ท้องฟ้ายังไม่ทันย่างเยือนเข้าสู่ความมืด ดาวตกก็พุ่งลงมาบนท้องฟ้าทางทิศตะวันตก ฉู่ชางหมิงลุกขึ้นจากตอไม้ ขมวดคิ้วมุ่นขณะมองไปยังทางทิศตะวันตก
“พวกเจ้าทั้งสองมานี่” เขาไม่ได้หันไปมอง เพียงตะโกนด้วยน้ำเสียงล้ำลึก
ฉู่จิงเทียนและเล่งหยาร่างชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เมื่อได้ยินเสียงตะโกนก็โดดทะยานร่างเข้ามาตามกัน ฉู่จิงเทียนปาดเหงื่อออกจากใบหน้าและบ่นกับเล่งหยาเสียงเบา เล่งหยาไม่ได้กล่าวคำใดเพียงมุ่นคิ้วและจ้องมอง เขามายังที่แห่งนี้ได้เดือนครึ่งแล้ว รู้สึกถึงความก้าวหน้าอย่างมาก แม้ว่าฉู่ชางหมิงจะเป็นเทพกระบี่ แต่เขาไม่เคยสอนวิชากระบี่ใดๆ การฝึกของฉู่จิงเทียนมุ่งไปที่การผสานระหว่าง รังสีกระบี่ , ปราณกระบี่ , วิถีกระบี่ และ “เคล็ดเทพกระบี่” อันทรงพลังไร้ขอบเขต และสำหรับเขา….ฉู่ชางหมิงได้บอกเขาว่า เขาไม่จำเป็นต้องใช้รูปแบบใดๆ เพราะเขามีทักษะเฉพาะตัวอันยิ่งใหญ่มาตั้งแต่เกิด สิ่งที่เขาจำเป็นต้องมีคือความเร็ว , ความแม่นยำ , ความโหดเหี้ยม และเพียงหนึ่งการจู่โจมสังหาร เขาจะสามารถทำลายส่วนใดๆที่เขาต้องการ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร
แม้ว่าจะเป็นเพียงคำธรรมดาสามคำ แต่มันได้สร้างเป้าหมายให้กับเขา และเขาเข้าใจลึกซึ้งถึงจุดสำคัญของคำทั้งสาม
ทั้งสองยืนอยู่สองข้างของชายชรา มองไปที่เขาด้วยความสงสัย ชายชราเคลื่อนสายตาหยุดมองที่หน้าของเล่งหยา เขากล่าว “สหายเก่าแก่ตายแล้ว ข้าเหนื่อย….พวกเจ้าไปพักได้”
“สหายเก่า?” ฉู่จิงเทียนเกาศีรษะ จากนั้นถามด้วยความสงสัย “ท่านปู่ ท่านมีสหายเก่ากับเขาด้วยหรือ? แปลกจริงๆ ท่านไม่เคยออกไปจากที่แห่งนี้ แล้วท่านรู้ได้ยังไงว่าสหายเก่าของท่านตายแล้ว?”
ชายชราถอนหายใจเปล่าเปลี่ยว ราวกับเหนื่อยหน่ายกับความเปลี่ยนแปลงในโลกมนุษย์ “ฟงเฉาหยางตายแล้ว”
เล่งหยาร่างกายแข็งค้าง
“โอ้! ฟงเฉาหยาง? เอ๋? ฟงเฉาหยาง!?” ฉู่จิงเทียนจ้องมองว่างเปล่าครู่หนึ่งด้วยความหัวทึบ จากนั้นหันขวับไปมองเล่งหยาที่อยู่ด้านข้างไม่รู้ตัว กระนั้นเขาก็ยังเห็นสีหน้าที่สงบเหมือนเช่นทุกครา ไม่มีอาการใดที่ควรปรากฎในเวลานี้แม้แต่น้อย
ฉู่จิงเทียนแตะจมูกตัวเอง จากนั้นลอบกล่าว “เจ้าหมอนี่เป็นคนบ้าโดยแท้ บิดาตนเองตายยังไม่มีอาการแบบคนดีๆเขาเป็น…. แต่ว่าบิดาเขาอายุเกือบเท่าปู่ของข้า ทั้งยังเป็นสหายเก่าแก่กัน ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ข้าเป็นรุ่นเยาว์กว่าเขาหนึ่งรุ่น ไม่ดีแล้ว….ไม่ดีแล้ว!”
