📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยาย Heavenly Star สวรรค์มวลดาว – เล่ม 4 ตอนที่ 201

บทที่ 201 - ประสานเปลวเพลิงและทองคำ
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

“ไม่ อาวุโสฟง ได้โปรดอย่าพูดเช่นนั้น” ฟงเลี่ยส่ายศีรษะด้วยความเศร้าโศก “เรื่องนี้พวกเราไม่อาจโทษอาวุโสฟง ผู้ผิดคือมันที่โหดเหี้ยมเกินไป…” ฟงเลี่ยมองที่เย่หวูเฉินด้วยความอาฆาตเจ็บปวด หัวใจเต็มไปด้วยความคั่งแค้น ผู้ใดเล่าจะคิดว่ามันมีระเบิดมหาประลัยอยู่ในมือ และใช้สิ่งนั้นเพื่อจับตัวฟงรู่ และใครจะคิดว่าเมื่อเทพสงครามได้ให้สัญญาว่าจะปล่อยเขาไปแล้ว เขากลับเลือกที่จะฆ่าฟงรู่อย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตา ยิ่งกว่านั้นยังเผาร่างไร้ชีวิตของนาง

เขาย่อมไม่ใช่คนที่ไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ และยิ่งไม่ใช่คนที่โหดเหี้ยมทารุณ… แต่เมื่อทุกสิ่งได้เกิดขึ้นแล้ว พวกเขาย่อมกลายเป็นศัตรูกันไปตลอดกาล

การกระทำของเย่หวูเฉินได้เลยขีดสุดความอดทนของฟงเฉาหยาง ยามนี้ฟงเฉาหยางรู้สึกผิดและโกรธเคืองที่อยากให้เขาหนีไป…. ตอนนี้ไร้ตัวเลือกอื่นนอกจากสังหารเขา

“เอาอาวุธของเจ้าออกมา ผู้สืบทอดแห่งเทพกระบี่ เจ้าควรตายในขณะที่ถือกระบี่อยู่” ฟงเฉาหยางเงยหน้ามองฟ้าและถอนหายใจ นี่คือการปราณีต่อเย่หวูเฉินอย่างยิ่งแล้ว เพียงเพราะให้ความเคารพต่อสหายเก่าแก่อย่างฉู่ชางหมิง ไม่อย่างนั้น…ทุกคนล้วนรู้ดีว่า หากเทพสงครามต้องการสังหารเขา เพียงหนึ่งกระบี่ก็เพียงพอ

เย่หวูเฉินอุ้มหนิงเสวี่ย ใช้หนึ่งมือกระชับนางไว้ในอ้อมแขน มือขวายื่นออกมา แสงสีทองสว่างวาบพร้อมกับแสงแห่งเปลวเพลิง ในมือของเขา ถือกระบี่ใหญ่ที่ลุกท่วมด้วยเปลวเพลิง

กระทั่งในยามนี้ เขายังคงไม่เผยรูปลักษณ์ทั้งหมดของกระบี่หนานฮวง–กระบี่ตัดดารา เขาใช้พลังแห่งธาตุไฟปกปิดกระบี่ทั้งเล่มไว้ในอัคคี

“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้ากลัวรึเปล่า?” เย่หวูเฉินใช้น้ำเสียงนุ่มนวลที่มีเพียงหนิงเสวี่ยเท่านั้นที่สามารถได้ยิน

“ข้าไม่กลัว… ตราบใดที่มีท่านพี่อยู่ข้างๆข้า ข้าไม่มีวันกลัว”

“หลับตาเจ้าลงและอย่าได้มองสิ่งใด… เมื่อเจ้าลืมตาขึ้นอีกครั้ง พวกเราจะกลับบ้านกัน ตกลงนะ?”

“ท่านพี่….”

“หืม?”

“ตัวท่านร้อนจัง….”

“ถูกต้อง…. เพราะข้ากินผลไม้สีแดงนั่นลงไป เลยทำให้ข้าตัวร้อนขึ้น เสวี่ยเอ๋อร์ เป็นเด็กดีแล้วหลับเสีย ตกลงมั้ย?”

