📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยาย Heavenly Star สวรรค์มวลดาว – เล่ม 4 ตอนที่ 205

บทที่ 205 - เจาะทะลวง
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

“ฝ่าบาท!”

“พระบิดา!”

ฟงหลิงและผู้คนที่ปกป้องรอบข้างใบหน้าซีดขาวด้วยความแตกตื่น พวกเขาพากันเข้าประคองร่างฟงเลี่ยด้วยความสับสน ฟงหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงชิงชัง “อย่าห่วงเลยพระบิดา ต่อให้เย่หวูเฉินมีปีก คืนนี้เขาจะต้องไม่มีทาง….หลบหนีออกไปได้!”

“ฮี่ ฮี่….. ฮี่ ฮี่….. ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า…..” ฟงเลี่ยร่างกายอ่อนปวกเปียก เขาหัวเราะอย่างขมขื่น “พวกเรายังจะทำอะไรได้อีกหากมันตาย เทพสงครามแห่งตระกูลฟงจะคืนชีพกลับมาหรือ…. หรือว่าสามอาวุโสแห่งต้าฟงจะกลับมา…. พวกเขาทั้งสี่คน สามารถต่อสู้กับศัตรูที่ทรงพลังอำนาจ….. แต่พวกเขากลับถูกทำลายโดยมัน ด้วยตัวมันเพียงผู้เดียว…. 20 ปีที่แล้ว ตระกูลเย่ทำให้ข้าต้องกลับมาด้วยความพ่ายแพ้ ผ่านไป 20 ปี วันนี้รุ่นเยาว์แห่งตระกูลเย่ทำลายตระกูลฟงของข้าย่อยยับสาหัสในเพียงวันเดียว…. ตระกูลเย่ เป็นดาวข่มของข้าอย่างแท้จริง….”

“พระบิดา…..” ฟงหลิงเปิดปากคิดหาคำปลอบ แต่แล้วในที่สุดเขาก็ไม่อาจเอ่ยคำได้ เรื่องนี้กระทบกระเทือนจิตใจตระกูลฟงอย่างยิ่ง หนักหนาจนเกินกว่าผู้ใดจะรับไหว ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ฟงเลี่ยมักสง่าภาคภูมิ สายตามองตรงเบื้องไปหน้า รับมือทุกสิ่งโดยไร้ความกลัว ปัญหาน้อยใหญ่เขาเผชิญหน้ารับกับมันอย่างง่ายดาย ไม่มีครั้งใดที่เขาสูญสิ้นจิตใจด้วยความกลัว ผู้คนล้วนเคารพและยำเกรง ในวันนี้ งานสมรสใหญ่ได้พังลง มองเย่หวูเฉินชิงตัวนางไปโดยไม่อาจทำสิ่งใดได้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถูกจับเป็นตัวประกัน เพียงเท่านี้ก็นับเป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่งแล้ว หากแต่กลับกลายเป็นเพียงการเริ่มต้น เพียงเมื่อครู่ที่ผ่านมา ฟงรู่ตายอย่างอนาถต่อหน้าเขา ต่อด้วยฟงเฉาหยาง…. และสามอาวุโสแห่งต้าฟง….

หายนะวิบัติถึงเพียงนี้ เขาจะทานทนได้อย่างไร!?

เย่หวูเฉินเหยียบย่ำไปตามถนนโลหิตจากห้องหนังสือของราชวังมุ่งตรงไปทางใต้ กระบี่และลูกศรอันเบียดเสียดไม่อาจหยุดเขาได้ เมื่อเขาไปถึงประตูของราชวัง คราบโลหิตได้แปดเปื้อนไปทั่วร่างกาย แต่เส้นผมและชุดของหนิงเสวี่ยยังคงขาวบริสุทธิ์เหมือนเช่นเคย ไร้รอยคราบโลหิตแม้เพียงนิดเดียว ที่พื้นผิวของกายนาง มีม่านพลังไร้แสงครอบปกป้อง ซึ่งเย่หวูเฉินใช้พลังครึ่งหนึ่งสร้างมันขึ้นมา

“ไสหัวไปให้พ้น!!”