“พวกเจ้าไปพักกันก่อน อย่าได้รบกวนข้า” ชายชราโบกมืออย่างอ่อนแรง
“ท่านปู่คนนั้น ฟงเฉาหยาง….อา ไม่สิ อาวุโสเทพสงครามเป็นผู้มีพลังร้ายกาจถึงเพียงนั้น ยังมีคนที่แข็งแกร่งถึงขนาดเอาชนะเขาได้อยู่อีกเหรอ?” ฉู่จิงเทียนถามด้วยความสงสัยอย่างอดไม่ได้
ฉู่ชางหมิงราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขานั่งลงและปิดตา เพียงพริบตากลิ่นอายของเขาก็หายไปหมดสิ้น บนตอไม้นี้เป็นสถานที่ที่เขาใช้ในการหลับ และยังเป็นวิธีที่เขาใช้เพิ่มพูนพลังให้กับตนเอง เขาต่างจากฟงเฉาหยางผู้ปกป้องตระกูลฟง เป็นเวลาหลายปีที่เทพกระบี่ไม่เผยตัวออกมา และเขาไม่เคยหยุดยั้งการบ่มเพาะพลัง ตอนนี้ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพลังของเขาไปถึงขั้นไหนแล้ว กระทั่งตัวเขาเองยังไม่รู้ เนื่องจากเป็นเวลานานหนักหนาที่เขาไม่ได้ต่อสู้อย่างจริงจัง
เล่งหยาหันร่างแล้วจากไป กลับไปยังกระท่อมมุงหลังเล็ก…. กระท่อมเล็กหลังนี้ เย่หวูเฉินกับหนิงเสวี่ยเคยอาศัยอยู่ด้วยกัน ที่พื้นยังคงเปียกชื้น และยังมีเตียงไม้แข็งอยู่
พอถูกเมินเฉยฉู่จิงเทียนเลยได้แต่กลับไปยังห้องของตัวเอง แม้จะนอนบนเตียงแข็งแต่ก็รู้สึกสบายร่างกายจนแทบลอยได้ เขาปิดตาลงในชั่วพริบตา ด้วยเสียง “โฮ่ โฮ่” เขาตกลงสู่นิทราหลับไหล ทุกวันเขาจะตื่นก่อนรุ่งสางด้วยพลังกดดันของปู่ ฝึกฝนทักษะกระบี่โดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน การหลับนอนคือความสุขที่สุดในชีวิตเขา
ในระหว่างกลางดึก ฉู่จิงเทียนตื่นขึ้นมาด้วยแรงดันปัสสาวะที่ขัดจังหวะฝันหวาน ฝันว่าได้ออกไปยังโลกภายนอก ผูกมิตรสหายมากมายจากหลายดินแดน ได้รับยกย่องชื่นชมในการผจญภัยอันกล้าหาญ เขาลืมตาครึ่งเดียว พึมพำไม่เป็นภาษาคน จากนั้นค่อยๆขยับลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
เดินออกจากกระท่อม เขาเดินออกไปได้เล็กน้อยก็เห็นร่างบุคคลปรากฎอยู่เบื้องหน้า จิตใจพลันตื่นขึ้นทันที ดวงตาจ้องกว้างไปยังบุคคลนั้น ด้วยแสงจันทร์รางเลือน เขามองเห็นได้ชัดเจนว่าคนผู้นี้คือเล่งหยา เวลานี้เขากำลังถือแผ่นไม้ยาวอยู่ในมือ ปากกล่าวบางอย่างด้วยเสียงแผ่วเบา จิตใจเหม่อลอยไม่ตระหนักรับรู้ถึงคนที่เข้ามาใกล้
ฉู่จิงเทียนพลันสงสัยใคร่รู้ เขาเดินย่องเงียบๆด้วยปลายเท้าไปซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เงี่ยหูตั้งใจฟังในสิ่งที่เขากล่าวด้วยความสงสัย
“…….ท่านถูกเรียกว่าเป็นเทพสงคราม ทุกผู้คนต่างเรียกท่านว่าเทพ แต่สุดท้ายแล้วท่านก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง ที่จะต้องตายในสักวัน ตอนที่ท่านอายุสามขวบ ท่านคุกเข่าอยู่บนถนนเพราะบิดามารดาของท่านถูกสังหาร เวลานั้นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรต้าฟงผ่านทางมาพอดี ด้วยความสงสาร เขาสั่งให้คนฝั่งร่างบิดามารดาของท่าน…..นั่นคือปู่และย่าของข้าเช่นกัน หลังจากนั้นจักรพรรดิได้ให้ท่านกินจนอิ่ม และในวันนั้น ตัวท่านในวัยสามขวบได้ตั้งสัตย์สาบานว่าจะตอบแทนความเมตตาในครั้งนี้ จะกลายเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้า เพื่อที่จะปกป้องผู้มีพระคุณ…..”
