เขาโน้มกายไปข้างหน้า ในที่สุดก็วางหนิงเสวี่ยลง เขาได้รับพลังที่ใช้ปกป้องหนิงเสวี่ยไว้ตลอดกลับคืนมา เพียงเสี้ยววินาทีนั้นดวงตาเขากลายเป็นเย็นเยียบน่ากลัว จ้องคลื่นมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้า ทั้งดวงตาและหลังมือซ้าย ปรากฎแสงสีแดงสว่างจ้าน่าตกใจ….
กองทหารม้าที่ไล่มาบ้าคลั่งจู่ๆก็เริ่มรู้สึกว่าอากาศแห้งและร้อนขึ้น และทันทีกลายเป็นร้อนแผดเผา ความเปลี่ยนแปลงยิ่งยวดฉับพลัน ในเพียงเวลาแค่อึดใจเดียว ขณะถัดมาท้องฟ้าที่มืดอยู่พลันเปล่งแสงสีแดงลุกลามขยายออก สะท้อนแสงแดงจางลงมายังผืนหล้า พวกเขาต่างแหงนศีรษะมอง แปลกใจกับท้องฟ้าที่กลายเป็นสีแดงโดยไม่ทราบสาเหตุ ราวเมฆแดงที่ปรากฎในยามเย็น
หากขณะแรกมันเป็นเมฆแดง พริบตาต่อมามันกลายเป็นถ่านไม้ไหม้แดงฉาน อากาศบิดเบือนกดทับทั่วปฐพี ม้าศึกทั้งหมดหยุดวิ่งและเคลื่อนไหวกระวนกระวาย ไม่ว่าเหล่าทหารจะเอ็ดตะโรดุม้าสักเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ระหว่างนี้เอง สายลมและมวลเมฆได้แปรเปลี่ยน เพลิงปะทุลุกท่วมทั่วท้องฟ้า ราวอุกกาบาตลงมาจากนอกโลก พาพลังทำลายล้างร่วงลงจากเวหา พร้อมปะทะฝูงชนที่เริ่มแตกตื่นอยู่ใต้ฟ้า
อัคคีท่วมฟ้าบดบังกองทหารม้าทั้งหมด และยังครอบคลุมทหารประจำเมืองที่อยู่ด้านหลังอีกครึ่งทัพ พวกเขาล้วนแหงนศีรษะมอง ในรูม่านตามวลอัคคีค่อยๆใหญ่ขึ้น มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ…. เป็นแสงสว่างเจิดจ้าที่สุดที่พวกเขาเคยเห็นในชีวิต
อัคคีร่วงใส่ผืนพสุธา เกิดขุมนรกเพลิงกว้างหลายร้อยเมตร ทั้งมนุษย์และอาชากรีดร้องทรมาน เกลือกกลิ้งไปรอบๆและวิ่งหนีอยู่ในทะเลเพลิง…. ผืนเพลิงท่วมผืนโลก เสียงโหยหวนดังก้องสนั่นฟ้า กังวาลไกลไปถึงเมืองเทียนฟง สร้างบรรยากาศขนลุกสะพรึงไปทั่วทั้งเมือง ผู้คนพากันออกมานอกบ้าน มองโง่งมยังแสงเจิดจ้าในทิศตะวันตก และฝนอัคคีที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
อัคคีร่วงจากฟ้าสืบเนื่องเหมือนไม่มีวันจบ แสงเปลวเพลิงสะท้อนเงาแดงบนหน้าซีดขาวของเย่หวูเฉิน เขาหัวเราะเย้ยหยันอีกครั้งด้วยใบหน้าน่าเกลียด เย้ยหยันที่พวกเขาต้องมีสภาพอเนจอนาถ
“งดงามมาก…. ฝนอุกกาบาตที่ท่านพี่สร้างขึ้นมา ช่าง….งดงามจริงๆ” หนิงเสวี่ยจ้องมองโง่งมไปที่ท้องฟ้า เวลานี้ในโลกของนางเพียงต้องการพิงร่างแนบชิดพี่ชาย ฝนอุกกาบาตงามไร้ที่เปรียบราวกับมาจากอวกาศภายนอก ไม่อาจได้กลิ่นเหม็นไหม้หรือเสียงร้องทรมานที่ชำแรกเสียดโสต นางรู้ว่าบางทีนี่อาจจะเป็นฉากสวยงามครั้งสุดท้ายในชีวิตของพวกตน สามารถชื่นชมร่วมกับพี่ชาย นางล้วนพึงใจไร้ซึ่งความเสียใจ
เพลิงวิบัติสิ้นหวังยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง เหี้ยมผลาญชีวิตนับไม่ถ้วน ผู้ที่ครอบครองพลังเวทย์ทั่วทั้งทวีปเทียนเฉินมีอยู่น้อยนิด ยิ่งยอดฝีมือไร้ต้านที่สามารถสร้างเวทย์ทรงพลังยิ่งหาได้ยากยิ่ง แต่พวกเขาทั้งหมดย่อมกลายเป็นวิบัติในสนามรบ เย่หวูเฉินใช้พลังสุดยอดสร้าง “ฝนอุกกาบาตจากอวกาศภายนอก” เขาลดพลังทำลายและขยายวงกว้าง แผดเผาลงมาอย่างไร้หัวใจ….