ด้วยเสียงคำรามดังลั่น เขาเล็งแล้วทะยานร่างขึ้นและร่อนลง ตรงไปยังประตูราชวังที่อัดแน่นไปด้วยองครักษ์ ขณะที่เหินร่างลงมา มือขวาก็เหวี่ยงฟาดกระบี่ตัดดาราสร้างเพลิงผสานแสงทองคำ พลังทำลายล้างแผ่พุ่งออกไป เบื้องล่างของเขา องครักษ์กว่าสองร้อยคนรู้สึกเหมือนถูกบรรพตท่วมทับ พวกเขาล้มราบลงกับพื้น ถูกบดบี้ใบหน้าบิดเบี้ยวจนแทบไม่อาจจดจำ กระทั่งศาตราในมือยังบุบลงด้วยพลังมหาศาล

เสียงระเบิด “ตูม” ดังสนั่น ประตูราชวังที่ดำรงอยู่มาช้านานได้ถล่มลง ฝังร่างเหล่าองครักษ์ที่ตายอย่างเอน็จอนาถไว้ลึกอยู่ใต้เศษซาก

“ตึก!” เย่หวูเฉินเหินร่างลงถึงพื้นในที่สุด กระบี่ตัดดาราปักลงทำให้พื้นผิวสั่นสะเทือนเล็กน้อย บริเวณโดยรอบไม่มีผู้ใดยืนอยู่แม้สักคน เบื้องหลังเขาเหล่าองครักษ์ที่ตามมาล้วนโง่งม ร่างของพวกเขาสั่นสะท้านและไม่กล้าก้าวไปเบื้องหน้า ความตายน่าสยดสยองเหล่านั้นทำให้กำแพงจิตใจพังทลายลง

“เสวี่ยเอ๋อร์….ตอนนี้พวกเรา….ออกไปได้แล้ว…..”

เขากล่าวอย่างอ่อนโยนแล้วยืนขึ้น กวาดสายตามองผ่าน วันนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาสังหารผู้คน บนพื้นนั้นเกลื่อนกล่นไปด้วยเศษร่างและเลือดเนื้อ สายตาเขากลับสงบอย่างประหลาด ราวกับว่า เขาควรแบบนี้มานานแล้ว หรือเขาจะเป็นปีศาจกระหายเลือดที่คอยสังหารผู้คน

เขาก้าวเท้าออกจากประตูราชวังไปในที่สุด อดทนความเจ็บรวดร้าวในร่างขณะที่วิ่งทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว หากแต่ว่าเบื้องหน้าของเขานั้น ไม่ใช่เมืองเทียนฟงที่เนืองแน่นไปด้วยนักเดินทาง มันกลับอัดแน่นไปด้วยผู้คน….ที่สวมชุดแบบเดียวกัน

ถนนเบื้องหน้าถูกกั้นขวาง เรียงแถวเป็นระเบียบด้วยผู้คนสวมชุดเกราะสีทองแดง ทหารประจำเมืองถือกระบี่และโล่ มองออกไปสุดสายตาก็ยังเป็นกลุ่มคนในชุดเดียวกัน พอประมาณได้ว่าเป็นกองทัพที่ขบวนยาวกว่าร้อยจั้ง (333เมตร) และกว้างกว่าร้อยจั้ง (333เมตร)……

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเขาเพียงคนเดียว

เย่หวูเฉินยืดกายตรงและเชิดศีรษะขึ้น เดินตรงไปที่กองทัพเกรียงไกรที่รอเขาอยู่นาน เบื้องหลังเหล่าองครักษ์ได้ตามมาอย่างรวดเร็ว

“ฝ่าบาท เย่หวูเฉินออกจากราชวังไปแล้ว ตอนนี้เขากำลังถูกล้อมโดยทัพบูรพาที่นำโดยขุนพลเยว่ เขาไม่มีทางที่จะหลบหนีออกไปได้”

ฟงเลี่ยที่เหนื่อยอ่อนพลันลืมตาขึ้นกว้าง เขาตะโกน “เร็วเข้า รีบไปตั้งหอสังเกตการณ์ที่สูงที่สุดในราชวัง ข้าอยากเห็นมันตายด้วยตาตัวเอง!”

หากเขาไม่ได้เห็นเย่หวูเฉินตายกับตาตน เขาย่อมไม่อาจกินดื่มหรือหลับนอนอย่างสงบใจไปจนชั่วชีวิต

หอสังเกตการณ์ถูกตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมันสูงมากกว่า 10 เมตร ด้านบนนั้นมีกล้องส่องทางไกลชั้นดีที่สุดในทวีปเทียนเฉินติดตั้งอยู่ 2-3 อัน

