หนึ่งนาที….. สองนาที….. สิบนาที…..
ร่างของเขายิ่งนานยิ่งอาบชะโลมไปด้วยโลหิต แต่เขายังคงไม่ล้มลง สายตาพร่าเลือนไปด้วยเลือด เขาจ้องมองไปยังทิศตะวันตก ขยับมุ่งหน้าไปทีละก้าว ทุกครั้งที่สติใกล้จะขาดลง เขาจะกัดลิ้นตัวเอง เขายอมตายได้….แต่เขาจะไม่ยอมให้หนิงเสวี่ยบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว
หอกยาวสามเล่มพุ่งเข้าใส่จากสามทิศทาง เขากระโดดขึ้นเหวี่ยงวาดกระบี่เป็นวงโลหิต ขณะที่ร่างอยู่กลางอากาศ ลูกธนูนับร้อยก็ถูกปล่อยออกมา ราวกับฝูงตั๊กแตนเล็งโจมตีใส่ร่าง เย่หวูเฉินใช้ปราณกระบี่ดันมันออกไป ขณะเดียวกันก็โยนอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าสองลูก ระเบิดใส่พลธนูบนหลังม้านับสิบๆนาย
เมื่อเขาลงมาถึงพื้น เขาซวนเซเล็กน้อย จากนั้นยืนหยัดมั่นคง เหวี่ยงกระบี่ตัดดาราในมือและควบกลั่นพลังธาตุอัคคี ส่งลูกเพลิงทรงพลังออกไป
เพลิงลูกเล็กๆสร้างแรงระเบิดขนาดกลาง ทำให้พื้นที่รัศมีโดยรอบ 30 เมตรกลายเป็นทะเลเพลิง ชั่วขณะนั้นผู้คนต่างหวาดกลัว เสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงม แทบฉีกเปิดท้องฟ้ารัตติกาล เย่หวูเฉินใช้มือทั้งสองกอดหนิงเสวี่ยแน่น ลากพาร่างอันหนักอึ้งตรงไปที่ใจกลางเปลวเพลิง
เพลิงร้อนแรงปกคลุมร่างของเย่หวูเฉิน มันเผาลามผู้คนและฝูงม้าจำนวนมาก มีหอกดำสามเล่มพุ่งออกมาจากเพลิงเข้าใส่กลุ่มทหารม้า สร้างพื้นที่สังหารผลาญชีวิตสามบริเวณ ทันใดนั้นหอกอีกสามเล่มพุ่งออกมาตามต่อ พัดสังหารทหารม้าทุกรายที่ขวางหน้า จากนั้น…. อัสนีลั่นสะเทือนฟ้าสิบลูกปลิวละลิ่วออกมา
เหล่าทหารม้าที่รู้ซึ้งถึงพลังของระเบิดมหาประลัยเตรียมที่จะหลบ แต่ทว่าในขณะถัดมา ก็เกิดระเบิดขึ้นสิบครั้งดังต่อเนื่อง แรงระเบิดทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนราวเกิดแผ่นดินไหว เพลิงวาบขนาดเท่ากันสิบลูกเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทหารม้ากว่าสองร้อยนายได้เห็นก่อนที่ชีวิตจะถูกพรากไป
ในที่สุดกองทัพทหารม้าจำนวนมากก็เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ขึ้นตรงกลาง เย่หวูเฉินรีบพุ่งตรงไป เตะทหารออกจากหลังม้า จากนั้นขึ้นม้าและควบหลบหนี ฟาดฟันเหล่าทหารม้าที่อยู่ด้านหน้าและด้านข้างออกไป ทะลวงผ่านกลุ่มทหารที่รายล้อม และมุ่งตรงไปเบื้องหน้า
ความเจ็บปวดเสียดแทง , ความมึนงง , ความอ่อนล้า…. เขากัดลิ้นตัวเองอย่างต่อเนื่อง รักษาสติตนเองเอาไว้ ม้าที่อยู่ใต้กายเป็นความหวังสุดท้ายของเขา
กองทัพที่ไล่หลังมาราวกับคลื่นบ้าคลั่งละลานจนสุดสายตา มือขวาขว้างอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าออกไปอีกห้าลูก ระเบิดใส่กลุ่มคลื่นทหารม้าที่เข้ามาใกล้ที่สุด พวกเขาแหลกเละเป็นเศษซาก ทิ้งระยะห่างออกไปเป็นการชั่วคราว
“พลธนูยิงได้!”
