“ท่านพี่…. เลือดท่านไหลออกมาเยอะมาก ท่านเจ็บไหม?” หนิงเสวี่ยยื่นมือออกมาสัมผัสตรงแผ่นอกและมุมปากของเขา
เย่หวูเฉินหลับตาลง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่ไม่ใช่เลือดข้าหรอก ข้าจะไม่ยอมให้ตัวเองบาดเจ็บ เสวี่ยเอ๋อร์ ถ้าเจ้าจะหลับ ก็จงปิดตาลงแล้วหลับเสีย”
“อื้ม…..” หนิงเสวี่ยรับคำเสียงเบา ขยับร่างซุกกลับเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
ประกายแสงสีแดงยังคงระยับอยู่บนร่างของเย่หวูเฉิน ไม่ทราบว่ามันกำลังแผดเผาสิ่งใด เย่หวูเฉินรู้ดีว่าตราบใดที่แสงสีแดงยังอยู่ นั่นหมายถึงเขายังมีพลังเหลือให้ดิ้นรนต่อ หากพลังแฝงทั้งหมดของเขาได้หมดลง ทุกอย่างก็จะถึงคราวจบสิ้น
กระบี่ตัดดาราค้ำยันพยุงร่างขึ้น เพลิงบนกระบี่เริ่มอ่อนโทรม เย่หวูเฉินทราบดีว่าเมื่อเขากลืนกินผลมังกรเพลิงฟ้าลงไป พลังของเขาจะทะยานขึ้นแตะขอบเขตเทวะ แต่เขาก็ยังคงไม่ใช่คู่มือของฟงเฉาหยาง ไม่ต้องกล่าวถึงเขาคนเดียว ต่อให้มีเขาสิบคนก็ยังไม่อาจเอาชนะได้ แต่ด้วยพลังต้องห้ามของศาสตรา จึงสร้างอภินิหารผ่าเทพสงครามออกเป็นสองเสี่ยง
ก่อนหน้านี้กระบี่ตัดดาราเป็นเพียงกระบี่ใบคมเล่มหนึ่ง แต่วันนี้ เขาได้ประจักษ์ถึงพลังอันน่ากลัวของศาสตราต้องห้ามเป็นครั้งแรก
ผ่านไปหลายนาที มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังขึ้นบนถนน เย่หวูเฉินลืมตาและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ด้วยบัญชาบ้าคลั่งของฟงเลี่ย เขาสั่งเคลื่อนทัพขนาดใหญ่โดยไม่มีลังเล เวลานี้ย่อมมีกำลังทหารจำนวนมากป้องกันอยู่ทุกภายนอกประตูเมือง ทัพทหารเมื่อครู่นี้มีธงตัวอักษร “บูรพา” นั่นย่อมหมายความว่าด้านตะวันตกของเมืองยามนี้กองทหารย่อมเบาบาง อย่างไรก็ตาม ทิศที่มุ่งหน้าไปนั้นเป็นทิศทางตรงกันข้ามกับทางกลับสู่อาณาจักรเทียนหลง
กระบี่ตัดดารายังคงลุกโชนด้วยเพลิง ไม่มีผู้ใดเคยได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมัน เหล่าทหารประจำเมืองปรากฎอยู่ทุกที่ในเมืองเทียนฟง เขามุ่งหน้าพร้อมสังหารตลอดทาง ไม่ทราบว่ากี่ชีวิตที่ดับดิ้นไป โลหิตสาดสายนับไม่ถ้วน ในที่สุดเขาก็มาถึงประตูเมืองทิศตะวันตกของเมืองเทียนฟง บริเวณโดยรอบสั่นสะเทือนทันที เย่หวูเฉินใช้การโจมตีรุนแรงถล่มประตูเมืองแล้วออกไป
“ฝ่าบาท มีรายงานด่วนจากทางประตูเมืองทิศตะวันตก ตอนนี้เย่หวูเฉินได้….”