“อื้ม….ท่านพี่….” หนิงเสวี่ยปิดตาลง พิงซบอยู่ตรงไหล่ น้ำตาค่อยๆไหลออกมาเปียกไหล่ของเขา

ร่างของเย่หวูเฉินสะท้อนต้องไปด้วยแสงเพลิง ราวกับว่าเพลิงได้ปะทุขึ้นในร่างของเขา พลังเพลิงแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ แผ่ท่วมทับบรรยากาศโดยรอบให้หนักหน่วงขึ้น

เย่หวูเฉินที่ไม่เกรงกลัวต่อความร้อนและเปลวไฟ ร่างของเขาดูราวกับลุกท่วมด้วยเพลิงพิโรธ พลังหวูเฉินโคจรทั่วร่างอย่างบ้าคลั่ง ราวกับพร้อมระเบิดออกได้ในทุกเวลา แม้เจ็บปวดแสนสาหัสแต่ใบหน้ายังคงสงบ มุมปากยกเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย เนื่องจากยิ่งเจ็บปวดเท่าไหร่พลังที่เขาได้รับมาก็จะยิ่งมากขึ้น

ในที่สุด ฟงเฉาหยางก็มีสีหน้าทะมึนเนื่องจากไอปราณและจิตสังหารอันน่าหวาดหวั่น ฟงเลี่ยและฟงหลิงต่างสับสนและตกตะลึง พวกเขาคิดซ้ำๆอยู่ในใจว่า….คนผู้นี้เป็นใครกันแน่? แท้จริงแล้วคนผู้นี้เป็นใคร?

ท้องนภาเริ่มย่างเยือนสู่ความมืด ไอปราณเหนือล้ำยังคงแผ่ขยายออกมา…. ทั่วร่างของเย่หวูเฉินปกคลุมด้วยแสงสีแดง ในอ้อมแขนนั้นหนิงเสวี่ยหมอบอยู่เงียบๆ ไร้การเคลื่อนไหวราวกับว่านางได้หลับไปแล้ว

ฟงเฉาหยางวางมือซ้ายไว้เบื้องหลัง ใช้มือเดียวถือกระบี่ชี้ไปที่เย่หวูเฉิน ตอนนี้เขาไม่ได้คิดเพียงสังหาร แต่ยังนับเย่หวูเฉินว่าเป็นคู่ต่อสู้คนหนึ่ง

…………………………………………..

ร่างดำและร่างม่วงปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ราวกับสายฟ้าสองสายปะทะพัวพัน พลังระเบิดสะท้านสะเทือนปฐพี ดินดำจำนวนมหาศาลพลิกตลบขึ้นมา สภาพทำลายล้างปรากฎอยู่ทั่วบริเวณ ไม่มีพื้นที่ใดในรัศมีหลายร้อยเมตรที่ยังมีสภาพดี

ตูม!

ฝุ่นทรายปลิวว่อน ลำแสงสีดำพุ่งขึ้นสูงเสียดสวรรค์ฟากฟ้า ผืนปฐพียกขึ้นสูงกว่าสิบเมตร กระทั่งแผ่นดินยังไหวสะเทือนอย่างน่ากลัว สัตว์ต่างๆในระยะไกลโดยรอบต่างหยุดอยู่กับที่ ไม่มีตัวใดที่กล้าเข้าใกล้

เกิดเสียงระเบิดเลื่อนลั่นขึ้นอีกครั้ง เพียงชั่วพริบตา แสงดำและแสงม่วงก็ปลิวห่างออกจากันนับร้อยเมตร พวกเขาหยุดมองกันและกัน

ร่างของลู่เทียนปกคลุมไปด้วยบาดแผลเล็กน้อยกว่าสิบแห่ง บนเกราะมีรอยฟันมากกว่าหลายเท่า ทั้งหมดเกิดจากกริชเทพพิโรธ สีหน้าของเขายังคงเย็นชาและจริงจัง ไร้วี่แววความเจ็บปวดหรือไม่สบาย แม้แต่ลมหายใจก็ไม่ได้หนักขึ้นหรือปั่นป่วน