เสียงตะโกนดังมาจากเบื้องหลัง ตามมาด้วยเสียงโก่งคันธนู เย่หวูเฉินขยับมืออันสั่นเทาจับอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าสามลูก ขณะที่ลูกธนูดอกแรกถูกปล่อยออกมา เขาก็โยนอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าแยกไปสามทิศทาง
เสียงระเบิดลูกแรกมาพร้อมเสียงร้องโหยหวนของคนนับสิบ คลื่นทหารบนหลังม้าสูญเสียพลธนูไปมากมาย ไกลออกไปจากแถวหน้าเหล่าทหารไม่อาจควบคุมม้า หลายคนร่วงตกลงมาจากฝูงม้าที่แตกตื่น ระเบิดครั้งที่สองดังตามติด ถูกเข้าใส่เหล่าทหารที่โชคดีหนีพ้นจากระเบิดลูกแรก สร้างความปั่นป่วนแผ่ขยายออกไป ม้าที่ขวัญกระเจิงตกอยู่ในความแตกตื่นโกลาหล พวกมันเริ่มวิ่งหนีไม่เป็นขบวน
ระเบิดลูกที่สามบินไปไกลหวีดแหวกอากาศ มันพุ่งตกลงไปตรงตำแหน่งที่มีทหารม้าหนาแน่น สร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ ทำให้กองทัพทั้งหมดชะงักค้างในการเคลื่อนไปข้างหน้า
การโยนอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าทั้งสามลูก ราวกับพรากพลังที่เหลือทั้งหมดของเย่หวูเฉิน เขาจิ้มกระบี่เบาๆใส่บั้นท้ายม้า ม้าที่อยู่ใต้กายรู้สึกเจ็บปวด รวมกับความตกใจกับเสียงระเบิดสามลูก มันวิ่งไปข้างหน้าไม่คิดชีวิต อย่างไรก็ตามเพียงการขยับกระบี่เบาๆ กลับทำให้เย่หวูเฉินร่างกายเป็นอัมพาตอยู่บนหลังม้า กระบี่ตัดดาราเพลิงดับวอดและร่วงหล่นจากมือ ก่อนที่มันจะตกถึงพื้น มันได้กลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งกลับมาที่ระหว่างคิ้วของเขา
แม้ว่าทหารม้าจะแข็งแกร่ง สามารถข้ามผ่านทุกอุปสรรคได้ในสนามรบ แต่จุดอ่อนของมันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน หากม้าศึกเหล่านี้แตกตื่นขึ้นพร้อมกัน กองทหารม้าย่อมพ่ายแพ้โดยที่ยังไม่ทันได้สู้ และระเบิดของตระกูลฮั่วไม่ว่าจะเป็นอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าหรืออัสนีลั่นธรรมดา มันสามารถใช้รับมือกองทหารม้าได้ผลดีกว่าปกติหลายเท่า ทำร้ายผู้คนยังเป็นเรื่องรอง ผลกระทบหลักของมันคือทำให้ม้าตื่นกลัว เย่หวูเฉินสามารถหลุดออกมาได้ เหตุผลหลักคืออาศัยอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าทำให้ทัพทหารม้าไม่อาจป้องกันตัวเอง
เวลานี้ อัสนีลั่นสะเทือนฟ้าสามลูกได้ทำร้ายทหารม้าไปหลายร้อย แต่ผลที่เกิดจากการตื่นตกใจของฝูงสัตว์นั้นมากมายกว่า หลังจากที่พวกเขาควบคุมฝูงม้าได้ เย่หวูเฉินก็ได้ห่างออกไปนับร้อยเมตร
ในราชวังแห่งอาณาจักรต้าฟง ฟงเลี่ยเขวี้ยงกล้องส่องทางไกลลงพื้นอย่างรุนแรง กล้ามเนื้อบนใบหน้าบิดเบี้ยวต่อเนื่อง การสังหารโชกเลือดไม่ได้ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยน เขาคิดว่าเย่หวูเฉินจะต้องตายเพราะเหน็ดเหนื่อยในไม่ช้า เขาได้สั่งทัพทหารออกไปมากมาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ท่ามกลางคลื่นมนุษย์เบียดเสียดอัดแน่น เย่หวูเฉินกลับสร้างช่องว่างและหลบหนีออกไปได้ โดยใช้ระเบิดอันน่าอัศจรรย์ ยิ่งกว่านั้นยังทิ้งระยะห่างจากพวกเขา
“คนผู้นี้…… ยังเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ….. เหตุใด เขาถึงไม่เกิดในตระกูลฟงของข้า…..”