“ไม่จำเป็นต้องรายงาน ข้ารู้แล้ว” ฟงเลี่ยวางกล้องส่องทางไกลลง ใบหน้าซีดขาวไร้ที่เปรียบ ลมราตรีเย็นยะเยือกพัดพาความเหน็บหนาวกัดกินสู่หัวใจ “คิดไม่ถึงว่ามันจะไปในทางทิศตรงกันข้าม เฮอะ! ถึงแม้ทหารที่ประจำอยู่ทิศตะวันตกจะมีอยู่น้อยที่สุด แต่ก็ยังมากเพียงพอที่จะสังหารเจ้า…. เร็ว รีบถ่ายทอดคำสั่งข้า ให้คนยิงพลุสัญญาณ เร็วเข้า!”
“พะยะค่ะ!”
ฟงเลี่ยกำหมัดแน่น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะกล่าว “มันต้องตาย มันต้องตาย!”
………………………………
ทงซินร่วงลงพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นลุกขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลมหายใจของนางยิ่งอ่อนแอ กระนั้นจิตสังหารและความดุร้ายในแววตายังไม่จางลง ทุกครั้งที่ลู่เทียนคิดว่านางไม่อาจต่อสู้ได้อีก ขณะที่เขากำลังจะเข้าไปจับตัว นางจะตวัดกริชเย็นเยียบสีเลือดเข้าใส่ ประกายแสงของมันไม่จางลงแม้ว่านางจะอ่อนแอ
ลู่เทียนเริ่มเกิดอารมณ์หวั่นไหว ไม่ทราบว่าพลังแบบไหนที่ค้ำจุนร่างให้นางลุกขึ้นได้ทุกครั้ง และยังโจมตีอย่างต่อเนื่องตามมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อาจเอาชนะนางได้โดยง่าย คนทั้งสองจึงต่อสู้กันเป็นเวลานาน นางไม่ทราบว่าล้มลงไปแล้วกี่ครั้ง แต่นางยังคงยืนหยัดลุกขึ้นมา และฟาดฟันโจมตีอย่างไร้ปราณี
เวลานี้ ร่างบอบบางของนางเหมือนใบไม้ที่ถูกลมพัด โงนเงนเอียงหน้าเอียงหลังพร้อมล้มลงในทุกขณะ แต่ดวงตาทมิฬยังคงจับจ้องอยู่ที่เขา ดวงตาคู่นั้นของนางทำให้เขารู้สึกเย็นเยือกสุดขั้วหัวใจ
“องค์หญิง การดิ้นรนขัดขืนของท่านนั้นไร้ประโยชน์ ข้าไม่กล้าล่วงเกินท่าน องค์หญิง ได้โปรดกลับไปกับข้า” ลู่เทียนยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน ถ้อยคำนี้กล่าวซ้ำมาแล้วหลายครั้ง
ทงซินมีสัมผัสอ่อนไหวต่อกลิ่นอายของเย่หวูเฉินอย่างยิ่ง เวลานี้ นางรู้สึกได้ว่าเขาอยู่ห่างจากนางออกไปเรื่อยๆ กลิ่นอายของเขายิ่งมายิ่งอ่อนแอ เขาย่อมกำลังเผชิญกับหายนะร้ายแรง…. ชายที่อยู่ตรงหน้าคอยขัดขวางนางไว้อย่างต่อเนื่อง….. เพื่อเย่หวูเฉินแล้ว นางจะต้องไม่ล้มลง นางจะต้องไปช่วยเขา