บนหอสังเกตการณ์สูงตระหง่าน ไม่ต้องใช้กล้องส่องทางไกลเขาก็มองเห็นผืนเพลิงสว่างจ้าได้ชัดเจน เวลานั้น หัวใจของฟงเลี่ย, ลำคอ…รวมทั้งทั่วร่างกายเหมือนถูกบางอย่างอุดอั้นอยู่ อึดอัดจนไม่อาจหายใจ ไม่อาจเปล่งเสียงได้ กระทั่งจะสั่นยังไร้เรี่ยวแรง
“ข้าไปปลุก….ศัตรูแบบใดขึ้นมา….”
เมื่อเขายังหนุ่มเขาได้ต่อสู้ในสมรภูมิด้วยตนเอง ไฉนจะไร้ประสบการณ์กับเวทย์ทำลายล้าง ทว่าเขาไม่เคยพบเวทย์ทำลายล้างที่ทรงพลังขนาดนี้มาก่อน หลังจากที่สั่นเทา เขารู้สึกยินดี…ดีใจว่าเป็นเพราะเย่ฉุ่ยเหยา จึงทำให้เย่หวูเฉินเผยพลังตัวเองออกมา ไม่เช่นนั้นหากหลังจากนี้ไม่กี่ปีหรืออีกสิบปี ไม่เพียงอาณาจักรต้าฟงของเขาเท่านั้น แต่ทั่วทั้งทวีปเทียนเฉินจะมีใครหยุดยั้งเขาได้
ทุกคนล้วนเห็นกับตาว่าเย่หวูเฉินถูกบีบให้อยู่ชิดขอบเหวปลิดวิญญาณ ระหว่างความสิ้นหวังนี่คือแสงสว่างครั้งสุดท้ายของเขา เจิดจ้าจนผู้คนไม่อาจมองมันโดยตรง
ด้วยเสียง “ตุบ” เย่หวูเฉินหัวเราะเย็นชาและทรุดร่างลงพื้น ไร้การขยับเคลื่อนไหวใดๆอีกต่อไป แสงสีแดงที่ระยับบนร่างได้สลายหมดสิ้น ร่างของเขาเย็นเยียบราวน้ำแข็ง หนิงเสวี่ยจับมือเขาไว้มั่นไร้ความเกรงกลัวและไร้น้ำตา มีเพียงความอบอุ่นที่แทบละลายหัวใจ
ตามติดการทรุดลงของเย่หวูเฉิน ฝนอุกกาบาตที่ปกคลุมท้องฟ้าก็หยุดในที่สุด หากแต่ทะเลเพลิงยังคงลุกไหม้ เสียงโหยหวนทรมานได้จางลง คนจำนวนมากไม่อาจทนทรมานในเพลิงผลาญ พวกเขาฆ่าตัวตายโดยปาดคอตัวเอง ท่ามกลางกองทัพที่แตกตื่นโกลาหลคือคลื่นคนที่ปั่นป่วน แม้พวกเขาต้องการหลบหนี แต่ไหนเลยจะมีเส้นทางให้หนีออกไป กลับกันพวกเขาถูกเหยียบย่ำด้วยฝูงม้าที่แตกตื่น
ความร้อนแผดเผาค่อยๆบรรเทา แสงสว่างของเปลวเพลิงเริ่มอ่อนโทรม หายนะครั้งนี้ได้ถอนคมเขี้ยวกลับในที่สุด แต่สำหรับเหล่าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ฉากอันน่าตะลึงและชายหนุ่มที่ร่างชุ่มไปด้วยโลหิตยังคงกอดเด็กหญิงเอาไว้ในแขน ชั่วชีวิตจะไม่มีวันลบลืมฉากนี้ไปได้
เยว่หานตงไม่อาจบ่งบอกความรู้สึกในเวลานี้ของตน เขามองทะเลเพลิงผลาญที่อยู่ต่อหน้ามาตลอด ไม่อาจกล่าวคำใดๆเป็นเวลานาน หายนะราวปาฏิหาริย์ สำหรับ “มนุษย์ธรรมดา” ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถสูงส่งเพียงใดหรือมีพลังแกร่งกล้าแค่ไหนก็ไม่มีวันทำเช่นนี้ได้ สิ่งที่พวกเขาทำได้อย่างเดียวในตอนนี้คือรอให้เพลิงสงบลง
ในที่สุดเพลิงก็เริ่มวอดวาย กองทัพขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้ากลายเป็นซากศพไหม้กระจายอยู่เต็มผืนดิน กลิ่นไหม้เหม็นรุนแรง บางคนกลายเป็นเถ้าธุลีไร้กระดูกหลงเหลือ กระทั่งถูกลมพัดปลิวกระจายไป
มีมือตบบนบ่าของเขา เยว่หานตงหันมาดูแล้วตกใจ จากนั้นคำนับและกล่าว “องค์รัชทายาท…. เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ ท่านยังบาดเจ็บอยู่ สถานที่แห่งนี้อันตรายยิ่ง ท่านควรที่จะ…..”
ฟงหลิงส่ายศีรษะอย่างแห้งแล้ง เขากล่าว “ไปที่นั่นกัน จงบอกเหล่านักรบว่าอย่าทำอะไรโดยไม่ระวังตัว เขาไร้พลังที่จะดิ้นรนอีกต่อไปแล้ว”
เยว่หานตงผงกศีรษะ เขาถามอย่างตื่นตัว “คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่….”
“เขาคือคนของตระกูลเย่….หลานชายของเย่หนู่” ฟงหลิงถอนหายใจกล่าว จากนั้นก้าวออกไป
เยว่หานตงตัวสั่นสะท้าน…. แซ่ของเขาคือเย่ ปรากฎว่าเขาคือบุตรชายตระกูลเย่จริงๆ! ไม่แปลกใจเลยที่ฝ่าบาททุ่มทุกอย่างโดยไม่ยั้งสิ่งใด หากครั้งนี้เขาหนีรอดออกไปได้ ไม่เพียงฝ่าบาทเท่านั้นกระทั่งตัวเขายังไม่อาจกินดื่มและหลับนอนได้อย่างสันติ เหมือนกับถูกลวดหนามพันไว้รอบลำคอ
ก้าวผ่านซากศพที่ไหม้เกรียม ทั้งพื้นดินที่ถูกเผาจนไหม้ดำ กองทัพที่รอดชีวิตเริ่มเคลื่อนไปเบื้องหน้า ความเร็วเชื่องช้าลงกว่าแต่เดิม ฝีเท้าหนักกว่าแต่ก่อน นอกจากฟงหลิงและเยว่หานตงก็ไม่มีผู้ใดที่นั่งบนหลังม้า ทะเลเพลิงกว้างได้ฝังร่างทหารม้าทั้งหมดไว้ในกองเพลิง ไร้ซึ่งผู้รอดชีวิตแม้สักคน ซากร่างของทหารประจำเมืองกองเกลื่อนราวภูเขา
“เสวี่ยเอ๋อร์…. ช่วยพยุงข้าที….” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแอขณะที่ทรุดนั่งเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น ในที่สุดเขาก็รวบรวมพลังที่เหลือเล็กน้อยที่สุดมาได้
หนิงเสวี่ยใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดพยุงร่างเย็นเยียบของเขา ใช้ไหล่บอบบางประคองเขาลุกขึ้นยืน ออกแรงจนนางหอบหายใจ เย่หวูเฉินเรียกกระบี่ตัดดาราตั้งกับพื้นเพื่อยันร่าง ใช้แขนไร้เรี่ยวแรงกอดหนิงเสวี่ย มองคลื่นคนที่หลั่งไหลใกล้เข้ามาด้วยสีหน้าไม่แยแส
ตอนนี้ไร้สิ่งใดช่วยเขาได้อีก อาจจะมีก็เพียงปาฏิหาริย์ แต่เหตุผลที่คนเรียกปาฏิหาริย์ประการแรกเพราะมันยากที่จะเกิด เขาไม่หวังว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นมา เพราะเส้นทางหลบหนีสุดท้ายได้ถูกขวางกั้นด้วยหุบเหวปลิดวิญญาณ
“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้ากลัวหรือเปล่า?”
“ข้าไม่กลัว ไม่กลัวเลยสักนิด” หนิงเสวี่ยพิงร่างชิดกับเขา
“แต่ว่า….ข้ากลัว….กลัวว่าเมื่อข้าตายไปแล้ว ใครจะคอยดูแลพี่หญิง , ทงซินจะไปแห่งใดต่อ…. จะเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวโหรวโหรว , และจะเกิดอะไรกับพี่หญิงเมิ่งของเจ้า….”
มาถึงยังทวีปเทียนเฉินได้เป็นเวลานาน เขาไม่ได้ตัวคนเดียวอีกต่อไป เขาอาจไม่สนใจชีวิตและความตายของตนเองได้ แต่เขาไม่อาจล้มเลิกและละทิ้งผู้คนที่เขาห่วงใย
หนิงเสวี่ยตาเริ่มแดง นางบีบมือเล็กๆและสะอื้นกล่าว “ท่านพี่ โทษข้าเถอะ….”
เย่หวูเฉินยิ้มและลูบเส้นผมของนางอย่างอ่อนโยน “ได้ยังไง… เป็นเพราะพี่ชายเจ้าไร้ประโยชน์ ที่ปล่อยให้พวกมันแย่งตัวเจ้าไปจากมือ…. เจ้ายังจำได้หรือเปล่าว่าข้าเคยบอกอะไรไป? เจ้าคืออีกครึ่งชีวิตของข้า ต่อให้ข้าต้องสูญเสียทุกสิ่งไป…. ข้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้าต้องเจ็บ….”
“ข้าจำได้…. ข้าจำได้….” น้ำตาของหนิงเสวี่ยร่วงกราวราวหยดฝน สะอึกสะอื้นจนไม่อาจกล่าวคำได้ชัดเจน นางจะลืมได้อย่างไร นี่คือถ้อยคำที่อบอุ่นที่สุดที่นางเคยได้ยิน ชั่วชีวิตนี้ของนางจะไม่มีวันลืม
“งั้น อย่าพูดแบบนี้อีก ตกลงนะ?” เย่หวูเฉินกล่าวอ่อนโยน ยื่นมืออันสั่นเทาปาดน้ำตาบนใบหน้าของหนิงเสวี่ย
“อื้ม!” หนิงเสวี่ยผงกศีรษะสุดแรง บีบมือน้อยๆในมือเขา สัมผัสความอบอุ่นที่เย็นเยียบของเขา
ฝูงคนใกล้เข้ามา ผู้ที่นำมาปรากฎว่าเป็นฟงหลิง เย่หวูเฉินอ้าปากสูดเอาอากาศ “เสวี่ยเอ๋อร์ เรามากล่าวลาทงซินกันเถอะ”
เขาแหงนศีรษะขึ้นฟ้า มองไปยังเส้นขอบฟ้าห่างไกล จากนั้นสูดลมหายใจลึก ใช้พลังทั้งร่างเปล่งเสียงตะโกนลั่นแก้วหู
“ทงซิน……. พาพี่สาวกลับบ้าน…… รอข้ากลับมา~~~”
“ทงซิน……. พาพี่สาวกลับบ้าน…… รอข้ากลับมา~~~”
“ทงซิน……. พาพี่สาวกลับบ้าน…… รอข้ากลับมา~~~”
เสียงตะโกนดังสามครั้ง สิ้นสูญพลังทั้งหมดที่มี ทำให้เขาแทบไม่อาจยืนตั้งกายตรง น้ำเสียงแหบพร่าและยาวนาน เสียงกังวาลไประยะทางไกล แทบตรงทะลุสู่เส้นขอบฟ้า เขากล่าวคำอำลาทงซินและยังให้ความหวังกับนาง ไม่เช่นนั้นเมื่อเขาตายไป นางย่อมกลับสู่ตัวตนสังหารกลายเป็นสตรีเทพพิโรธ ยิ่งกว่านั้น ความโกรธของนางย่อมทำให้โหดเหี้ยมกว่าเมื่อ 20 ปีก่อน ดังนั้นเขาจึงบอกนางให้ “รอเขากลับมา” ทำให้นางรอ….. และรอคอยเขาตลอดไป……
เมื่อสิ้นเสียงของเขาลง กองทัพยิ่งใหญ่ก็ได้หยุดอยู่ห่างจากเขาออกไป 20 เมตร ดวงตาของเหล่าทหารจับจ้องติดตรึงที่ชายหนุ่มผู้มีโลหิตชะโลมทั่วร่าง คนผู้ไม่อาจยืนตั้งกายตรง พวกเขาต่างมีสีหน้าหลากหลายอารมณ์ เด็กหญิงที่อยู่ข้างเขาไร้รอยบาดเจ็บแม้แต่เพียงนิดน้อยบนร่างกายนาง ศีรษะนางซบซุกอยู่ในอกเขาและปฏิเสธที่จะมองมายังพวกตน พวกเขาแทบไม่เชื่อเลยว่าเขาจะอุ้มเด็กหญิงคนนี้อยู่ตลอดเวลาในระหว่างที่สร้างความหวาดสะพรึง กระนั้นเขายังไม่ยอมให้เด็กหญิงคนนี้ได้รับอันตรายใดๆ