เมื่อเยว่หานตงได้รับคำสั่งให้เตรียมกองทัพล้อมจับเพียงบุคคลผู้หนึ่ง เขาตะโกนสบถว่าคำสั่งนี้ช่างบ้าบอคอแตก แต่เมื่อเขาได้ยินว่าคนผู้นั้นได้สังหารฟงเฉาหยาง เขาตะลึงโง่งมเป็นเวลานาน จากนั้นรีบรุดมุ่งมาโดยไม่กล่าวสิ่งใด ใช้ความเร็วสูงสุดล้อมกรอบประตูราชวังไว้

การเคลื่อนทัพขนาดใหญ่ทำให้ผู้คนทั้งเมืองเทียนฟงพากันตื่นตระหนก ผู้คนต่างปกป้องตัวเองปิดประตูหน้าต่างและไม่ออกมานอกบ้าน คาดเดาเรื่องราวว่ากำลังเกิดสิ่งใด บนท้องถนนไร้คนเดินทาง ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิทดี แต่ตอนนี้ที่กลางท้องฟ้า ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวได้ส่องแสงสว่างแจ่มจ้า

มองเห็นชายหนุ่มอุ้มสาวน้อยบอบบางไว้ในอ้อมแขน อีกมือถือกระบี่ที่ลุกท่วมด้วยเปลวเพลิง ราวกับเขาเดินออกมาจากทะเลโลหิต เยว่หานตงไม่อาจเชื่อสายตาตัวเอง หัวใจสั่นไหวจนไม่อาจอธิบาย เหล่าทหารประจำเมืองยืนมั่นประจำตำแหน่ง เช่นเดียวกันพวกเขาไม่อาจห้ามความตกตะลึง

เขาคือคนที่สังหารเทพสงครามอย่างนั้นหรือ?

เขาเป็นตัวตนศักดิ์สิทธิ์แบบใดกัน!

เป็นเวลาครู่หนึ่งที่ผู้คนทั้งหมดจากกองทัพยิ่งใหญ่ตกสู่ความเงียบสนิท เยว่หานตงที่ผ่านสงครามมานับร้อยสมรภูมิ บรุษที่มักสงบและสุขุม เขาไม่ได้กล่าวคำสั่งใดๆเป็นเวลาเนิ่นนาน

ที่ด้านหลังเขา ในที่สุดเหล่าองครักษ์ก็มาถึง กระบี่ของพวกเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้เย่หวูเฉิน แสงสีแดงโลหิตวาบขึ้นในดวงตาของเย่หวูเฉิน ร่างเปื้อนเลือดนั้นเปล่งประกายเงาแดง เขาพุ่งเข้าใส่ทัพทหารที่อยู่เบื้องหน้า

เขาใช้ความเร็วสูงสุด ความเร็วเหนือล้ำจนแม้แต่สามอาวุโสแห่งต้าฟงยังไม่ทันทำสิ่งใด

ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ…..

เสียงร่างตัดขาดดังต่อเนื่องตามติด น่ากลัวจนทำให้หัวใจผู้คนต้องสั่นไหว เวลานี้เย่หวูเฉินราวกับหมุดลิ่มสีแดง ใช้ความเร็วสูงล้ำที่พวกเขาไม่อาจตามทัน เขาเจาะทะลวงผ่านกลุ่มกองทัพ ในตอนที่ร่างเปล่งแสงสีโลหิต เขาเร่งบุกเจาะทะลวงทันที…..

กระบี่ในมือเคลื่อนขยับราวกับคลื่น รวดเร็วจนพวกเขาไม่ทันมองเห็น เปลวเพลิงที่ระยับเบื้องหน้าฟันฟาดจนโลหิตสาดกระเซ็น เสียงร้องโหยหวนปานขาดใจดังขึ้น นอกจากนั้น ยังมีเสียงกระบี่ตัดดาราตัดผ่านชุดเกราะและกระบี่ แขนขาขาดวิ่นและเศษเนื้อปลิวกระจาย เบื้องหน้านั้นเขาเห็นเพียงลำแสงเปลวเพิงบนกระบี่ตัดดารา เขาค่อยๆปิดตาลง เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ เพิ่มระดับพลัง และเพิ่มความเร็วในการวาดกระบี่จนถึงขั้นสูงสุด….