“ในตอนนั้นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรต้าฟงได้แต่หัวเราะ แต่ผลจากวันนั้น ท่านได้กลายเป็นเทพสงคราม กลายเป็นชายที่แข็งแกร่งที่สุดและเข้าไปหาตระกูลฟงด้วยตนเอง สาบานว่าจะปกป้องตระกูลฟงทั้งหมด ท่านได้ทำมัน…ให้ความสำคัญกับสัตย์วาจา ให้ความสำคัญกับเกียรติและความชอบ…. แต่ระหว่างเรื่องนี้ทั้งหมด ท่านกลับละเลยเพิกเฉยต่อครอบครัวตนเอง”
ฉู่จิงเทียนไม่เคยได้ยินเล่งหยากล่าววาจามากมายเพียงนี้มาก่อน ยิ่งกว่านั้นยังเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องราวในอดีตของฟงเฉาหยาง เป็นเวลาครู่หนึ่งที่เขาจ้องมองโง่งม เล่งหยายังคงกล่าวต่อโดยไม่ทันสังเกตถึงตัวตนของเขา
“เมื่อตอนที่ท่านอายุได้ 40 ปี เพราะการเดิมพันครั้งหนึ่งที่ว่าท่านจะมีทายาทของตนหรือไม่ ทำให้ท่านต้องทุกข์ทรมานด้วยถูก ‘หยกจิตกำหนัด’ ของสตรีหิมะ ในช่วงเวลาที่ท่านไม่อาจหลุดพ้นอำนาจของมัน ท่านถูกบีบให้ต้องขืนใจมารดาผู้ไม่รู้เรื่องราวและน่าสงสารของข้า และผลลัพธ์ก็คือข้า และเพราะตัวข้าท่านถึงได้แพ้เดิมพันด้วยมีทายาท….”
“ท่านรู้สึกละอาย ท่านไม่กล้าสบตามารดาของข้าโดยตรง และท่านไม่เคยมองตรงมาที่ดวงตาข้า ในปีนั้นเมื่อข้าอายุ 10 ขวบ ด้วยเพราะมารดาข้าไปเห็น ‘บางสิ่งที่นางไม่สมควรได้เห็น’ ท่านจึงทำลายดวงตาของนางอย่างทารุณ จากนั้นบีบบังคับให้นางจากไป นับตั้งแต่ตอนนั้น ความเกลียดชังที่ข้ามีต่อท่านยิ่งเพิ่มทวีขึ้นทุกวัน ไม่มีผู้ใดรู้ เพื่อมารดาของข้า ข้าทุ่มเทฝึกฝนเพิ่มพูนพลังเพียงเพื่อต้องการล้มท่านให้ได้ แต่มารดาผู้โง่เขลาของข้ากลับไม่เคยเกลียดท่าน ไม่ว่าท่านจะขับไล่ไสส่งนางเพียงใด นางก็ยังดิ้นรนเพื่อให้ได้อยู่ข้างท่าน ไม่สนใจศักดิ์ศรีของตนเอง โดยคาดหวังว่าท่านจะเปลี่ยนใจ…..”