นางก้าวตรงไปเบื้องหน้า แต่แล้วก็สะดุดล้มลงบนพื้น ทว่านางก็ยืนกรานดันร่างลุกขึ้นมา มองยังชายที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความเกลียดชัง
………………………………
ในเวลานี้เอง ภาพตรงหน้าของเย่หวูเฉิน ปรากฎผืนพรมขนาดใหญ่ของกองทหารม้า
เมื่อลำแสงสีขาวสว่างวาบถูกยิงขึ้นฟ้าจากในราชวัง เขาก็รู้ทันทีว่าจะต้องมีอุปสรรคขัดขวางอยู่ข้างหน้า ทหารม้า….. เขาถึงคราวไม่อาจเจาะทะลวงได้เหมือนครั้งก่อนที่ทำกับทัพทหารในเมือง เพราะสิ่งที่ขวางอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เพียงมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีม้า
เบื้องหลังเขา กองทัพขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนเข้าใกล้ทุกขณะ ในทัพนั้นไม่ได้มีเพียงทัพบูรพาที่นำโดยเยว่หานตง มันยังมีทัพอื่นที่มีขนาดใกล้เคียงกัน เขาถูกขนาบไว้ด้วยทัพทหารประจำเมืองและกองทหารม้าที่มีขนาดไม่แพ้กัน ตกสู่หลุมพรางติดอยู่ตรงกลาง
ช่างเป็นพลทัพขนาดใหญ่ เพียงเพื่อต้องการเอาชีวิตเขา…. พิสูจน์ให้เห็นได้ชัดถึงระดับความเกลียดชังและความหวาดกลัวที่ฟงเลี่ยมีต่อเขา
ความรู้สึกสิ้นหวังท่วมทับขึ้นในจิตใจ เย่หวูเฉินเงยหน้ามองฟ้าและระบายลมหายใจออก ภาพผู้คนมากมายผุดผ่านในจิตใจทีละคน เขากล่าวอย่างอ่อนโยน “จงรอข้า….”
“ย้ากก!!!”
เสียงคำรามดังสนั่นดั่งอัสนีฟาดจากฟากฟ้า สะท้านสะเทือนหัวใจของคนทุกผู้ เย่หวูเฉินดวงตากลายเป็นสีแดง เขาพุ่งเข้าใส่กองทหารม้าที่อยู่เบื้องหน้า มีเพียงต้องแหวกฝ่าทัพม้านี้เท่านั้น เขาจึงจะมีโอกาสหนีพ้น
ตอบรับการพุ่งเข้ามา หอกยาวห้าเล่มได้พุ่งใส่ร่างของเขา เขาเหินร่างขึ้นจึงทำให้หอกพลาดเป้าไป เขาเหวี่ยงข้อมือส่งปราณกระบี่แผ่ซัดพร้อมกับเพลิงอัคคี ฟาดทหารกว่า 30 คนปลิวไปจากหลังม้า เขาเหยียบลงบนพื้นแล้วกระโดดเหินร่างอีกครั้ง เล็งลงไปยังจุดที่มีทหารม้าหนาแน่น เขาคำรามด้วยความกราดเกรี้ยว “พวกเจ้าทุกคน….ไปลงนรกซะ!!”
กระบี่ตัดดาราเปล่งแสงสีทองสว่างเรืองรอง ราวกับดาราสีทองที่พุ่งลงมาจากฟ้า หลังจากที่ใช้กระบวนท่า “แยกฟ้าผ่าปฐพี” มันตอบรับเขาโดยทำให้กระบี่ตัดดาราเชื่อมโยงกับคนอย่างมั่นคง ในการโจมตีครั้งนี้ พลังของเขาหลอมรวมเข้ากับพลังของกระบี่ตัดดารา ดั่งดาวตกสีทองเปล่งแสงเรืองรองร่วงจากฟ้าสู่ผืนปฐพี….
ผืนปฐพีเลือนลั่นดังสนั่น พื้นดินแตกร้าวแยกออก เหล่าทหารม้าปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ หลังจากถูกพลังมหาศาลทุ่มโจมตี พวกเขาร่างแหลกแยกเป็นชิ้น อาวุธและชุดเกราะปลิวกระจายทั่วทิศทาง ท้องฟ้าหยดพรมด้วยฝนเลือด
บนพื้นแผ่นดิน ก้อนหินและก้อนดินราวกับได้รับพลังน่าหวาดหวั่น เมื่อทหารม้าถูกหินปลิวใส่ เกิดเสียงปะทะดังชัดเจน แม้ชุดเกราะจะหนาและคมกระบี่ที่ยากจะบิ่น ก้อนหินเหล่านั้นยังปลิวกระแทกพวกเขากระเด็นจากหลังม้า ม้าชั้นดีจำนวนมากโหยหวนด้วยความเจ็บปวด พวกมันถูกก้อนหินกระแทกใส่จนบางตัวกระดูกหัก ผู้ที่บาดเจ็บล้มตายจากผลของพลังมีอยู่มากมาย กองทัพทหารม้าถูกทำลายเป็นวงกว้างในทันที
ฝุ่นหนาและหมอกโลหิตฟุ้งกระจายขึ้นฟ้า เย่หวูเฉินถือกระบี่ขณะยืนอยู่บนเศษซากศพ ตรงเท้าเป็นจุดศูนย์กลาง เกิดหลุมขนาดใหญ่แผ่รัศมีออกไปโดยรอบ ธารโลหิตเล็กๆไหลลงมาบรรจบที่ข้างเท้า ลมราตรีพัดโชยอ่อน เส้นผมสีดำเต็มศีรษะปลิวไสว ใบหน้าของเย่หวูเฉินยังคงไม่แยแส สายตายามนี้ดูเลื่อนลอย ภายใต้พลังการโจมตี ในรัศมีหลายสิบเมตรทหาร 800 นายและม้า 800 ตัวตกตายด้วยสภาพแหลกเละไม่เป็นชิ้นดี
สายลมพัดพานำกลิ่นคาวเลือด กองทหารม้าตัวสั่น ทัพทหารประจำเมืองที่ตามมาเบื้องหลังขวัญกระเจิง พวกเขาเคยเห็นความตายในสนามรบมามากมาย แต่พวกเขาไม่เคยเห็นนรกโชกเลือดแบบนี้มาก่อน
ภายใต้สายตาที่จับจ้อง ร่างของเย่หวูเฉินไหวโงนเงนไม่กี่ครั้ง จากนั้นเขาก็ทรุดร่างลง ใช้กระบี่ประคองยันตัวเอง ในแขนโอบอุ้มเด็กหญิงที่ยังคงนิ่งไม่ไหวติง
“นี่มันฝันร้ายชัดๆ” เยว่หานตงพึมพำเสียงต่ำ จากนั้นโบกมืออย่างมั่นเหมาะ “กำจัดเขาเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า…..”
คนกว่าสิบก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกัน เดินผ่านซากศพเข้าไปหาเย่หวูเฉินด้วยตัวสั่นจากความกลัว ขณะที่พวกเขาเงื้อกระบี่ เย่หวูเฉินพลันกลายเป็นปีศาจที่เพิ่งตื่นจากนิทรา เขาพรวดลุกขึ้นยืน เหวี่ยงแขนขวาส่งปราณกระบี่ตัดศีรษะสิบกว่าคนออกจากร่างในกระบี่เดียว
เยว่หนานตงสะท้านร่าง เขาคำรามดังลั่น “พวกเจ้าทุกคนบุกเข้าไป! เขาเป็นดั่งศรธนูที่ใกล้จะหมดแรง! จงล้างความอัปยศที่พวกเราต้องประสบในวันนี้!”
การต่อสู้ของทัพนับหมื่นเผชิญกับหนึ่งบุคคล เขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกอีกแล้ว ผลลัพธ์โลหิตคือข้อเท็จจริงที่เขาได้เห็น เย่หวูเฉินเป็นศัตรูที่คู่ควรใช้กองกำลังมหาศาลเข้าโรมรัน
ฝูงคนทะลักทลายตรงเข้าหา ทั้งทหารราบและทหารม้า อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่การปะทะระหว่างสองกองทัพเกรียงไกร แต่เป็นการต่อต้านบุรุษเพียงคนเดียว
แสงเพลิงวาบขึ้น ห้าทหารม้าถูกฟันผ่านขาและม้าที่ขี่อยู่ แสงเพลิงวาบอีกครั้ง อีก 20 คนกลายเป็นเศษเนื้อด้วยปราณกระบี่ โลหิตสาดพรมทั่วผืนดิน เสียงโหยหวนวิปโยคทำลายความเงียบสงัดของท้องฟ้าราตรี
ข้าไม่ชอบโลหิต
ข้าเกลียดการสังหารผู้คน
ข้าเพียงต้องการปกป้องทุกคนที่อยู่ข้างกายข้า เสวี่ยเอ๋อร์ , พี่หญิง , เสี่ยวโหรวโหรว , และคนเหล่านั้นที่ข้าเรียกว่าบิดามารดา ปู่…. และอีกหลายคน….
แต่เหตุใดสิ่งต่างๆถึงมักขัดขวางความปรารถนาของข้า?
เหตุใดเจ้าต้องบังคับให้พี่หญิงแต่งออกและทำลายชีวิตของนาง…..
เหตุใดเจ้าถึงทำร้ายเสวี่ยเอ๋อร์……
เหตุใดตระกูลเย่ผู้ภักดีถึงได้รับรางวัลอันโหดเหี้ยมจากตระกูลหลง…..”
เหตุใดเจ้าถึงบีบบังคับให้ข้าสังหารผู้คน…..
ทำไม?
ตระกูลหลงทำลายตระกูลเย่ แต่กระนั้นตระกูลเย่ก็ยังภักดีและจริงใจต่อกระกูลหลง….. เพียงเพราะว่าตระกูลหลงยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่สูงกว่าตระกูลเย่ ปกครองทั่วทั้งอาณาจักรเทียนหลง
อาณาจักรต้าฟงใช้กำลังบีบบังคับอาณาจักรเทียนหลงและตระกูลเย่ให้จำนน ส่งพี่หญิงจากไปและเกือบแต่งเข้าสู่ต้าฟง เพียงเพราะว่าพวกเขายืนอยู่ตรงตำแหน่งที่สูงกว่าอาณาจักรเทียนหลง ด้วยสิ่งที่พวกเขามี ทำให้สามารถตัดสินชะตาของอาณาจักรเทียนหลง
หากข้าสามารถควบคุมชะตาของพวกเขาทั้งหมด สิ่งเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น….. ผู้คนที่อยู่รอบกายข้า จะไม่มีใครกล้าทำร้ายพวกเขา…..
เย่หวูเฉินครุ่นคิดอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าคืนนี้มีโอกาสแค่ไหน ที่เขาและหนิงเสวี่ยจะสามารถหลุดรอดออกไป ภาพเบื้องหน้ากลายเป็นสีดำ สติเขาเริ่มพร่าเลือนอีกครั้ง ในมือเหวี่ยงวาดกระบี่ไม่หยุดหย่อน ปลดปล่อยพลังที่พร้อมจะหมดลงในทุกเวลา…. เศษเสี้ยวแห่งความหวัง ช่างเลือนลางจนเหมือนไม่มีอยู่เลย เขาสัมผัสถึงกลิ่นอายของทงซินได้อย่างรางเลือน ที่ระยะไกลนั้น ปรากฎว่านางอ่อนแอเสียยิ่งกว่าเขา…..
ใครกำลังทำร้ายนาง…..
หายนะที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เพียงเพราะว่าทงซินถูกแยกออก เพียงเพราะมีคนที่ทำให้ทงซินต้องแยกจากไป
สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นเพียงคนผู้หนึ่ง เขาสามารถวางแผนอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เขาไม่อาจวางแผนรับมือกับสิ่งที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน
…..บางที ข้าอาจจะทำผิดพลาดมาตั้งแต่แรก ข้าเพียงต้องการปกป้องตัวเอง , สืบเสาะหาอดีต , ปกป้องผู้คนที่อยู่ข้างกาย , ปกป้องตระกูลเย่ แต่สิ่งไม่คาดฝันกลับพร้อมทำลายการปกป้องนี้
ใช่แล้ว…. มันผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้น การปกป้องที่สมบูรณ์แบบไม่ใช่การปกป้อง แต่เป็นการควบคุมผู้ที่อาจทำร้ายพวกเขา…. ควบคุมโลกหล้าทั้งใบ…. ทำให้ทุกคนตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา….
ด้วยปราณกระบี่ราวสายรุ้ง วงวาดเปลวอัคคีปลิวซัด ตัดศัตรูเบื้องหน้าในรัศมี 10 เมตรให้ขาดกระจุย