ดวงตาไร้วิญญาณของฟงเฉาหยางเปล่งประกายความชื่นชม เขาแทบไม่เชื่อเลยว่า บุรุษหนุ่มที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี จะสามารถรับการโจมตีที่เขาใส่พลังเข้าไปถึงสามในสิบส่วนได้ และตอนนี้ เขาใช้กระบี่ตัดวายุปัดป้องการโจมตีบ้าคลั่งของเย่หวูเฉิน และยังไม่ได้โจมตีสวนกลับแม้แต่ครั้งเดียว
ผืนพสุธาแตกออก พื้นที่ที่อยู่ใกล้ที่สุดคือบริเวณห้องหนังสือ ยามนี้กลายสภาพเป็นเศษซากพังทลาย เสียงปะทะเลื่อนลั่นสร้างความหวาดกลัวไปทั่วราชวัง เสียงสตรีกรีดร้องต่อเนื่องตามกันเป็นพักๆ แต่ละคนซ่อนตัวอยู่ในห้องไม่กล้าออกมา
ปะทะฟาดฟันกันต่อเนื่องหลายครั้ง…. แต่ละครั้งพลังยิ่งรุนแรงกว่าครั้งก่อน เวลานี้ต่อหน้าฟงเฉาหยางราวกับศัตรูคู่อาฆาต ได้ปลดปล่อยพลังออกมาทำให้เย่หวูเฉินรู้สึกสบายกายขึ้น พลังปราณที่อัดแน่นอยู่ค่อยๆถูกระบาย หนิงเสวี่ยที่อยู่ในอ้อมแขนยังคงไม่ไหวติง ราวกับว่าพลังที่ป่นหินจนละเอียดและเสียงดังเสียดหูไม่อาจปลุกนางให้ตื่นจากนิทรา
“เจ้านาย…. รีบหนีไปเร็วเข้า อย่าสู้กับเขาอีกเลย ปู่คนนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ท่านไม่มีทางเอาชนะเขาได้” หนานเอ๋อร์ตะโกนอย่างกระวนกระวาย แต่เย่หวูเฉินหูดับไปแล้วเรียบร้อย แต่ละกระบี่ที่ฟาดฟันล้วนเล็งไปที่จุดตายของฟงเฉาหยาง
“ฮืออ ฮืออ…. เจ้านาย เขาทรงพลังทัดเทียมกับเสวี่ยเฟยเยี่ยนในวันนั้น เป็นไปไม่ได้สำหรับท่านที่จะเอาชนะเขา…. ถึงแม้พลังของเจ้านายจะเพิ่มขึ้นมามากมาย… แต่ตอนนี้ขนาดเขายืนอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวร่างกาย เจ้านายก็ยังไม่สามารถสร้างรอยแผลให้เขาได้เลย…. เจ้านาย รีบหนีไปเร็วเข้า…”
เปรี้ยง!!!
เขาฟาดกระบี่ด้วยพลังทั้งหมด แต่ถูกป้องกันอย่างมั่นคงโดยกระบี่ตัดวายุ พื้นดินที่อยู่ใต้เท้าๆค่อยๆยุบตัวลง ดวงตาของฟงเฉาหยางฉายแวววาบ เขาสั่นข้อมือ เย่หวูเฉินครางเสียงต่ำ ร่างของเขาถูกพลักออกด้วยพลังไร้ต้าน สร้างรอยไถลลากไปบนพื้นยาวร่วม 30 เมตร
ฟงเฉาหยางไม่ได้ติดตามโจมตีต่อ เขายกกระบี่ตัดวายุขึ้น สายตามองที่ใบกระบี่ คมกระบี่ที่เดิมทีราบเรียบไร้รอย ตอนนี้กลับปรากฎรอยบิ่นเล็กๆที่ยากจะมองเห็น
“กระบี่ดี” เขาเคลื่อนสายตาออก เอ่ยชื่นชมอย่างไร้อารมณ์
เขาไม่มีทางรู้เลยว่ากระบี่ที่เย่หวูเฉินถืออยู่คือกระบี่ตัดดารา กระบี่ที่ทุกคนรู้จักชื่อ หากแต่ว่าไม่เคยมีใครได้เห็นมันกับตา
ไกลออกไปบนหลังคาของอาคารแห่งหนึ่ง ฟงเลี่ยกำลังมองดูคนทั้งสองด้วยคิ้วขมวดมุ่น บริเวณที่พวกเขาสู้กันถูกทำลายย่อยยับลง ฟงเลี่ยไม่มีเวลารู้สึกเสียใจกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ภายใต้ท่าทีที่สงบ ในใจปรากฎคลื่นความสับสนถาโถมจนยากจะรักษาสีหน้า
“พลังของเขาเหนือล้ำกว่าพวกเราทั้งสามคน หากวันนี้เขาสามารถไปจากที่นี่ได้ ความสำเร็จในวันหน้าย่อมไม่อาจคาดคิดจินตนา” ชายชราในชุดสีเหลืองผู้ที่นำฟงเลี่ยออกมาเป็นคนกล่าว “แม้แต่เทพสงครามที่พวกเราไม่ค่อยได้พบเจอ ตอนที่เขาอายุเท่ากัน ความสำเร็จยังไม่อาจเปรียบเทียบกับมันได้”
เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ฟงเลี่ยยิ่งเงียบงัน
“เทพสงครามมีจิตชื่นชมรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ ได้พบเจออัจฉริยะไร้ที่เทียบ ไม่ว่าใครย่อมทำใจยากที่จะทำลาย ตอนนี้เขาใช้พลังเพียงสามในสิบส่วน ในช่วงสั้นๆที่ปะทะกันเขาไร้เจตนาสังหารโดยสิ้นเชิง ข้าคิดว่าเขาคงต้องการทดสอบดูว่า ชายหนุ่มผู้นี้จะทำอย่างไรภายใต้การกดดันของเขา” ชายชราอีกคนที่สวมชุดสีดำและมาด้วยกันกับชายชราชุดเหลืองกล่าวพลางถอนหายใจ
เมื่อครู่ที่ผ่านมา ขณะที่เย่หวูเฉินกับฟงเฉาหยางฟาดฟันกระบี่กัน ฟงหลิงที่อยู่ห่างๆรู้สึกเจ็บปวดในหน้าอกราวกับจะฉีกออก แต่เขาก็ยังไม่คิดที่จะจากไป เขากุมอกที่เจ็บปวดรวดร้าว มองไปยังร่างที่สั่นระยับด้วยเปลวเพลิงที่อยู่ห่างไกล เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “หากพวกเราไม่กำจัดคนๆนั้นในวันนี้ วันหน้าเขาจะต้องสร้างปัญหาให้ไม่จบสิ้น”
“ถูกต้อง” ฟงเลี่ยผงกศีรษะเห็นตาม “หากมันถือกำเนิดในอาณาจักรต้าฟง เช่นนั้นก็นับเป็นพรจากฟ้าที่ประทานให้แก่อาณาจักรต้าฟง แต่มันถือกำเนิดขึ้นในตระกูลเย่ โชคยังดี…. ที่มันปรากฎตัวขึ้นก่อนเวลาอันควร ไม่เช่นนั้น ในภายภาคหน้ามันย่อมกลายเป็นหายนะร้ายแรงต่ออาณาจักรต้าฟงของพวกเรา ถึงแม้อาวุโสฟงจะมีเมตตาต่อพวกที่มีพรสวรรค์ แต่เขาย่อมทำตามวาจาที่ได้ลั่นเอาไว้ วันนี้ มันจะต้องตกตาย ได้ตายด้วยน้ำมือของเทพสงความแห่งอาณาจักรต้าฟง นับได้ว่า มันไม่มีสิ่งใดที่จะต้องเสียใจในชีวิตนี้แล้ว”
ชายชราทั้งสามต่างเงียบงันในเวลาเดียวกัน สายตาจับจ้องยังที่ห่างไกล มองสำรวจชายหนุ่มที่ปกป้องสาวน้อยในอ้อมแขนด้วยมือเดียว อีกมือหนึ่งถือกระบี่ พุ่งเข้าใส่เทพสงครามโดยไร้ความเกรงกลัว หัวใจที่สงบเงียบมาตลอดหลายปีเต้นแรงอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้ เขาล่วงล้ำถึงขั้นจับตัวจักรพรรดิแห่งอาณาจักรต้าฟงเป็นตัวประกัน รวมทั้งองค์หญิงฟงรู่ภายใต้การจับจ้องของฟงเฉาหยาง พวกเขารู้ดีว่า ตั้งแต่ฟงเฉาหยางได้เข้ามาคุ้มกันราชตระกูล อย่าว่าแต่การจับตัวประกัน แค่เศษเส้นผมของทุกคนในราชตระกูลก็ไม่เคยเป็นอันตราย ด้วยความกล้าหาญถึงเพียงนี้ , ความสามารถ , และพลัง…. เขาเป็นคนประหลาดที่เหนือล้ำถึงปานใด… อนาคตแบบไหนที่รอเขาอยู่…
พวกเขารู้ว่าเทพสงครามอยากเห็นอนาคตของเย่หวูเฉินเช่นเดียวกับพวกเขา หากไม่ใช่เพราะคำรับปากที่ได้ให้ไว้ หากไม่ใช่เพราะเขาสังหารฟงรู่ ฟงเฉาหยางย่อมไม่อยากเห็นชายผู้นี้ต้องถูกทำลาย เพราะชายหนุ่มถึงปานนี้อาจไม่ปรากฎตัวขึ้นอีกเลยในอนาคต
เย่หวูเฉินโจมตีอย่างต่อเนื่อง ไม่มีหยุดพักหายใจ แต่ฟงเฉาหยางก็ยังคงไร้เจตนาฆ่าฟัน แสงแดงที่เปล่งออกจากร่างของเย่หวูเฉินยิ่งมายิ่งแกร่งกล้า พลังเพิ่มทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว แรงกดดันทุกการโจมตียิ่งมายิ่งหนักหน่วงขึ้น ฟงเฉาหยางอยากจะรู้ว่าขีดจำกัดของชายผู้นี้อยู่ที่ใด
เปรี้ยง!
ร่างของเย่หวูเฉินปลิวละลิ่วออกไปและร่วงลงพื้น เขากอดหนิงเสวี่ยไว้แน่น เช็ดรอยเลือดออกจากตรงมุมปาก จากนั้นชี้กระบี่ไปที่ฟงเฉาหยางแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทะมึน “วันนี้… ผู้ที่จะต้องตายคือท่าน ไม่ใช่ข้า!!”
เขาเหวี่ยงกระบี่ไปเบื้องหน้าอีกครั้ง กระบี่ตัดดาราวาดแสงเพลิงเป็นวงโค้ง….
และตอนนี้ ฟงเฉาหยางไม่ได้ปัดป้องเหมือนครั้งก่อน เขาเผชิญหน้ากับพลังกระบี่ของเย่หวูเฉินโดยตรง ค่อยๆฟันกระบี่ออกช้าๆ… เส้นโคจรของวงกระบี่เชื่องช้าอย่างยิ่ง เย่หวูเฉินสามารถมองเห็นเส้นทางของมันได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม กระบี่ที่เคลื่อนเชื่องช้านี้กลับดูเหมือนทำให้เวลาโดยรอบไหลช้าลงตาม เย่หวูเฉินเหวี่ยงวาดกระบี่ก่อนแต่ยังไม่ทันไปถึง กระบี่ตัดวายุก็ได้ปล่อยคลื่นอากาศที่แทบทำลายล้างทุกเส้นทางที่มันผ่าน จากนั้นดวงตาของเย่หวูเฉินต้องสั่นไหว หนึ่งกระบี่กลับกลายเป็นสามกระบี่ และสามกระบี่กลับกลายเป็นสิบกว่า… จำนวนกระบี่ยิ่งเพิ่มทวี
ในใจตกตะลึงพรึงเพริด ก่อนที่จะทันได้คิดล่าถอย บนทรวงอกและแขนถูกความเจ็บปวดชำแรก พลังมหึมาได้อัดเขากระเด็นกลับอีกครั้ง เย่หวูเฉินพลิกร่างสองรอบกลางอากาศและตกลงบนพื้นดิน ที่อกขวาและแขนขวามีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
ในที่ไกล ชายชราชุดเหลืองกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ดูเหมือนว่า เทพสงครามกำลังเตรียมที่จะสังหารแล้ว เฮ้อ!”
เขารู้ดีว่าไม่สมควรถอนหายใจเช่นนี้ต่อหน้าจักรพรรดิ แต่ลมหายใจยาวได้หลุดออกจากมุมปากอย่างไม่อาจควบคุม เผยสีหน้าเสียใจและไร้ทางเลือก
เย่หวูเฉินเคลื่อนพลังหวูเฉินรักษาบาดแผลที่แขนและที่ทรวงอก ฟงเฉาหยางโจมตีเล็งไปที่ฝั่งขวาของร่างกาย เทพสงครามย่อมมีความภาคภูมิของตนเอง เขาย่อมไม่กล้าทำร้ายเด็กหญิงที่อยู่ในอ้อมแขนของศัตรู การโจมตีเมื่อครู่นี้เขายังคงใช้พลังเพียงสามในสิบส่วน กระบวนท่าที่เขาใช้เรียกว่า “กระบี่เดียวท้าวายุ” และเป็นกระบวนท่าที่เทพสงครามคิดค้นด้วยตัวเอง
“ทักษะกระบี่ของเจ้าไร้รูปแบบ เห็นได้ชัดว่า ฉู่ชางหมิงไม่ได้สอนเจ้าเกี่ยวกับวิถีของกระบี่ ระดับพลังของเจ้าสูงล้ำกว่าที่ข้าคิดไว้ หากเจ้าใช้พลังทั้งหมดย่อมฝืนรับพลังสามในสิบส่วนของข้าได้ แต่เจ้าใช้พลังอีกครึ่งหนึ่งเพื่อปกป้องเด็กหญิงในแขนของเจ้า เมื่อพลังของเจ้าถูกแบ่งแยก หัวใจย่อมไม่อาจจดจ่อเป็นหนึ่ง… วางนางลงซะ ข้าจะไม่ทำร้ายนาง ให้ข้าได้เห็นว่าขีดจำกัดของเจ้าจะไปได้ถึงขั้นไหน” ฟงเฉาหยางกล่าวราบเรียบ
เย่หวูเฉินใช้กระบี่ยันตัวเองยืนขึ้นช้าๆ ไม่เพียงเขาไม่ปล่อยหนิงเสวี่ย เขากลับกอดนางแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ฟงเฉาหยางถอนหายใจยาว “ข้าไม่อยากสังหารเจ้า เหตุใดเจ้าถึงบีบบังคับให้ข้าต้องทำ…. เจ้าโจมตีเข้ามาได้ ครั้งนี้ ข้าจะไม่ปราณีแล้ว”
สองแขนของหนิงเสวี่ยกอดเย่หวูเฉินไว้แน่น ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่นางมี
“หนานเอ๋อร์… ช่วยข้าที” เย่หวูเฉินปรับลมหายใจ รักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง จากนั้นตะโกนลั่นในจิตใจ
“ข้า….ข้าติดอยู่ในกระบี่ ข้าออกไปช่วยเจ้านายไม่ได้ ฮืออ แง….”
“ถ้าอย่างนั้นบอกข้ามา ด้วยพลังของข้าในยามนี้ ข้าจะทนรับพลังของกระบี่ตัดดาราได้ถึงขั้นไหน?” เย่หวูเฉินถามขณะสงบจิตใจ
“เอ๋? ขอข้าคิดก่อน… ใช่แล้ว เจ้านาย จากพลังของท่านในยามนี้ บางทีท่านอาจใช้กระบวนท่าแรกจากสามกระบวนท่าแห่งจักรพรรดิใต้…. อาจจะเป็นไปได้จริงๆก็ได้!” หนานเอ๋อร์ที่ดูเหมือนจะจำบางอย่างได้พลันตื่นเต้นขึ้น
“สามกระบวนท่าแห่งจักรพรรดิใต้?”
“อื้ม… พลังสุดยอดของกระบี่ตัดดาราจะใช้ออกด้วยสามกระบวนท่าแห่งจักรพรรดิใต้ กระบวนท่าเหล่านั้นได้แก่ ‘แยกฟ้าผ่าปฐพี’ , ‘ทลายสวรรค์แดนฟ้า’ , ‘ดาราวินาศ’ ข้าจำได้ว่าพลังขอบเขตเทวะจะสามารถใช้กระบวนท่าแรกคือแยกฟ้าผ่าปฐพี จากพลังของเจ้านายที่เพิ่มขึ้นมาในตอนนี้ สามารถนับได้ว่าเป็นระดับครึ่งเทวะ บางที…. บางทีเมื่อท่านรวบรวมพลังทั้งหมด ท่านอาจจะใช้มันได้” หนานเอ๋อร์กล่าวอย่างตื่นเต้น
“ข้าจะใช้มันได้ยังไง?”
“….เอ่อ ข้าไม่รู้….”
“………”
เย่หวูเฉินพ่นลมออกหนักหน่วง พลังหวูเฉินที่ควบคุมอยู่ในร่างยิ่งมายิ่งยุ่งเหยิง ผ่านมาแล้วหลายนาทีที่เขากลืนกินผลมังกรเพลิงฟ้าลงไป ความร้อนแผดเผาในร่างยังคงไม่จางคลาย พลังแฝงในร่างกายยังคงปะทุออกมาอย่างต่อเนื่อง แปรเปลี่ยนเป็นพลังที่คล้ายแทบระเบิดออกมา เขาเคลื่อนสายตาขึ้นแล้วกล่าว “ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ท่านคือฟงเฉาหยางตัวจริง เป็นเทพสงครามที่แท้จริง… แต่ท่านคิดจริงๆหรือว่าการสังหารข้าเป็นเรื่องที่ง่ายดาย กระบี่ในมือข้าไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบหรือกลเม็ดใด!!”
ด้วยเสียงคำรามลั่น ใบหน้าของเย่หวูเฉินกลายเป็นเย็นเยียบในพริบตา เขาไม่ได้ยกกระบี่ขึ้น ร่างของเขาพุ่งพรวดไปเบื้องหน้า รวดเร็วราวกับสายฟ้า ความเร็วของเขาในยามนี้เกินกว่าที่ผู้คนจะสามารถจินตนาการ เพียงพริบตาเดียวเขาก็มาถึงเบื้องหน้าของฟงเฉาหยาง ฟงเฉาหยางยังคงสงบ เผชิญหน้ากับเขาที่เข้ามาด้วยการวาดกระบี่ธรรมดา
หากแต่พริบตาที่กระบี่กำลังจะสัมผัสร่างของเย่หวูเฉิน เขาพลันหายตัวไปต่อหน้า และที่ด้านข้างของฟงเฉาหยาง กระบี่ตัดดาราหวดฟาดลงมาที่เขาด้วยความโกรธเกรี้ยว…
เสียงทึบหนักดังขึ้น กระบี่ตัดดาราฟันเข้าที่เอวซ้ายของฟงเฉาหยางอย่างหนักหน่วง แต่ราวมันฟันถูกหินที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้า ปะทะเข้าที่ผิวภายนอกเพียงเท่านั้น ไม่อาจฝังกระบี่เข้าไปในร่างได้ และฟงเฉาหยางโจมตีสวนกลับในฉับพลัน เย่หวูเฉินรีบถอนกระบี่ปัดป้องการโจมตี เมื่อใบกระบี่ปะทะสัมผัสกัน เย่หวูเฉินกระอักเลือดออกมาและปลิวถอยหลัง กระบี่ตัดดาราปลิวออกจากมือ ตกลงบนพื้นห่างออกไปเบื้องซ้ายราวสิบเมตร มันปักเฉียงอยู่บนพื้น
“เมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น?” ที่ระยะไกล ชายชราชุดดำถามอย่างตื่นตระหนก เมื่อครู่ที่ผ่านมาเย่หวูเฉินพุ่งไปเบื้องหน้า เขาใช้วิธีประหลาดเคลื่อนเยื้องไปอยู่เบื้องขวา จากนั้นรักษาความเร็วเคลื่อนตัวอีกครั้งไปอยู่ด้านข้าง หากเขาไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เขาคงไม่เชื่อว่าจะมีใครที่สามารถทำแบบนี้ได้ เนื่องจากมันฝืนกฎของธรรมชาติ กฎของ “แรงเฉื่อย” ดูเหมือนจะหายไปจากร่างของเขาโดยสิ้นเชิง
ชายชราอีกสองคนต่างโง่งมตามกัน “ไม่น่าเชื่อจริงๆ ด้วยวิธีโจมตีที่แปลกประหลาด เทพสงครามตกลงสู่กับดักของเขาอย่างเห็นได้ชัด คนผู้นี้กลายเป็นน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ ทว่าแย่นัก เทพสงครามไม่ใช่ยอดฝีมือที่ถนัดด้านการโจมตี แต่เขาชำนาญอย่างยิ่งด้านการป้องกัน… เขาไม่ใช่คู่มือของเทพสงครามโดยสิ้นเชิง เฮ้อ!”
เย่หวูเฉินกุมหน้าอก ไอด้วยด้วยความเจ็บปวด บ้วนโลหิตออกจากปากคำโต กล้ามเนื้อบนใบหน้าบิดเบี้ยวรุนแรง เขาจ้องมองที่ฟงเฉาหยาง กัดฟันขณะกล่าว “ข้า…จะต้อง…ไม่ตายอยู่ที่นี่ คนที่จะต้องตายคือท่าน….คือท่าน….”