เล่งหยาถอนหายใจยาว มองแผ่นไม้ในมือที่ถูกสลักไว้ “ข้าเกลียดท่านอย่างแท้จริง เกลียดจนกระทั่งถึงตอนนี้ ที่ข้าเกลียดไม่ใช่เพราะท่านเมินเฉยต่อข้า แต่เป็นวิธีที่ท่านปฏิบัติต่อมารดา ข้ารู้เหตุผลมาตลอดว่าเหตุใดท่านถึงทำเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะท่านเป็นผู้ไร้ความเป็นคน แต่เพราะท่านจริงจังอย่างยิ่งกับสัตย์สาบาน ท่านต้องการปกป้องอาณาจักรต้าฟงเท่านั้น ไม่ต้องการมีห่วงกังวลอื่น ข้าสาปแช่งท่าน แต่ท่านก็เพียงหลบเลี่ยง ข้าทุบตีท่านใช้กระบี่ฟาดฟัน แต่ท่านไม่เคยตอบโต้กลับมา ข้าขโมยกระบี่คร่าสายลมของท่าน ทั้งที่ท่านรู้ดีแต่กลับทำเป็นไม่รู้เรื่องราว แม้ว่าท่านปกปิดมันไว้มิดชิด แต่ในแววตาของท่านนั้น ข้าสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดและสำนึกเสียใจ….. ข้ารู้ และรู้มาตลอดว่าท่านไม่เคยปฏิบัติต่อมารดาข้าในฐานะภรรยา กระทั่งกับบุตรชายตัวเอง”
ทันใดนั้นเล่งหยาคุกเข่าลง หนักหน่วงจนเข่าจมลงลึกลงในผืนดิน เขายื่นมือสองข้างออกมา ขุดผืนดินที่เย็นเยียบเป็นน้ำแข็ง นำแผ่นไม้ที่สลักคำว่า ‘บิดา : ฟงเฉาหยาง’ วางลงไปและฝังไว้ใต้ผืนแผ่นดิน “…..แม้ว่าท่านไม่เคยปฏิบัติต่อข้าให้ในฐานะบุตรชาย แต่ท่าน….ยังคงเป็นบิดาของข้า จริงๆแล้ว….ท่านคงไม่เคยรู้เลย ถึงแม้ข้าจะเกลียดท่าน เกลียดวิธีที่ท่านทำกับมารดา แต่ข้ายังคงรู้สึกภูมิใจที่มีบิดาเช่นท่าน ตอนนี้ท่านได้ตายลงแล้ว จากไปตลอดกาล ชั่วชีวิตท่านไม่เคยมีศัตรูใด ความตายของท่านย่อมเป็นผลจากอาณาจักรต้าฟง ตายเพราะสัตย์สาบานที่ให้ไว้ และท่านย่อมไร้ซึ่งความเสียใจ ดังนั้น….ในฐานะบุตรชายของท่าน ข้าจะไม่แก้แค้น เพราะนั่นถือเป็นการเหยียบย่ำเกียรติภูมิของเทพสงคราม สิ่งสุดท้ายที่ข้าสามารถทำให้ท่านได้ คือส่งท่านจากไป เพราะว่า….ข้าคือบุตรชายเพียงคนเดียวของท่าน เป็นญาติของท่านเพียงคนเดียว….
เขาเป็นญาติเพียงคนเดียวของเทพสงคราม เป็นคนๆเดียวที่จะสามารถส่งเขาจากไปได้….และมารดาของเขา ไม่ได้ถูกบิดาเขานับเป็นภรรยา
“มารดาข้าดวงตากลับมามองได้อีกครั้ง นางอาศัยอยู่ในเมืองเทียนหลง ไม่ต้องห่วงกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า นางไม่ต้องกินสายลมและดื่มน้ำค้างกับข้าแล้ว ข้าได้พบเส้นทางของตัวเอง รวมถึงสิ่งที่ข้าจำเป็นต้องทำ ท่าน…สามารถจากไปได้อย่างวางใจ ชั่วชีวิตท่านถูกลิขิตให้เดียวดายเพราะสัตย์สาบาน ข้าหวังว่าในชีวิตหน้าของท่าน ท่านจะใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง เพื่อญาติและคนที่อยู่รอบกาย”
เล่งหยาใช้มือดันดินกลบฝังแผ่นไม้ เขากล่าวเสียงเบา “ข้าคือบุตรแห่งเทพสงคราม ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องเสียชื่อ เป้าหมายของข้าคือก้าวผ่านท่าน….ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าจะต้องก้าวข้ามท่านให้ได้”
ฉู่จิงเทียนที่เงียบฟังมาตลอด ยามนี้เขาเริ่มรู้จักตัวตนของชายคนนี้ ปกติเขาใช้ใช้สีหน้าเย็นชาอยู่ตลอดเวลา ประหยัดคำพูด เหมือนแทบไร้อารมณ์ ราวกับว่าผู้คนทั้งโลกเป็นศัตรูกับเขา ตอนนี้ฉู่จิงเทียนถึงได้รู้ว่า บุคคลิกของเขาเกิดจากการถูกเพิกเฉยจากคนในครอบครัว รวมทั้งความเกลียดชังอันซับซ้อน ไม่ใช่เพราะนิสัยเหี้ยมโหดของเขา แต่เป็นเพราะเขาปิดกั้นตัวเองเป็นเวลานาน เผชิญหน้ากับผู้คนด้วยความเย็นชา เขาต้องการที่จะกลายเป็นหมาป่า แต่เขาไม่ได้ถูกลิขิตให้เป็นหมาป่าตัวจริง แต่เป็นมนุษย์ตัวจริงที่เปี่ยมด้วยอารมณ์
เขาเกลียดบิดาของเขา แต่ส่วนลึกที่สุดในหัวใจยังคงเครพบิดาดุจเทพผู้นี้อย่างสูงสุด ปรารถนาความรักจากบิดา แต่เมื่อความปรารถนากลายเป็นความผิดหวัง มันจึงค่อยๆเปลี่ยนเป็นความหมดหวังและสิ้นคิด เขาปิดกั้นอารมณ์ของตนเอง แบกความชิงชัง พามารดาตนจากไปห่างไกล วันนี้บิดาเขาตายลงแล้ว สุดท้ายเขาก็เผชิญหน้ากับบิดาผู้ล่วงลับและเผยความรู้สึกออกมา วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะเรียกฟงเฉาหยางว่า “บิดา” หลังจากวันนี้ บิดาเขาจะปรากฎอยู่ในเพียงความทรงจำ กลายเป็นเป้าหมายและเหตุผลที่จะต้องแข็งแกร่งขึ้น
เล่งหยาโขกคำนับกับพื้นอย่างรุนแรงสามครั้ง นี่คือครั้งแรกที่เขาคำนับต่อบิดา และมันจะเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน เมื่อเขาลุกขึ้นจากพื้น สายตาที่พร่ามัวได้กลับสู่สายตาเย็นชาตามปกติ ทันใดนั้นหูของเขาขยับ เขาหันไปด้านข้างทันที เพียงหนึ่งก้าวเท้าทะยาน มือของเขาก็ราวกรงเล็บอินทรีย์ซัดใส่ตำแหน่งที่ฉู่จิงเทียนซ่อนอยู่
ก่อนหน้านี้ความคิดของเขาล่องลอยอยู่ ทำให้ไม่ทันสังเกตฉู่จิงเทียน แต่ตอนนี้เมื่อเขากลับมาเป็นเล่งหยาตามปกติ เขาพลันสัมผัสได้ว่าที่หลังต้นไม้ใหญ่มีเสียงลมหายใจแผ่วเบา
ฉู่จิงเทียนรู้ว่าเขาถูกพบตัวแล้ว เขารีบออกมาทันที โบกไม้โบกมืออย่างตระหนกขณะกล่าว “ข้าเอง ข้าเอง….”
มือของเล่งหยาไม่ได้หยุด ไม่สนใจสิ้นเชิงว่าเป็นใคร เขาคว้าจับลำคอทันที ฉู่จิงเทียนใช้นิ้วต่างกระบี่ ใช้เคล็ด “ลมล้อม” ปัดมือเขาออก มืออีกข้างจับข้อมือเล่งหยาไว้แน่น ใช้ความเร็วสูงสุดรีบอธิบาย “อย่า อย่าตีข้า หากเจ้ารบกวนการหลับของท่านปู่จะต้องไม่ดีแน่ ข้ารู้ว่าเป็นความผิดข้าเองที่แอบฟัง แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ อีกอย่างพวกเราเป็นสหายกัน แค่บังเอิญได้ยินไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”
ระหว่างช่วงเวลาที่ได้คลุกคลี เขารู้ดีว่าเมื่อเล่งหยาบ้าคลั่งนั้นน่ากลัวเพียงใด สิ่งแรกที่ต้องทำคือสงบจิตใจเขาลงก่อน