ทั่วร่างของทงซินยังคงไร้บาดแผล แต่สีหน้าของนางซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด นางไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่า นางไม่ได้รับบาดเจ็บเพราะลู่เทียนไม่คิดทำร้ายนาง ระหว่างการต่อสู้นางทุ่มพลังแทบทั้งหมด แต่เขาก็ยังรับมือได้อย่างสบาย สงบนิ่งราวกับขุนเขา

ทันใดนั้น สายตานางเคลื่อนมองไปยังทางทิศเหนือ กลิ่นอายที่คุ้นเคยได้แผ่มาจากทิศทางนั้น กลิ่นอายนั้นขยายออกอย่างต่อเนื่อง ทั้งตำแหน่งยังตรงกับราชวังแห่งอาณาจักรต้าฟง สถานที่ที่พวกนางหลบหนีออกมาก่อนหน้า

นางเพิกเฉยต่อลู่เทียนแล้วพุ่งตรงไปยังทิศทางนั้น หากแต่ก็ถูกร่างสูงใหญ่ของลู่เทียนขวางกั้นเอาไว้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “องค์หญิง ได้โปรดกลับไปกับข้า พวกเราตามหาท่านมานานกว่าร้อยปี ไม่ว่าครั้งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะต้องพาท่านกลับไปให้ได้”

ฟู่ม……..

ความมืดลึกล้ำแผ่ออกมาบดบังแสง มันขยายออกมาปกคลุมเบื้องหน้าลู่เทียน ราวกับว่าดวงตาได้ถูกบดบัง เขาขมวดคิ้ว ดวงตาจ้องมอง และตะโกนเสียงดัง “องค์หญิงเฮยเย่ ด้วยพลังความมืดของท่านในยามนี้ ย่อมไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งข้าได้ ย่าห์!”

เขายกมือขึ้นสูงเหนือศีรษะ ทรงกลมสีม่วงปรากฎขึ้นบนฝ่ามือ จากนั้นมันขยายออกอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็มีขนาดรัศมีครึ่งเมตร ความมืดที่ปกคลุมทั่วร่างราวกับถูกทรงกลมสีม่วงดูดกลืนเข้าไป ความมืดเริ่มเบาบาง จนกระทั่งสุดท้ายมันสลายหายไป และตอนนี้ทงซินได้หนีไปไกลมากแล้วโดยใช้ความเร็วสูงสุดของนาง

ลู่เทียนตระหนกอย่างหนัก เขาเคลื่อนฝ่ามือสองข้างและปรากฎสายฟ้าสีม่วงสนั่นลั่นระหว่างมือ มันกลายสภาพเป็นหอกยาวที่ถูกพันรอบด้วยสายฟ้าสีม่วง คมหอกกว้างอย่างมาก ด้ามหอกยาวราวสามเมตร เขายกหอกไว้เหนือศีรษะด้วยหนึ่งมือ แล้วใช้พลังทั้งหมดเขวี้ยงตรงไปยังทิศที่ทงซินบินจากไป

หอกลอยลิ่วด้วยเสียงเสียดโสต อากาศที่หอกชำแรกผ่านบิดเบือนอย่างรุนแรง ผิวดินจมลงเล็กน้อยด้วยถูกพลังกดทับ สร้างร่องกว้างบนพื้นดินไม่ว่ามันจะพุ่งผ่านทางใด ทงซินหันกลับไปมองเบื้องหลัง หอกยาวนั้นเกือบถูกร่างของนางและพุ่งผ่านด้านขวาไป เพียงพลังแหวกอากาศของมันก็เพียงพอทำให้นางกระเด็นออกนอกเส้นทาง นางปลิวลงพื้นและกลิ้งไปกว่าสิบเมตรจึงสามารถหยุดร่างได้ด้วยความยากเย็น

ลู่เทียนปรากฎตัวที่เบื้องหน้าของนางอีกครั้ง หอกที่มีสายฟ้าสีม่วงพันไว้รอบกลับมาอยู่ในมือเขาอย่างน่าประหลาด ก่อนที่เขาจะได้เปิดปากเอ่ยวาจา แสงสีแดงก็พุ่งเข้าหา เขาย่นหัวคิ้วแล้วซัดหอกเข้าใส่ กริชเทพพิโรธบินเข้ามาปะทะกับหอกยาว เกิดสายฟ้าแตกปะทุขึ้นรอบบริเวณ

มีเสียงหวีดเบา กริชเทพพิโรธบินกลับเข้ามาสู่มือของทงซิน นางพึ่งยืนขึ้นได้ ทงซินจ้องตรึงที่ร่างของบุรุษที่ใหญ่โตกว่านางหลายเท่า จิตสังหารและความโกรธในหัวใจได้พุ่งทะยานจนถึงขีดสูงสุด

ลู่เทียนรู้ดีว่า ไม่ว่าเขาจะพยายามเกลี้ยกล่อมนางเพียงใด นางก็จะไม่กลับไปพร้อมกับเขา นางย่อมไม่มีวันคิดติดตามเขากลับไป เขาขมวดคิ้วมุ่นและกล่าว “หากองค์หญิงยังคงยืนกรานที่จะต่อสู้ขัดขืน เช่นนั้นโปรดอภัยที่ข้าต้องล่วงเกิน ข้าจะยอมรับการลงโทษจากท่าน ภายหลังจากที่องค์หญิงฟื้นคืนความทรงจำแล้ว”

มือทั้งสองข้างจับหอก เขาทะยานร่างเข้าใส่ เป็นครั้งแรกที่เขาตั้งใจโจมตีนาง ปลายหอกวาดเป็นวงโค้งสีม่วง กวาดผ่านร่างกายของทงซิน….

เปรี๊ยะ

เปรี๊ยะ

เปรี๊ยะ…

ทุกครั้งที่หอกถูกกวัดแกว่ง มันจะสร้างเสียงปะทุแตกของสายฟ้า บางครั้งเมื่อชูมันขึ้นแล้วฟาดลงมา มันจะสร้างเสียงราวอัสนีลั่นคำราม เผชิญหน้ากับลู่เทียนที่ไร้อาวุธยังเป็นรอง ครั้งนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใกล้เขา ร่างงดงามหลบหลีกอยู่ระหว่างเงาหอก นางถูกบังคับให้ล่าถอยอย่างต่อเนื่อง ถูกพัวพันไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่สามารถโจมตีกลับไป และไม่สามารถหลบหนีออกไปได้

เปรี้ยง!!

ทงซินที่ไม่อาจหลบหนี ถูกต้อนจนต้องใช้กริชเทพพิโรธปัดป้องร่างจากหอก แม้หลีกเลี่ยงไม่ใช้พลังรุนแรง แต่มันยังคงสะท้านกริชเทพพิโรธจนหลุดมือ มันฟาดเข้าใส่อกของนาง ร่างของทงซินปลิวละลิ่วราวกับใบไม้แห้ง

พรวด… ทงซินปวดร้าวไปทั่วร่าง นางพ่นโลหิตสีแดงออกมาจากปาก นางเช็ดรอยเลือดที่ริมมุมปาก ยืนขึ้นโงนเงน ใบหน้าซีดขาวอย่างน่ากลัว ร่างของนางแทบจะพังพาบลง มีเพียงม่านตาทั้งสองข้างที่ยังคงเย็นเยียบและมั่นคง ปลดปล่อยโทสะและเจตนาฆ่าฟัน

………………………………………

ประกายเพลิงกระจายทั่วทิศ กระบี่ตัดดาราที่ลุกโชนด้วยอัคคีฟาดปะทะเข้ากับกระบี่ตัดวายุเป็นครั้งแรก ฟงเฉาหยางและเย่หวูเฉินไม่ได้ซัดกระบี่ต่อตาม เพราะนี่เป็นเพียงการเปรียบพลังเท่านั้น ชั่วขณะที่ร่างแยกห่างออกจากกัน ฟงเฉาหยางสามารถมองเห็นสีหน้าของเย่หวูเฉินได้อย่างชัดเจน…. บางทีเพราะเขาได้สังหารฟงรู่ไปแล้ว ความเหี้ยมโหดดุร้ายจึงได้หายไป ตอนนี้ปรากฎเพียงความสงบและไม่แยแส กระทั่งยังไร้ซึ่งความกังวลและหวาดกลัว

ฟงเฉาหยางกระโดดถอยกลับมายังจุดเดิม ส่วนเย่หวูเฉินกว่าจะหยุดลงได้ก็ถอยห่างไปจากจุดเดิมมากกว่าสิบก้าว ตรงจุดที่สองกระบี่ปะทะกัน พื้นดินได้แตกออกเป็นรอยแยกกว้าง

ฟงเลี่ย , ฟงหลิง และคนอื่นๆที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างมีสีหน้าตระหนกตกใจ เพราะว่าเขา…กลับสามารถรับหนึ่งกระบี่ของเทพสงครามได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย! ทำให้พวกเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง และพื้นดินที่แยกออกตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นรอยกระบี่ของเทพสงคราม

พลังของเย่หวูเฉินในยามนี้… เหนือล้ำกว่าขอบเขตสวรรค์ไปแล้ว ผลมังกรเพลิงฟ้าเพียงลูกเดียวได้ดึงพลังแฝงทั้งหมดในร่างออกมา เพิ่มพลังให้เขานับร้อยเท่า หรือกระทั่งพันเท่า….

“ย้ากก!!!”

ด้วยเสียงคำรามดังลั่น เย่หวูเฉินราวกับสัตว์อสูรที่กระฟัดกระเฟียดด้วยเพลิงโทสะ เขาพุ่งเข้าใส่ฟงเฉาหยาง เหวี่ยงกระบี่อัคคีเป็นวงโค้งเข้าปะทะกันอีกครั้ง พลังที่อัดกระแทกทำให้องครักษ์ตัวปลิวและกระอักเลือด ด้วยพลังสังหารที่แผ่ลาม ฟงเลี่ยและฟงหลิงรู้สึกราวกับร่างกายถูกฉีกด้วยอากาศอัดกระแทกรุนแรง และในตอนนี้เอง ร่างชราสามร่างได้ร่วงลงมาจากบนฟ้า แยกกันพาฟงเลี่ยและฟงหลิงหนีออกไป

“ย้ากก….อ๊าาห์!”

พลังมหาศาลในร่างทำให้รู้สึกเหมือนร่างกายแทบระเบิด เย่หวูเฉินต้องใช้ทุกวิธีเพื่อปลดปล่อยมันออกมา กระบี่ตัดดาราฟาดฟันเข้าปะทะกับฟงเฉาหยางอย่างต่อเนื่อง เกิดประกายไฟเต้นระยับบนกระบี่ เมื่อยอดยุทธขอบเขตสวรรค์ปะทะกับยอดยุทธขอบเขตสวรรค์ด้วยกัน ก็ยังนับว่าหาได้ยากยิ่ง เมื่อใดที่เกิดขึ้นผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเป็นหายนะ หากผู้คนที่รายรอบอยู่ใกล้บริเวณไร้พลังเพียงพอย่อมบาดเจ็บหรืออาจตกตาย และการต่อสู้ระหว่างยอดยุทธขอบเทวะกับบุรุษที่เหนือล้ำกว่าขอบเขตสวรรค์ ผลลัพธ์ก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัว โชคดีที่พวกเขาทุ่มพลังทั้งหมดลงที่กระบี่ และไม่ซัดกันด้วยพลังโดยตรง ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาคงเป็นราชวังทั้งหมดที่พังทลายลงในชั่วพริบตา

Facebook Twitter Telegram Pinterest
Heavenly Star สวรรค์มวลดาว (จบ)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Completed ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เด็กหนุ่มลึกลับผู้ลืมเลือนอดีต ตื่นขึ้นมาในทวีปเทียนเฉิน ถูกเข้าใจว่าเป็นบุตรชายตระกูลเย่ เขาจึงใช้สถานะนี้เฝ้าสังเกตโลกอันยุ่งเหยิง รวมทั้งสืบหาอดีตของตน หากแต่โชคชะตาที่ต้องประสบกลับมีเพียงความน่าหวั่นสะพรึง เขาจึงหัวเราะเยาะโชคชะตา และเผยพลังสะท้านแดนดินใต้ผืนสวรรค์.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset