกได้ทันทีว่านางคิดอะไรอยู่ เขากล่าวด้วยความสงสาร “เสวี่ยเอ๋อร์ ไว้ข้าฟื้นพลังแล้วเราค่อยมากินกระต่ายกันดีไหม? ในนี้ยังมีขนมอบและขนมปังอีกมากให้พวกเรากิน”
หนิงเสวี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทว่านางส่ายศีรษะช้าๆและยืนกราน นางหิ้วกระต่ายด้วยหนึ่งมือ อีกมือหนึ่งถือมีดและเดินตรงไปที่ลำธาร
เมื่อนางจ่อมีดไปที่ร่างของกระต่าย มือของนางสั่นแล้วสั่นอีก นางไม่กล้ากดใบมีดลง หลังจากผ่านไปนานมาก นางกัดฟันและทิ่มมีดลงไปพร้อมกับหลับตา
“ข้าขอโทษ เจ้ากระต่ายน้อย ร่างกายของพี่ชายข้าต้องการสารอาหาร ข้าจำเป็นต้องทำร้ายเจ้า….”
“เจ้ากระต่ายน้อย ข้าขอโทษ ข้าขอโทษจริงๆ…..”
นางอดกลั้นต่อความรู้สึก ใบมีดกรีดลงไปบนร่างกระต่าย หลังจากผ่านความกลัวสูงสุดในคราแรก ถัดจากนั้นหัวใจนางถึงค่อยสงบลงบ้าง แต่มือยังคงสั่นเทา และนางเกือบทำมีดบาดมือตัวเองหลายครั้ง ปากของนางก็กระซิบพึมพำบอกกระต่ายน้อยซ้ำๆว่า “ข้าขอโทษ” มีเพียงต้องกล่าวแบบนี้ หัวใจนางถึงจะค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง
ได้ยินเสียงพึมพำของหนิงเสวี่ย เย่หวูเฉินเรียกชื่อนางแผ่วเบา ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเขา หนิงเสวี่ยคงไม่วันกล้าให้เลือดเปื้อนมือ แม้ว่านั่นจะเป็นกระต่ายที่ตายไปแล้วก็ตาม
เมื่อจัดการกระต่ายเสร็จ หนิงเสวี่ยก็เหงื่อท่วมไปทั่วร่าง นางใส่กระต่ายลงในหม้อและเติมน้ำลงไป จากนั้นเติมเครื่องปรุงตามคำแนะนำของเย่หวูเฉิน เมื่อเนื้อกระต่ายสุกดี หนิงเสวี่ยไม่อาจห้ามน้ำลายให้หยุดไหล แม้เมื่อนางกลืนน้ำลายลงคอ มันก็ยังคงสออยู่ตรงมุมปาก เป็นเวลานานเกินไปที่นางไม่ได้ทานอาหารคาว
“ท่านพี่ ท่านว่าตอนนี้พี่สาวกับพี่ทงซินกำลังทำอะไรอยู่? พวกนางจะคิดถึงพวกเราไหม?” หนิงเสวี่ยถามขณะกลืนน้ำลาย
เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกนางต้องคิดถึงพวกเราแน่ เหมือนกับที่พวกเราคิดถึงพวกนาง พี่ทงซินของเจ้ายังแข็งแกร่ง ย่อมไม่มีใครรังแกพวกนางได้”
ทว่าเมื่อพูดถึงพวกนาง หัวใจของเย่หวูเฉินก็หนักอึ้งอีกครั้ง สถานการณ์จริงจะเป็นอย่างไร เขาไม่อาจคาดคำนวณ ในวันที่เขากระโดดลงจากหุบเหวปลิดวิญญาณ กลิ่นอายของทงซินอ่อนล้าแทบไม่ต่างจากเขา ด้วยตัวตนเช่นนาง กลับสามารถบีบคั้นให้นางดิ้นรนด้วยความเป็นตายได้ ศัตรูของนางย่อมแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
นางตกอยู่ในภาวะที่ไม่ต่างจากเขา ถูกบีบต้อนปิดตาย แล้วในอาณาจักรต้าฟง เย่ฉุ่ยเหยาที่รอเขาอยู่จะเป็นอย่างไร….
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ในใจเต็มไปด้วยความสับสน เขาเค้นสมองคิดว่าบุคคลปานใดที่บีบบังคับให้ทงซินต้องตกอยู่ในภาวะสิ้นหวัง ทั้งทรงพลังอย่างยิ่ง ด้วยการปรากฎตัวของบุคคลผู้นี้ ทำให้ทงซินต้องละจากหนิงเสวี่ย ทำให้หนิงเสวี่ยถูกอาณาจักรต้าฟงจับตัวไป และทำให้เปลี่ยนเรื่องราวทั้งหมด
บุคคลผู้นั้นเป็นใครกันแน่? เมื่อไหร่กันที่ทวีปเทียนเฉินมีตัวตนที่ทรงพลังน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้?
หรือว่าบุคคลผู้นั้น…..ไม่ได้มาจากทวีปเทียนเฉิน เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา หัวใจของเย่หวูเฉินก็สั่นสะท้านทันที ความเป็นไปได้นี้ยิ่งมายิ่งกระจ่างชัดในจิตใจ