กองทัพที่เป็นระเบียบทันใดนั้นกลายเป็นอลหม่าน เย่หวูเฉินราวกับอุกกาบาตสีเลือด ทุกคนที่ตกตายด้วยคมกระบี่ล้วนมองเห็นลำแสงเพลิงเป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิต พวกเขาย่อมไม่มีเวลาทันตอบโต้ กระทั่งบางครั้งขนาดบางคนที่ถืออาวุธขวางลำตัว ทั้งร่างและอาวุธต่างถูกตัดออกเป็นชิ้นด้วยคลื่นปะทะรุนแรง

ทหารนับหมื่นถูกส่งออกมาเพียงเพราะหนึ่งบุรุษ ก่อนหน้าเหตุการณ์ หลายคนยังเชื่อว่าการเคลื่อนทัพครั้งนี้คงเป็นเรื่องตลก เมื่อพวกเขามาที่นี่และรอชมเรื่องสนุก กลับคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ได้พบเจอจะไม่ใช่เพียงมนุษย์…. หากแต่เป็นปีศาจเหี้ยมโหดที่พร้อมพรากชีวิตผู้คน ระหว่างที่กำลังแปลกใจ พวกเขาต้องเจ็บปวดเพราะถูกจู่โจมกะทันหัน…. ทัพทหารนับหมื่นคน เผชิญกับการจู่โจมของคนเดียว

ด้วยพลังไร้ต้านที่เขาซัดใส่ เจาะทะลวงสร้างเส้นทางอย่างเหี้ยมโหด โลหิตสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ พวกเขาต่างขวัญหนีดีฝ่อ มีเสียงโหยหวนเจ็บปวดก่อนจะตกตาย คลื่นมนุษย์โถมเข้าใส่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ไม่ว่าเขาต้องการมุ่งไปเบื้องหน้าหรือว่าจะหลบหนี ย่อมไม่มีวิธีอื่นอีกที่จะออกไป เมื่อเขาพุ่งกายด้วยความเร็วสูงสุด พวกทหารต้องตัวสั่นเพราะหวาดกลัว เขาไม่ปล่อยให้พวกทหารมีเวลาตั้งตัว ให้พวกเขาเป็นได้เพียงเส้นทางโลหิตที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า

ฟงเลี่ยและฟงหลิงยืนอยู่เหนือหอสังเกตการณ์ กล้องส่องทางไกลที่ถืออยู่ในมือร่วงลงบนพื้นตามกัน เบิกมองตากว้าง พวกเขานิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน

ยอดฝีมือไร้ต้านย่อมไม่เกรงกลัวกองทัพยิ่งใหญ่ ไม่ต้องกล่าวถึงกองทัพนับหมื่น กระทั่งกองทัพนับล้าน เมื่อจะจู่โจมหนึ่งบุคคลย่อมเข้ามาได้อย่างมากเพียงสิบกว่าคน คนที่เหลือย่อมทำได้เพียงดูอยู่ ดังนั้นก่อนที่พลังของเขาจะหมดลง เขาจะต้องใช้ความเร็วสูงสุดเจาะทะลวงเส้นทางเพื่อหลบหนีออกไป ทหารและม้านับหมื่นย่อมไม่อาจหยุดยั้งยอดฝีมือไร้ต้าน

เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขอบเขตเทวะอย่างฟงเฉาหยาง เอาจำนวนเข้าสู้ย่อมไม่มีผลสำหรับเขา หากเขาต้องการจะไป ทัพทหารและม้านับล้านย่อมไม่อาจหยุดเขาได้

และแน่นอนว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือความเร็ว… ทั้งความเร็วในการเคลื่อนที่และความเร็วในการจู่โจม หากเคลื่อนที่ชักช้ากว่าทัพทหาร เช่นนั้นย่อมไม่มีทางฝ่าพ้นกองทัพออกไปได้ ย่อมติดอยู่จนกว่าจะสิ้นเรี่ยวแรงที่มีและตกตาย หากการโจมตีไม่รวดเร็วพอ ย่อมไม่อาจกวาดศัตรูและสร้างเส้นทางขณะเคลื่อนที่ไปเบื้องหน้า อีกทั้ง การจู่โจมของศัตรูย่อมจะถูกร่างกาย กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากเกิดมีศัตรูคนใดที่มีพลังทัดเทียมกับเขาขวางกั้นอยู่ เขาย่อมไม่อาจบุกทะลวงออกมาจากวงล้อมได้

ตั้งแต่เริ่มจนจบ เยว่หานตงยังไม่ได้สั่งการแม้สักคำ เย่หวูเฉินใช้เวลาเพียงแค่สิบอึดใจ ก็กำลังจะทะลวงผ่านทัพทหารนับหมื่นคน ทำทัพทหารเกรียงไกรที่ล้อมจับหนึ่งบุคคลกลายเป็นตัวตลก

ระหว่างที่บุกทะลวงกองทัพ เส้นทางโลหิตได้เริ่มขึ้นจากแถวหน้าของทหาร ลากยาวไปจนกระทั่งในที่สุดก็ถึงแถวสุดท้าย

“ไล่ตามเขาไปเร็วเข้า!” เสียงคำรามลั่นในฉับพลัน ปลุกเหล่าทหารให้ตื่นจากภวังค์โง่งม กองทัพยิ่งใหญ่หันเปลี่ยนทิศมองไปยังทิศที่เย่หวูเฉินหลุดรอดออกไปในทันที เสียงย่ำเท้าไม่เป็นจังหวะเหมือนกับตอนที่มา เช่นเดียวกับเสียงหัวใจเต้นที่กำลังสับสน

การระเบิดพลังออกใช้ในชั่วพริบตา เป็นทางเดียวที่เย่หวูเฉินจะสามารถหนีรอดได้ หากเขาหยุดชะงักชั่วขณะในระหว่างกลางทาง เขาย่อมถูกกลุ้มรุมในทันที เขาวิ่งไม่คิดชีวิต สายตาตอนนี้ยิ่งพร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งภาพเริ่มกลายเป็นสีเทา ในที่สุดก็มีเสียง “ตึง” เพราะวิ่งปะทะเข้ากับกำแพง เพราะความเร็วที่สูงล้ำ กำแพงจึงสั่นสะเทือนเล็กน้อย ส่วนเย่หวูเฉินร่วงลงบนพื้น

“แค่ก…. แค่ก….” โลหิตกระอักออกจากปาก ไม่รู้ว่าเขากระอักไอออกมากี่ครั้ง เขาพยุงร่างขึ้นนั่งด้วยความเร่งรีบ กอดหนิงเสวี่ยแน่นและถามอย่างอ่อนแรง “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าเจ็บหรือเปล่า?”

หนิงเสวี่ยเงยหน้าขึ้น ใช้เรี่ยวแรงที่มีสั่นศีรษะ ใบหน้าน้อยๆเต็มไปด้วยน้ำตา ทั่วร่างของเย่หวูเฉินเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แต่นางไม่บาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว ไร้ความเจ็บปวดใดๆ นางรู้เหตุผลว่าทำไม และนางยังรู้อีกว่า หากเย่หวูเฉินปล่อยนางไว้เบื้องหลัง เขาย่อมหนีพ้นไปแล้ว แต่เป็นเพราะว่านาง เขาจึงแบ่งพลังตนเอง แบ่งจิตสมาธิ กระทั่งแบ่งแขนจนใช้ได้เพียงข้างเดียว

แต่ว่า นางจะไม่อ้อนวอนให้เขาทิ้งนางไว้เบื้องหลังแล้วจากไป เพราะนางรู้ดีว่าเขาจะไม่มีวันทำ กลับกันเขาจะโกรธอย่างมาก หากนางเป็นเขา นางก็ย่อมจะทำแบบเดียวกัน

“งั้นก็ดีเลย” เย่หวูเฉินยิ้มยินดี จากนั้นหอบหายใจเข้าสองสามครั้ง สงบระงับจิตใจ ใช้พลังที่เหลือฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ บนร่างกายนอกจากรอยตัดอย่างปราณีจากฟงเฉาหยาง เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอื่นใด กระนั้นอวัยวะภายในยังบาดเจ็บอย่างรุนแรง เมื่อครู่ที่ผ่านมาขณะใช้พลังทั้งหมดเจาะทะลวงฝูงชน อาการบาดเจ็บยิ่งแย่หนักลงไปอีก พลังของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว ในระหว่างความเจ็บปวดที่เสียดแทง สติของเขาเริ่มที่จะพร่าเลือน และการหลบหนีไม่คิดชีวิต เขาใช้พลังเฮือกสุดท้ายที่เก็บไว้ ในเวลานี้เขาใช้พลังทั้งหมดไป และอยู่ในสภาพพร้อมพังพาบลง

Facebook Twitter Telegram Pinterest
Heavenly Star สวรรค์มวลดาว (จบ)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Completed ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เด็กหนุ่มลึกลับผู้ลืมเลือนอดีต ตื่นขึ้นมาในทวีปเทียนเฉิน ถูกเข้าใจว่าเป็นบุตรชายตระกูลเย่ เขาจึงใช้สถานะนี้เฝ้าสังเกตโลกอันยุ่งเหยิง รวมทั้งสืบหาอดีตของตน หากแต่โชคชะตาที่ต้องประสบกลับมีเพียงความน่าหวั่นสะพรึง เขาจึงหัวเราะเยาะโชคชะตา และเผยพลังสะท้านแดนดินใต้ผืนสวรรค์.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset