ฟงเฉาหยางเหลือบมองตรงที่เขาถูกฟัน จากนั้นยกกระบี่ขึ้นแล้วเดินเข้าหา เย่หวูเฉินยื่นแขนออก กระบี่ตัดดาราบินหวือเหวี่ยงเข้าใส่ร่างของฟงเฉาหยาง ฟงเฉาหยางกวัดแกว่งกระบี่ตัดวายุขึ้นรับกระบี่ตัดดารา เขาขมวดคิ้วและกล่าวเสียงต่ำ “กระบี่จักรพรรดิ?”
เปรี๊ยะ~~
กระบี่ตัดวายุถูกดูดติดกับกระบี่ตัดดาราที่สั่นอย่างรุนแรง ฟงเฉาหยางเคลื่อนฝ่ามือ จากนั้นกระบี่ตัดดาราก็ปลิวหลุดออกไป มันบินกลับเข้าสู่มือของเย่หวูเฉิน เย่หวูเฉินจับด้ามกระบี่และยืนขึ้น โลกเบื้องหน้ากำลังหมุนวน ภาพที่เขาเห็นเริ่มค่อยๆพร่าเลือน…
แรงกระแทกเมื่อครู่นี้ทำให้อวัยวะภายในของเขาเสียหายอย่างหนัก ด้วยฟงเฉาหยางที่กำลังตรงเข้ามา ทำให้เขาไม่มีเวลาฟื้นฟู…. ไม่เช่นนั้นครั้งต่อไปที่ฟงเฉาหยางยกกระบี่ขึ้น จะเป็นเวลาที่เขาและหนิงเสวี่ยต้องสิ้นชีพลง
ภาพเบื้องหน้ากำลังพร่าเลือน หากแต่ยังเพียงพอต่อเขาในการระบุตำแหน่งของฟงเฉาหยาง ร่างสั่นสะท้านก้าวตรงไปเบื้องหน้า จากนั้นกระโดดขึ้นและฟาดฟัน เขาเคลื่อนพลังทั่วร่างโจมตีใส่ฟงเฉาหยาง
พลังที่เย่หวูเฉินครอบครองอยู่ในเวลานี้ เป็นพลังที่พิเศษจำเพาะอย่างยิ่งในทวีปเทียนเฉิน มันไร้รูปแบบใดๆเหมือนที่ฟงเฉาหยางกล่าว ทั้งยังไร้กระบวนท่าและมีเพียงพลังเท่านั้น….พลังหวูเฉินอันทรงอำนาจ ดังนั้น จากการที่เขาไม่ค่อยได้ประมือกับใคร การโจมตีจึงมีเพียงท่วงท่าธรรมดาๆเท่านั้น ฟัน , ฟาด , ตัด , แทง…
เสียงอากาศบิดเบือนดังขึ้นอีกครั้ง กระบี่ตัดดาราปลิวออกจากมือเป็นครั้งที่สอง โลหิตไหลอาบแขนขวาอย่างต่อเนื่อง อวัยวะภายในเคลื่อนที่สับสน ความเจ็บปวดอันยากจะทานทน ราวกับทุกสิ่งถูกตัดเป็นชิ้นๆ ครึ่งหนึ่งของพลังถูกใช้เพื่อปกป้องหนิงเสวี่ย พลังอีกครึ่งถูกใช้เพื่อโจมตี ไม่เหลือพลังใดๆที่จะใช้สำหรับป้องกันตัวเอง….
หากแต่ในตอนนี้ เขากลับไม่ได้ล้มลง เขาเงยศีรษะขึ้น มองไปที่กระบี่ตัดดาราที่ปลิวขึ้นสูงบนฟ้า เกือบจะโดยสัญชาตญาณ เขาใช้พลังทะยานร่างขึ้น คว้าจับกระบี่ตัดดารากลางอากาศที่เปล่งแสงสีทองและแสงแห่งเปลวเพลิง
“เสวี่ยเอ๋อร์…..กอดข้า…..กอดข้าไว้ให้มั่น…..” โลกเบื้องหน้ากลายเป็นพร่าเลือนยิ่งจนแทบไม่อาจแยกแยะสิ่งใด ริมฝีปากเขาสั่นเทา เปล่งเสียงอ่อนแอจนแทบจะฟังไม่ได้ยิน
จากนั้น…. เขาปล่อยแขนเบื้องซ้ายที่ใช้ประคองหนิงเสวี่ย มือทั้งสองข้างจับที่ด้ามกระบี่ ทุกหยดหยาดพลังในร่างกาย , ทุกอวัยวะ , ทุกเศษเสี้ยวพลังแม้ในเศษเส้นผม ถูกดึงออกมาโดยเย่หวูเฉิน ส่งตรงไปยังไปยังมือทั้งสองข้าง
ระหว่างกลางอากาศ มือสองข้างชูกระบี่ตัดดารา ดวงตาไม่ได้เพ่งมองไปที่จุดไหน ขณะที่เขาลอยโค้งลงมา เขาก็ฟันกระบี่ลงมาอย่างรุนแรง
มือสองข้างนั้นอ่อนแอและไร้พลังอย่างยิ่ง ไม่ได้สร้างแรงคุกคามต่อฟงเฉาหยางแม้แต่น้อย ฟงเฉาหยางถอนหายใจ เขากล่าวด้วยเสียงเบา “มาจบเรื่องนี้กัน”
การโจมตีสองครั้งล่าสุด เขาได้ใช้พลังไปถึงห้าในสิบส่วน สำหรับเย่หวูเฉินที่ยังไม่ตกตาย นับว่าเหนือความคาดหมายแล้ว แต่แม้ว่าเขาจะยังไม่ตาย อย่างน้อยจะต้องบาดเจ็บสาหัส ทั้งเรี่ยวแรงและพลังชีวิตกระจัดกระจาย กล่าวได้ว่าเป็นตะเกียงไฟที่น้ำมันเหือดแห้ง ด้วยการโจมตีครั้งนี้ ย่อมถือเป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของเขา
เขายกกระบี่ตัดวายุขึ้น วาดกระบี่ขณะที่ตรงไปเบื้องหน้า จากนั้น ชั่วขณะที่ใบกระบี่กำลังจะสัมผัสกัน ฟงเฉาหยางก็พลันพบว่าในดวงตาไร้ชีวิตของเย่หวูเฉิน ยามนี้กลับสว่างชัดใสในฉับพลัน ความเกรี้ยวกราดกลับปรากฎในดวงตาอีกครั้งหลังจากที่สูญเสียไปเมื่อครู่นี้
“แยก….ฟ้า….ผ่า….ปฐพี…. ย้ากก!!!!”
กระบี่ตัดดาราพลันเปล่งแสงสีทองสว่างเจิดจ้า แสงวาบกะทันหันและไร้สัญญาณบ่งบอกทำให้ดวงตาของฟงเฉาหยางพร่าเลือน เขาหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง โลกเบื้องหน้าได้กลายเป็นสีทองคำ ขณะที่ม่านตากำลังขยายออก แสงทองคำก็ได้ตัดผ่านราวกับตัดเต้าหู้ ไม่มีชะงักเมื่อกดผ่านกระบี่ตัดวายุที่ไม่เคยห่างกาย จากนั้นมันตกลงที่ไหล่ซ้ายของเขา…. โดยไม่มีการหยุดยั้ง มันเคลื่อนตามร่างของเย่หวูเฉินที่ตกลงมา มันตัดผ่านไหล่ซ้าย ผ่าจนกระทั่งลงไปถึงเท้า สร้างรอยเส้นสีทองบนร่างของฟงเฉาหยาง
กระบี่ตัดดาราเคลื่อนลงมาถึงพื้นในที่สุด ในตอนนี้แสงสีทองสว่างเจิดจ้าอย่างยิ่ง ลำแสงสีทองทะลักทลายออกจากกระบี่ ตัดผ่านม่านฟ้ารัตติกาล แสงทองจรดฟากฟ้าสรวงสวรรค์ ทั่วทั้งราชวัง หรือกระทั่งทั่วทั้งเมืองเทียนฟง จากทุกสารทิศผู้คนสามารถมองเห็นลำแสงสีทองพุ่งสูงจรดฟากฟ้า ลากตัดไปจนถึงเส้นขอบโลก บนผืนปฐพี รอยแยกแผ่กว้างเป็นระยะทางไกล….
จะมีใครรู้บ้างว่า ลำแสงสีทองนี้ ได้จบชีวิตผู้กล้าในหัวใจของทุกผู้คนในอาณาจักรต้าฟง เทพสงครามผู้ไร้ต้าน
เย่หวูเฉินกอดหนิงเสวี่ยแน่นไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง เผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปากอย่างชัดเจน ดวงตาของฟงเฉาหยางไร้วิญญาณ ร่างที่เคลื่อนไหวหยุดนิ่งลงทันที สายตามองไกลไปเบื้องหน้า ขณะที่พึมพำ “ยอด….เยี่ยม….ยิ่งนัก….”
เมื่อสิ้นเสียงกล่าวคำ ร่างของเขาก็แยกออกเป็นสองส่วนตามเส้นสีทอง จากนั้นร่วงลงบนพื้นดิน
เย่หวูเฉินทรุดนั่งลงบนพื้นในที่สุด เขาควบรวมพลังหวูเฉินฟื้นฟูอวัยวะภายในอย่างรวดเร็ว บรรเทาความเจ็บปวดให้ตนเอง ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะใช้พลังสูงสุดในการสังหารเทพสงคราม เขาไม่กล้าสูญเสียพลังแม้แต่เพียงนิดเดียว เพื่อปลดปล่อยพลังของกระบี่จำเป็นต้องใช้พลังมหาศาล และพลังที่ถูกสูบกลืนย่อมมหาศาลตาม เพียงเหวี่ยงหนึ่งกระบี่ พลังทั้งหมดในร่างก็แทบถูกสูบกลืนไปสิ้น ตอนนี้ความเจ็บปวดในร่างกำลังลดลง
“อ๊า! เขาตาย ไม่น่าเชื่อว่าเขาตายแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะแพ้ให้กับเจ้านาย…. เจ้านาย ท่านยอดเยี่ยมจริงๆ ท่านกลับ…ทำได้สำเร็จ!?” หนานเอ๋อร์ปิติยินดีอย่างยิ่ง จากนั้นกล่าวกับตัวเองอย่างงุนงง “แปลกจริงๆ เจ้านายใช้กระบวนท่า ‘แยกฟ้าผ่าปฐพี’ ที่กระทั่งข้ายังไม่รู้วิธีได้อย่างไร?”
เย่หวูเฉิน “………”
“เจ้านาย? เจ้านาย ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ช่างเถอะ…. ตอนนี้อย่าพึ่งรบกวนข้า” น้ำเสียงของเย่หวูเฉินอ่อนแอราวกับสายลมอ่อน เมื่อเขาผ่าร่างของฟงเฉาหยาง ผู้คนในบริเวณโดยรอบล้วนแตกตื่นตะลึงลาน ผู้คนที่บาดเจ็บเพราะถูกลูกหลงมีเป็นจำนวนมาก ฟงเฉาหยางจงใจไม่เปลี่ยนที่ เพราะเขาไม่ต้องการให้ราชวังเสียหายจากพลังแกร่งกร้าว ครั้งนี้ ไม่มีแม้สักคนที่อยู่ในรอบรัศมีร้อยเมตร แต่เย่หวูเฉินรู้ดีว่า เขากำลังจะเผชิญหน้ากับการโจมตีเกรี้ยวกราดในไม่ช้า ดังนั้นเขาจึงต้องรีบฟื้นฟูอาการบาดเจ็บด้วยความเร็วสูงสุด
หนานเอ๋อร์กลายเป็นเงียบกริบในทันที
ชั่วขณะที่ฟงเฉาหยางถูกผ่าร่างเป็นสองซีก ชายชราทั้งสามที่มองอยู่จากที่ไกล รวมทั้งฟงเลี่ยและฟงหลิง ทั้งหมดต่างตกตะลึงโง่งม ข้อเท็จจริงเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่อาจยอมรับได้ พวกเขาจะเชื่อลงได้อย่างไร…. ลึกลงไปในใจ พวกเขาต่างเชื่อว่านี่เป็นเพียงภาพลวงตาจากความฝัน
เทพสงคราม….จะมาตายแบบนี้ได้อย่างไร!? ตกตายด้วยน้ำมือของชายหนุ่มที่ยังอายุไม่ถึง 20 ปี…..
ตกตะลึง , ตัวสั่น , หวาดกลัว และยากที่จะทำใจเชื่อ….. หัวใจของพวกเขาปั่นป่วนจนยากที่จะบ่งบรรยาย แรงกระทบช่างใหญ่หลวง หนักหนาจนแทบทำให้หัวใจพังทลาย
“ตาย…. ไม่น่าเชื่อ อาวุโสฟง ตายแล้ว….” ฟงหลิงดวงตาเบิกกว้าง ไม่อาจเชื่อความจริงที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า เทพปกปักษ์แห่งตระกูลฟง บุคคลที่พวกเขานับถือและชื่นชมอย่างลึกล้ำ หนึ่งบุรุษที่ทอดตามองยังโลกหล้า ตำนานที่ทุกคนต่างแหงนหน้าเงยมอง…. ดับสิ้นลงต่อหน้าพวกเขาไปทั้งแบบนี้ และคนที่สังหารเขา กลับเป็นเพียงชายหนุ่มที่อ่อนเยาว์กว่าเขาไม่รู้กี่ปี
เขาแข็งแกร่ง แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่เขาจะเป็นคู่มือของฟงเฉาหยางได้อย่างไร เห็นอยู่ชัดๆว่าเขากำลังจะตายใต้คมกระบี่ของฟงเฉาหยาง แล้วเหตุใดถึงได้จบลงแบบนี้…. หวูเฉินแห่งตระกูลเย่ ผู้สังหารฟงเฉาหยาง เป็นเขาจริงๆ….
“พวกเรา…..ตาฝาดไปหรืออย่างไร?” ชายชราชุดเหลืองพึมพำราวกำลังฝันอยู่
“ตาของเจ้าไม่ได้ฝาด ข้าเองก็เห็นแบบนั้นเช่นกัน” ชายชราชุดดำกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาจะยอมรับได้อย่างไรว่า ชายหนุ่มที่สภาพร่างกายย่ำแย่ถึงปานนั้น กลับเผชิญหน้าสังหารเทพสงครามที่พวกเขาได้แต่เงยหน้ามอง
“ความสำเร็จในอนาคตของเด็กหนุ่มคนนี้ จะทำให้ทั้งโลกต้องตกตะลึง” ชายชราชุดม่วงที่ไม่เคยเปิดปากมาก่อนได้เอ่ยขึ้นมาในตอนนี้ จากสีหน้าตะลึงลานของเขา แน่นอนว่าตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน พวกเขาไม่เคยตกใจถึงเพียงนี้มาก่อน
ตอนนี้ฟงเฉาหยางได้ตายลงแล้ว และยังกล่าวได้ว่าเป็นการตัดแขนข้างหนึ่งของตระกูลฟง ทำลายร่มกางกั้นพายุที่แน่นหนาและมั่นคงที่สุดของตระกูลฟง ฟงเลี่ยสั่นสะท้านไปทั้งร่างกาย ดวงตาเบิกกว้าง เขาชี้นิ้วไปที่เย่หวูเฉินผู้ไม่ไหวติงที่ระยะทางไกล ตะโกนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่รวดร้าวสุดแสน “มันฆ่าอาวุโสฟง มันฆ่าอาวุโสฟง…. เร็ว… เร็วเข้า…. ฆ่ามันเดี๋ยวนี้! ตอนนี้มันยังหนีไม่ได้ มันจะต้องบาดเจ็บสาหัสอยู่ จงไปฆ่ามันบัดเดี๋ยวนี้!”
อย่างไรเสียเขาก็คือฟงเลี่ย ภายใต้ความตื่นตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่า เขายังคงไม่สูญเสียเหตุผลและความเยือกเย็นทั้งหมดไป ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรต้าฟง เขาย่อมรู้จักพลังของฟงเฉาหยางดียิ่งกว่าใคร และเรื่องนี้สำคัญต่อตระกูลฟงอย่างยิ่ง กับชายหนุ่มที่สามารถสังหารฟงเฉาหยาง หากเขามัวแต่ปล่อยให้ความเกลียดชังครอบงำ และปล่อยให้ชายผู้นี้หนีไปได้ ในอนาคตข้างหน้า เขาย่อมไม่อาจหลับนอนหรือกินดื่มได้อย่างสุขใจ ไม่มีวันเป็นอิสระจากความกังวล
ชายชราทั้งสามหันมองหน้า จากนั้นผงกศีรษะให้กัน พวกเขากระโดดลงไป ตรงเข้าหาตำแหน่งของเย่หวูเฉิน เช่นเดียวกับสามอาวุโสที่อยู่ข้างกายของหลงหยิน ชายชราสามคนนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ ยิ่งกว่านั้นพวกเขาทั้งสามคนยังเป็นพี่น้องกัน มีพลังอยู่ในระดับเดียวกัน และใช้อาวุธชนิดเดียวกัน พวกเขาทั้งสามถูกเรียกว่า “สามอาวุโสแห่งต้าฟง” ทุกคนในอาณาจักรต้าฟงล้วนรู้จัก พวกเขาคือผู้ปกปักษ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดรองจากฟงเฉาหยาง แม้ว่าพวกเขาฝืนใจอย่างยิ่งที่ต้องทำลายชายหนุ่มผู้เปี่ยมพรสวรรค์ แต่พวกเขาจำเป็นต้องทำหน้าที่ เพราะหากชายหนุ่มถึงปานนี้สามารถหนีรอดออกไป เขาย่อมกลายเป็นหายนะภัยต่ออาณาจักรต้าฟง เรื่องนี้เล็กน้อยหรือหนักหนา มีหรือที่คนทั้งสามที่ผ่านประสบการณ์ยากเข็ญมามากมายจะไม่รู้ พวกเขาได้ผ่านเลยวัยที่จะใช้เพียงอารมร์ชั่ววูบ
ก่อนที่ชายชราทั้งสามจะเข้ามาใกล้ สนามพลังสามสายได้พุ่งเข้าตรึงร่างของเย่หวูเฉิน ร่างของเขายังคงอยู่นิ่งไม่ไหวติง กำลังฟื้นฟูอาการบาดเจ็บให้ตนเอง มือซ้ายกอดกระชับหนิงเสวี่ย มือขวาจับกระบี่ตัดดาราที่ใช้สังหารฟงเฉาหยาง มันยังคงลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ
ชายชราทั้งสามที่มองดูการต่อสู้มาตลอดต่างรู้ดีว่าครั้งนี้เขาย่อมได้รับบาดเจ็บสาหัส หากเขาเป็นเพียงยอดฝีมือชั้นสูงทั่วไปย่อมตกตายไปนานแล้ว เขายังสามารถนั่งขัดสมาธิอยู่ได้นับว่าน่าแปลกใจ บางทีเวลานี้ แค่โจมตีใส่เย่หวูเฉินง่ายๆก็อาจจะพรากชีวิตของเขาได้แล้ว
เย่หวูเฉินบาดเจ็บสาหัสจริงๆ อาการบาดเจ็บรุนแรงพอที่จะสังหารคนธรรมดา แต่โครงสร้างร่างกายของเขาไม่อาจเทียบได้กับคนธรรมดา ความเร็วในการฟื้นฟูของเขา ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ชายชราทั้งสามจะสามารถจินตนาการได้
หนิงเสวี่ยถูกประคองอยู่ในอ้อมแขนมาตลอด นิ่งเงียบราวกับตุ๊กตา นางยับยั้งตัวเองไม่ให้ส่งเสียงใดๆ เพื่อไม่ให้เขาต้องรู้สึกกังวล หรือเป็นการรบกวนเขา
ชายชราทั้งสามเคลื่อนเข้ามาใกล้จากสามทิศทาง ล้อมรอบเขาไว้ตรงกลาง และในตอนนี้ราชองครักษ์กลุ่มใหญ่ก็ได้มาถึง ฟงเลี่ยที่เกลียดชังและหวาดกลัวต่อเย่หวูเฉิน เวลานี้ย่อมไม่ปล่อยโอกาสแม้เพียงนิดน้อยให้เขาหนีรอดออกไป ไม่มีการยั้งกำลังขององครักษ์ในวัง เขาจะต้องสังหารและสับมันเป็นชิ้นๆในราชวังนี้ให้ได้
เสียงฝีเท้ามากมายดังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสียงกวัดแกว่งของกระบี่ ชายชราทั้งสามมองสำรวจเย่หวูเฉินในระยะใกล้ เป็นเวลานานที่ไม่มีผู้ใดกล้าจู่โจม ตอนนี้เย่หวูเฉินหน้าซีดยิ่งกว่ากระดาษ ลมหายใจแผ่วเบาจนแทบไม่อาจสัมผัส ราวกับว่าเป็นคนที่ไร้วิญญาณ มีเพียงแสงประหลาดสีแดงที่ยังระยับอยู่บนร่าง และเปลวเพลิงบนกระบี่ยังคงแผดเผา พวกเขาอยากรู้ชื่อกระบี่ในมือของเย่หวูเฉินอย่างแท้จริง มันสามารถปะทะกับกระบี่ตัดวายุของเทพสงครามได้โดยไร้รอยบิ่นแม้เพียงนิดเดียว