ฟงเลี่ยกัดฟันแน่น เขาไม่อาจบรรยายความอัศจรรย์ในใจได้ สังหารเทพสงคราม , หลบหนีจากราชองครักษ์ , เจาะทะลวงกองทัพนับหมื่น , สังหารชะโลมโลหิตขณะหนีออกไป…. ในแขนของเขา อุ้มเด็กหญิงที่ไร้อันตรายอยู่ตลอดเวลา ในตัวของเขา ยังมีสิ่งน่าหวาดหวั่นอันใดซ่อนอยู่อีก?
ด้านข้างเขา ฟงหลิงตอนนี้ไม่ทราบว่าหายไปไหน เนื่องจากทิศทางที่เย่หวูเฉินกำลังมุ่งหน้าไป จะเป็นจุดจบทางตันสำหรับเขา
คราบเลือดปนกับหยดเหงื่อจนชุ่มโชกทั่วร่างและหยดลงมา หยดลงบนหลังม้าและหยดลงพื้นดิน เย่หวูเฉินไม่มีเรี่ยวแรงที่จะตั้งกายตรง เขาเป็นอัมพาตอยู่บนหลังม้า เพียงแขนเท่านั้นที่ยังคงกอดหนิงเสวี่ยเอาไว้แน่น และเขาจะไม่วันปล่อยออกไป หลังจากผ่านมานาน แขนซ้ายของเขาก็เริ่มที่จะแข็งค้าง
“ท่านพี่….. ท่านเจ็บหรือเปล่า…..” น้ำตาปริ่มขึ้นมาในดวงตาของหนิงเสวี่ย หนิงเสวี่ยที่ไม่กล้าทำร้ายแม้แต่มดตัวเล็กๆกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวระหว่างการต่อสู้โชกเลือดและเสียงโหยหวนบาดใจ เพราะว่าหากแม้ในที่สุดนางจะต้องตาย นางก็จะได้ตายกับพี่ชาย ดังนั้นนางไม่มีสิ่งใดให้ต้องกลัว
นางเพียงเกลียดตัวเอง เกลียดตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้ หากนางมีพลังเพียงสักครึ่งหนึ่งของทงซิน นางย่อมไม่กลายเป็นภาระสำหรับเขา
รออยู่นานแต่นางไม่ได้รับคำตอบ ดังนั้นนางจึงพิงร่างขยับใกล้และเงียบต่อ หลับตาลงและไม่กล้ารบกวนเขาอีก
ไม่ว่าจะเป็นเหล่ากองทหารม้า , หรือว่าจะเป็นทัพทหารประจำเมืองที่กระจายทั่วอยู่เบื้องหลัง พวกเขาทุกคนไม่ลดละความพยายามในการติดตาม เคลื่อนที่ดั่งคลื่นทะเล แต่ตอนนี้ไม่มีใครสามารถสงบใจได้ กลับกันหัวใจกำลังสั่นไหว…. เขาคือผู้สังหารเทพสงคราม เป็นปีศาจอย่างแท้จริง…. 3,000 ทหารม้า 20,000 ทหารราบประจำเมือง ยังไม่อาจจับตัวเขาได้ ตรงกันข้ามพวกเขากลับประสบหายนะครั้งใหญ่ โลหิตและอวัยวะกระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดิน
แต่ต่อให้เขาเป็นเทพโดยแท้ หรือแม้จะเป็นปีศาจตัวจริง เขาย่อมมีขีดจำกัดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง นอกจากนั้น…. ทุกคนล้วนรู้ดีว่า เส้นทางที่เขากำลังมุ่งหน้าไปเป็นทางแห่งความสิ้นหวัง
ท้องฟ้ายิ่งมืดลงทุกขณะ พระจันทร์บางบนท้องฟ้าสว่างจ้าขึ้น ประตูด้านตะวันออกของเมืองเทียนฟงยังคงเงียบงันเหมือนเช่นเคย เย่ฉุ่ยเหยาขดร่างนั่งอยู่กลางหญ้าแห้งอย่างเงียบงัน นางยังคงไม่เคลื่อนไหว รอคอยเป็นเวลานาน ร่างกายและหัวใจเย็นยะเยียบขึ้น ทุกวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า
“เสี่ยวเฉิน…..” นางเรียกออกมาในความเงียบและอธิษฐาน ในชีวิตนี้ นางไม่เคยกังวลหรือหวาดกลัวถึงเพียงนี้มาก่อน
หลังจากผ่านไปนาน สายตาและสติที่พร่าเลือนของเย่หวูเฉินก็เริ่มชัดเจนขึ้น เบื้องหลังของเขา ยังคงมีกองทัพขนาดใหญ่ไล่ตามไม่ลดละ แม้ว่าระยะทางจะยังไม่หดใกล้เข้ามา แต่พวกเขาไม่คิดที่จะหยุด ลูกธนูปลิวตามหลังอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากระยะที่ห่างเกินไป ก่อนที่จะถูกแผ่นหลังของเขามันได้ตกลงบนพื้น
ในเวลานี้ หากมียอดฝีมืออยู่ในกองทัพ เขาย่อมไล่ทันโดยง่าย และสามารถปิดกั้นเส้นทางไม่ให้เย่หวูเฉินหลบหนี
“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้ายังสบายดีอยู่ใช่ไหม?” เขาประคองร่างตัวเองด้วยความยากลำบาก เปล่งเสียงอันอ่อนแอ เสียงแหบพร่าจนตัวเองยังฟังแทบไม่ชัด เมื่อครู่ที่ผ่านมา ร่างบอบบางของหนิงเสวี่ยถูกเขากดทับไว้
“อื้ม….ท่านพี่”
“อ๊า!! เจ้านาย! ข้างหน้า…. เร็วเข้ารีบดูข้างหน้า! ระวัง!!”
หนานเอ๋อร์พลันกรีดร้องตื่นตระหนก ทำให้เย่หวูเฉินตกใจอย่างหนัก เขารวมสมาธิเพ่งความสนใจมองตรงไปข้างหน้า…. ด้านหน้านั้น เป็นสีดำมืดมิดแผ่กว้างออกไปไม่อาจมองเห็นขอบเขต
ในเสี้ยววินาทีนั้น ชื่อที่ทุกคนในทวีปเทียนเฉินรู้จักดีได้วาบผ่านขึ้นมาในใจของเย่หวูเฉิน สถานที่ต้องห้ามแห่งอาณาจักรต้าฟง สถานที่ที่ทำให้ทุกคนต้องกลัวตัวสั่นด้วยไม่ทราบความกว้างและลึกของมัน…..หุบเหวปลิดวิญญาณ!
กลายเป็นว่า….มันกลับตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเทียนฟง!
ม้าที่อยู่ใต้กายไม่ได้หยุดอยู่ มันยังคงวิ่งตรงไปอย่างบ้าคลั่ง เย่หวูเฉินม่านตาเบิกกว้างขึ้นต่อเนื่องขณะที่เข้าใกล้หุบเหวดำทมิฬเข้าไปทุกขณะ….. ในที่สุดกีบเท้าคู่หน้าของมันก็เหยียบลงบนอากาศว่างเปล่า ขณะที่พวกเขากำลังร่วงหล่นลงไป……
เย่หวูเฉินกัดฟันแน่น เขาหันร่างใช้เรี่ยวแรงทะยานกายขึ้น อุ้มหนิงเสวี่ยขณะเหินร่างตกลงที่ตรงปากขอบเหว ม้าตัวนั้นร้องยาวนานขณะที่ร่วงลงไปยังหุบเหวไร้ก้น เพียงพริบตาเดียวมันก็หายไปจากสายตา….. ระหว่างความเงียบเนิ่นนาน ไม่มีเสียงตกกระทบใดๆให้ได้ยิน
ม้าตัวนั้นเดิมทีเป็นความหวังสุดท้ายของเย่หวูเฉินในการหลบหนี และหุบเหวปลิดวิญญาณที่ทอดยาวแห่งนี้ได้ตัดความหวังสุดท้ายให้ขาดสะบั้นลง ในเวลานั้น สายลมราตรีอ่อนโยนโชยแผ่ว แสงจันทราหม่นหมองได้นำพาบรรยากาศแห่งความทุกข์ระทมและสิ้นหวัง
เย่หวูเฉินโงนเงนยืนขึ้น เพียงก้าวเดียวที่ถอยหลังเขาจะร่วงลงไปสู่หุบเหว ไร้หนทางให้ล่าถอย มองไปตรงหน้ายังคลื่นกองทัพที่ถาโถมตรงมา เขาเพียงจ้องมองอย่างเหม่อลอย
ทงซินยังคงอยู่ไกลจากเขามาก กลิ่นอายของนางอ่อนล้าอย่างสุดแสน เขาใช้พลังจิตใจในการพิชิตทงซิน ระหว่างพวกเขาจึงเชื่อมโยงกันทางจิตใจ ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างไกลกันมาก แต่พวกเขาก็ยังสามารถสัมผัสตำแหน่งและสภาพของอีกฝ่ายได้
เวลานี้ เขาเผชิญกับสถานการณ์สิ้นหวังโดยแท้ ไร้หนทางที่จะพลิกกลับได้
“ท่านพี่ ท่านหนาวเหรอ?” หนิงเสวี่ยใช้มือลูบใบหน้าและอกเย็นเยียบของเขา นางถามด้วยความกังวล
100 เมตร….. 50 เมตร….. 30 เมตร……
กองทหารม้าไล่มาอย่างบ้าคลั่งขณะที่ใกล้เข้ามา กระบี่และหอกสะท้อนแสงเย็นเยียบ พลธนูบนหลังม้าโก่งคันธนูในมือ แต่พวกเขายังไม่ปล่อยลูกศรออกไป เมื่อเย่หวูเฉินเลือกที่จะหนีมาทางนี้ เช่นนั้นเขาจะต้องพบกับผลลัพธ์ชะตากรรม เบื้องหลังของเหล่าทหารม้า ทหารประจำเมืองยังไม่อาจผ่อนคลาย พวกเขากำลังไล่ตามเข้ามาใกล้….
“เสวี่ยเอ๋อร์…. เจ้าอยากเห็นฝนอุกกาบาตหรือเปล่า?” เย่หวูเฉินสีหน้าแววตาเลื่อนลอย เขามองไปเบื้องหน้าด้วยความเสียใจและกล่าวพึมพำ
หนิงเสวี่ยเงยหน้าของนางขึ้น จากนั้นผงกศีรษะอย่างแผ่วเบา